เซียวเหิงเลือกที่จะเงียบมู่หงเสวี่ยแววตาแผ่วหม่น แต่กลับยิ้มพลางเอ่ยว่า "ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก แม่ทัพเซียวคิดให้ดีๆ ก่อนก็ได้ แต่ทว่า สงครามระหว่างแคว้นถังกับแคว้นจิ้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางแล้ว"ความนัยก็คือ เซียวเหิงมีเวลาให้คิดเพียงหนึ่งวันเซียวเหิงมองไปยังมู่หงเสวี่ยแล้วพยักหน้าน้อยๆ "ขอบคุณพี่ชายมู่"จากที่เคยเรียกคุณชายมู่อย่างห่างเหิน กลับเรียกเป็นพี่ชายมู่มู่หงเสวี่ยคิดว่า ใจที่ลังเลของเซียวเหิงนั้นเอนเอียงมาทางเขาแล้วดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น คำนับให้เซียวเหิงก่อนเอ่ยว่า "เช่นนั้นแม่ทัพเซียวพักผ่อนให้ดี ข้าจะไม่รบกวนแล้ว"พูดจบก็เดินออกจากห้องไปสีหน้าของเซียวเหิง หลังจากมู่หงเสวี่ยออกไป ก็พลันมืดหม่นลงทั้งร่างเอนพิงหัวเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง แววตามืดมิดลึกดำฉู่จืออี้คาดไม่ผิดจริงๆ การที่แคว้นถังบุกแคว้นจิ้งในครั้งนี้ เป็นฝีมือของตระกูลมู่เกรงว่ารองแม่ทัพตู้ก็ถูกตระกูลมู่ซื้อตัวไปแล้วส่วนเป้าหมาย...เซียวเหิงคิดว่า เขาจำเป็นต้องไปยังตระกูลมู่กับมู่หงเสวี่ยสักครั้งกำลังคิดอยู่นั้น ลุงเกิ่งก็ยกยามาน้ำยาร้อนกรุ่นส่งกลิ่นข
เพื่อจะล่อหลอกเซียวเหิงไปแคว้นถัง มู่หงเสวี่ยถึงขั้นยอมโกหกเซียวเหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายไม่เชื่อ “จริงหรือ?”“แน่นอนว่าเป็นความจริง หากแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถไปถามท่านโหวน้อยแห่งจวนโหวได้ เขาเองก็รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ด้วยสภาพของแม่ทัพเซียวในตอนนี้ ยังไม่ควรมีจดหมายติดต่อกับคนในเมืองหลวงจะดีกว่า”เซียวเหิงเข้าใจความหมายของมู่หงเสวี่ยดีในเมื่อถูกขับออกจากค่ายทหารแล้ว ก็เท่ากับเป็นนักโทษของแคว้นจิ้ง แม้กลับเมืองหลวงไปก็ไม่มีทางรอดพ้นโทษหากเหตุการณ์เลวร้ายลง อาจถูกส่งเข้าคุกสอบสวนด้วยซ้ำแน่นอนว่าจึงไม่ควรติดต่อกับคนในเมืองหลวงเห็นเซียวเหิงเริ่มลังเล มู่หงเสวี่ยก็กล่าวต่อ “แม่ทัพเซียวควรรู้ว่า เนี่ยนเนี่ยนใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านย่าของนางที่สุด ส่วนคนอื่นๆ ในจวนโหว นางไม่ยอมรับเป็นครอบครัวมานานแล้ว ดังนั้นนางย่อมกลับไปหาตระกูลมู่แน่นอน ถึงตอนนั้น นางก็จะกลายเป็นคุณหนูตระกูลมู่ เกียรติยศและทรัพย์สมบัติ มีให้เสวยสุขไม่รู้จบ แม้กลับไปแคว้นจิ้ง ก็ย่อมกลับไปในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลมู่”มู่หงเสวี่ยคิดว่าการคาดเดาของตนมีความแม่นยำสูงในโลกนี้ ไม่มีใครไม่โลภในทรัพย์หากยังมีคนที่ยืนอยู่
มู่หงเสวี่ยกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เซียวเหิงรู้สึกประหลาดใจเซียวเหิงมองมู่หงเสวี่ย แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่มู่หงเสวี่ยกลับยิ้ม “แม่ทัพเซียวอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่เป็นห่วงร่างกายของแม่ทัพเซียว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านถูกไล่ออกจากค่ายทหาร หากกลับเข้าเมืองหลวงไป เกรงว่าคงต้องถูกฮ่องเต้ลงโทษ ดูร่างกายของท่านแล้วเกรงว่าจะทนไม่ไหว”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเซียวเหิงก็อดไม่ได้ที่จะหม่นลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะตนเอง “"เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ตอนแคว้นจิ้งไร้แม่ทัพที่ใช้การได้ ข้าคนนี้เป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ให้กลับมา แต่บัดนี้ฉู่จืออี้กลับมาแล้ว ข้าก็กลายเป็นเพียงคันศรที่ถูกหักทิ้ง เหลือแต่ต้องโยนเข้ากองไฟใช้เป็นฟืน”มู่หงเสวี่ยรีบกล่าวเสริม “แม่ทัพเซียวสร้างชื่อเสียงจากศึกแรก ถึงขั้นที่ในแคว้นถังก็ยังมีไม่น้อยที่กล่าวสรรเสริญถึง”“เฮอะ”เสียงหัวเราะเย้ยตนเองดังขึ้นอีกครั้งมู่หงเสวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงถามขึ้น “ขอแม่ทัพเซียวอย่าโกรธ ข้าเพียงแต่ใคร่รู้จริงๆ ว่าทำไมวันนั้นแม่ทัพเซียวจึงสั่งให้ไล่ล่ากองทัพที่พ่ายแพ้และยอมล่าถอยไปแล้ว?”มู่หงเสวี่ยมองเซียวเหิงตาไม่ก
“ได้ ลำบากท่านหมอซุนแล้ว” มู่หงเสวี่ยคารวะตอบกลับ หมอรีบร้อนตอบว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ แล้วจึงจากไปด้านหนึ่ง ลุงเกิ่งก็กล่าวขอบคุณมู่หงเสวี่ยว่า “ขอบคุณคุณชายมู่ที่ยื่นมือเข้าช่วยในวันนี้ หากไม่เช่นนั้น เกรงว่าแม่ทัพของพวกเราจะรอดยากแล้ว!”มู่หงเสวี่ยยกยิ้มพลางส่ายหัว มองไปยังเซียวเหิงที่หลับใหล ถามว่า “ตกลงมีความขัดแย้งอันใด ถึงได้ไล่คนที่บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ออกจากค่ายทหาร?”เมื่อตอนอยู่ชายแดน ลุงเกิ่งไม่เคยเจอหน้ามู่หงเสวี่ยมาก่อนการเดินทางมาเมืองอู้ครั้งนี้ เขาออกเดินทางก่อนฉู่จืออี้สองวัน แต่เดิมเพื่อจัดการดูแลระหว่างทางให้เรียบร้อย จึงพลาดโอกาสพบมู่หงเสวี่ยไปพอดีดังนั้น มู่หงเสวี่ยจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วลุงเกิ่งเป็นคนของฉู่จืออี้ยามนี้เห็นลุงเกิ่งเป็นห่วงเซียวเหิงถึงเพียงนี้ ก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าลุงเกิ่งคือคนสนิทของเซียวเหิงเมื่อถามมาเช่นนี้ ลุงเกิ่งย่อมไม่อาจทำให้ผิดหวัง จึงถ่มน้ำลายอย่างโกรธเกรี้ยว “ก็เพราะอ๋องผิงหยางอะไรนั่นแหละ เอาความแค้นส่วนตัวมาลงที่ท่านแม่ทัพ! เพียงแค่เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงได้บาดหมางกับท่านแม่ทัพของพวกเรา!”มู่หงเสวี่ยพอคิดถึงใบหน้าเคร่งขรึมเย็
เซียวเหิงค่อยๆ พยักหน้า“มาเร็วเกินไปแล้ว”โรงแรมแห่งนี้แม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ห้องของเขาอยู่ทางตะวันตกสุดของโรงแรม ส่วนห้องนภาอยู่ทางตะวันออกสุดยามค่ำมืดฝนโปรยปราย เสียงฝนข้างนอกดังซ่าๆ รองแม่ทัพตู้มาอย่างไร้สุ้มเสียง แต่มู่หงเสวี่ยกลับยังสามารถมาถึงได้รวดเร็วเพียงนี้คิดถึงตรงนี้ แววตาของเซียวเหิงก็พลันหม่นลึกลงมู่หงเสวี่ยมิใช่เพิ่งจะปรากฏตัวตอนที่ลงมือช่วยเหลือ แต่เมื่อเขาทำโต๊ะเครื่องแป้งล้ม วินาทีที่คันฉ่องสัมฤทธิ์กระเด็นขึ้น เขาก็ได้เห็นเงาลางๆ ของมู่หงเสวี่ยจากในคันฉ่องสัมฤทธิ์แล้วดังนั้น เขาจึงจงใจทำเป็นบาดเจ็บหนัก...ดีที่ร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลนี้ ยังสามารถฝืนทนไว้ได้เห็นสีหน้าของเซียวเหิงยิ่งซีดเผือด ลุงเกิ่งเต็มไปด้วยความกังวล “ยาของคุณหนูเฉียวที่ให้แม่ทัพเซียวล่ะ?”ยารักษานั้นดีอย่างยิ่ง ตอนเขาบาดเจ็บสาหัสมาก่อนก็เคยใช้มาแล้วเซียวเหิงจึงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ควักขวดยาออกมาจากอกเสื้อลุงเกิ่งรับมา กำลังจะช่วยเซียวเหิงทายา กลับถูกเซียวเหิงคว้าข้อมือไว้ “รอให้คนของเขามาดูก่อน ค่อยทายาก็ไม่สาย”ควรจะทำเช่นนั้นหมอที่มู่หงเสวี่ยเชิญมา ย่อมต้องตรวจบาดแผลของเซีย
“คนผ่านทาง” มู่หงเสวี่ยรับพัดพับที่บินกลับมา กางออกอย่างสง่างาม พัดเบาๆ “หรือไม่ก็ เจ้าจะเรียกข้าว่าคนดีที่เห็นความอยุติธรรมแล้วจำต้องยื่นมือช่วยก็ได้”นักลอบสังหารขมวดคิ้ว หันไปมองเซียวเหิงที่ยืนแทบไม่ไหวอีกครั้ง “ถือว่าเจ้าโชคดี!”พูดจบ ก็ทะยานกายจากไปรอจนเมื่อนักลอบสังหารไปแล้ว เซียวเหิงถึงได้เหมือนหมดแรงทั้งร่าง ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรงมู่หงเสวี่ยรีบก้าวเข้าไป ประคองเซียวเหิงขึ้นมา “พี่ชาย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ขณะนั้นเอง ลุงเกิ่งที่ได้ยินเสียงถึงได้เข้ามาเมื่อเห็นสภาพในห้อง ก็ตกใจ รีบก้าวไปพยุงเซียวเหิง “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”“แม่ทัพ?” มู่หงเสวี่ยมองไปยังเซียวเหิง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ท่านคือเซียวเหิงรึ?”เซียวเหิงใบหน้าซีดขาว มองมู่หงเสวี่ย ถามขึ้น “ใช่แล้ว เจ้าคือผู้ใด?”มู่หงเสวี่ยประสานมือทำความเคารพเซียวเหิง “ข้าน้อยชื่อมู่หงเสวี่ย”เซียวเหิงถึงได้เข้าใจ “เจ้าคือคุณชายตระกูลมู่ ที่เด็กรับใช้บอกว่าวันนี้มาพักที่โรงแรมนี้นี่เอง”มู่หงเสวี่ยพยักหน้า “วันนี้ข้าน้อยนอนในรถม้ามากไป ทำให้กลางคืนไม่อาจข่มตาหลับ ได้ยินเสียงต่