คำพูดของกัวรั่วชิงทำเอาเหลียงฝานซีรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าเว่ยอ๋องนั้นไม่ได้รับคำชวนใครง่ายๆ ส่วนจ้าวกุ้ยอินยิ่งแล้วใหญ่ท่านหญิงผู้นี้ไม่เคยไปร่วมงานเล็กๆ เลย นางยิ้มแล้วพยักหน้าด้วยความสุข “ประเสริฐยิ่ง ถ้าเจ้าทำได้ ข้ารับรองจะตอบแทนเจ้าอย่างดี ถ้าเช่นนั้นก็ให้เจ้าเป็นธุระเรื่องทำเทียบเชิญแขกทั้งหมดด้วยเลยแล้วกัน” นางหัวเราะอย่างมีความสุข “ปีนี้อาจจะเป็นวันเกิดปีที่ดีที่สุดของข้าก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะทำให้วันเกิดปีนี้ของท่านเป็นที่น่าจดจำไปชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงยิ้มรับคำ ก่อนจะถอยออกมาคำนับแม่สามี และเดินออกจากเรือนใหญ่อย่างสง่างาม ทว่าเพียงหันหลังพ้นสายตาของเหลียงฝานซี รอยยิ้มบนใบหน้าของกัวรั่วชิงก็ค่อยๆ หายไป รอยยิ้มที่อ่อนหวานอ่อนโยนเมื่อครู่กลับถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเย็นชาและอันตรายไปพร้อมกัน ดวงตาของนางฉายแววเด็ดเดี่ยวราวกับนางเสือที่กำลังต้อนเหยื่อเข้ามุมช้าๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในลำคออย่างเยือกเย็นที่ไม่มีใครเห็นและได้ยินถ
ภายในโถงรับรองของจวนจวงเซียงป๋อที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อซึ่งกำลังนั่งประจำที่อย่างรื่นเริง เสียงดนตรีบรรเลงคลอเคล้ากับเสียงสนทนาของผู้คนที่มาร่วมงาน ขณะที่บ่าวไพร่ต่างทยอยนำอาหารรสเลิศและสุรามาเสิร์ฟให้แก่ผู้มาเยือนในขณะนั้นเอง เสียงร้องโวยวายของสาวใช้ผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” ทุกคนในโถงต่างหันไปมองเป็นตาเดียวและเห็นกัวลี่ลี่ในชุดสาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในงาน“เกิดอะไรขึ้น! กล้ามาเอะอะโวยวายในงานวันเกิดมารดาข้า เจ้าอยากโดนโบยหรือไร” โจวลี่ย่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“คุณหนูเล็กเจ้าคะ” กัวลี่ลี่หันไปตอบโจวลี่ย่าด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ทุกคนได้ยิน “เกิดเรื่องกับซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ คือว่าตอนนี้ ซื่อจือ... ซื่อจื่อของเรากับ... กับคุณหนูกัวจิ้งอี... อยู่ด้วยกันบนเตียงที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ” คำพูดของกัวลี่ลี่ทำเอาทุกคนในงานตกตะลึงจนนิ่งงันเหลียงฝานซีถึงกับตัวแข็งทื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้”ขณะนั้นเอง กัวไห่เจินและเฉ
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงทันที ไม่มีใครส่งเสียงใดๆ ราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าของพวกเขานั้นช่างน่าตกตะลึงยิ่งกว่าสิ่งใด เยี่ยนหยางจงผู้เกรียงไกรที่ผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนต่างนิ่งงันด้วยความตกใจ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกให้เห็นมู่หยงฉีเองตกตะลึงจนตาค้าง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บัดนี้กลับมีสีหน้าเย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขามองนางประหนึ่งจะประนามว่ากล้าทำเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินใหญ่จวนจวงเซียงป๋อกับบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเขยได้อย่างไร“ฮูหยินทำใจดีๆ ไว้ก่อน” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยเสียงเบา เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก กัวรั่วชิงยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง ดวงตากลมโตที่เคยดูสงบไร้คลื่นลม บัดนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของนางขาวซีดเสียยิ่งกว่าคนป่วย และร่างเล็กๆ ที่สั่นเทาของนางนั้นทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปมองภาพชายหญิงบนเตียงใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกขยะแขยงทันใดนั้นเอง มู่หยงฉีก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ใครก็ได้ รีบจุดไฟ!&rd
ในขณะที่พายุกามภายในเรือนรับรองกำลังดำเนินไปอย่างร้อนแรง บรรยากาศภายในงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกรื่นเริง จนกระทั่งจ้าวกุ้ยอินที่กำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับหลี่จื่อเหยาอยู่ดีๆ ก็มีสีหน้าซีดเผือด นางยกมือขึ้นกุมขมับ พลางส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา“โอ๊ย...ข้ารู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก”“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่” หลี่จื่อเหยาตกใจร้องถามออกมา “เหยาเอ๋อร์ ท่านหญิงเป็นอะไร” มู่หรงอี้หวายผู้เป็นสามีที่คุยอยู่กับมู่หยงฉีต้องหันมามองพวกนาง“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดคุยกันอยู่ดีๆ ท่านหญิงก็เป็นเช่นนี้”“ท่านแม่ทัพไป๋หู่ ท่านหญิงเหมือนจะไม่สบายนะ” มู่หรงอี้หวายเอ่ยตอนที่เยี่ยนหยางจงเดินกลับเข้ามาในงานพร้อมหวงเชียนเล่อ“อินเอ๋อร์ปวดหัวอีกแล้วหรือ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้มางานกลางคืนก็ไม่เชื่อ” เยี่ยนหยางจงที่ออกไปคุยเรื่องด่วนกับหวงเชียนเล่อรีบปรี่เข้ามาดึงภรรยาสู่อ้อมอก สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดประมาณ ไม่เหลือเค้าดุดันของแม่ทัพหนุ่มที่สังหารผู
ภายในเรือนรับรองหลังเก่าที่อยู่ลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง แสงสลัวจากโคมไฟที่ถูกจุดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำสาดส่องเข้ามา ทำให้บรรยากาศดูสลัวและเงียบสงบยิ่งนัก กัวจิ้งอีเดินเข้ามาด้วยใจที่เต้นรัว บนโต๊ะกลางห้องมีจดหมายฉบับหนึ่งและผ้าแพรสีขาววางอยู่ นางหยิบจดหมายขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ภายในมีข้อความสั้นๆ ว่า‘ผูกผ้าแพรปิดตาเจ้าไว้ และขึ้นไปนอนเงียบๆ บนเตียง ข้าจะตามไปหาเจ้าที่นั่นในอีกครู่เดียว กฎคือ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเจ้าห้ามเอ่ยชื่อของข้าโดยเด็ดขาด หลังจากอ่านแล้ว ให้เผาจดหมายฉบับนี้ทิ้งทันที’แม้ว่าคำสั่งในจดหมายจะดูแปลกประหลาด แต่สำหรับมู่หยงฉีผู้ได้ชื่อว่าเป็นอ๋องเสเพลอันดับหนึ่งของแคว้นแล้ว กัวจิ้งอีกลับคิดว่านี่อาจจะเป็นรสนิยมเฉพาะตัวของเขาที่นางไม่อาจคาดเดาได้กัวจิ้งอีทำตามคำสั่งในจดหมายอย่างเคร่งครัด หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่านางกำลังจะละเล่นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต นางผูกผ้าแพรปิดตาตัวเองและเดินไปขึ้นเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงกว่าเดิม นางสูดหายใจเข้าลึก
เสียงดนตรีบรรเลงจากวงผีผาที่อยู่บนเวทีดังแว่วมาอย่างต่อเนื่อง สลับกับเสียงหัวเราะและคำพูดคุยที่สนุกสนานของบรรดาแขกเหรื่อผู้สูงศักดิ์ งานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินจวงเซียนป๋อกำลังดำเนินไปอย่างคึกคักท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับแต่ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความรื่นเริง โจวจื่อหมิงกลับไม่อาจยิ้มได้อย่างสบายใจ เขากลับมายืนอยู่ในโถงรับรองคอยดูแลแขกเหรื่อที่ทยอยกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทว่าสายตาของเขาไม่ได้จ้องมองไปที่แขกคนใดเลย แต่กลับจับจ้องไปยังสตรีที่เคยเป็นคนที่ควรจะได้แต่งงานกับเขาตั้งแต่แรก... กัวจิ้งอีภาพของกัวจิ้งอีที่กำลังส่งสายตาให้เว่ยอ๋องตลอดเวลานั้นช่างบาดตาบาดใจเขายิ่งนัก ริมฝีปากของนางที่เคยแย้มยิ้มให้เขาเพียงผู้เดียว บัดนี้กลับยิ้มให้กับบุรุษอื่นอย่างออกรสออกชาติ ราวกับว่าสายตาของทุกคนในงานไม่ได้มีความสำคัญต่อนางอีกแล้ว ใบหน้าที่มีความสุขของนางทำให้ความโกรธในใจของโจวจื่อหมิงปะทุขึ้นจนยากที่จะควบคุม เสียงของมารดาที่แนะนำแขกเหรื่อคนอื่นๆ ดังแว่วเข้ามาในหู แต่เขาไม่อาจรับฟังได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป“ท่านพี่...” เสียงนุ่มนวลของกัวรั่วชิงดังขึ้นอ
ยามค่ำคืนในจวนจวงเซียงป๋อคึกคักเป็นพิเศษ แสงไฟนับร้อยจากโคมไฟกระดาษและโคมแก้วส่องสว่างทั่วทั้งโถงรับรอง กลิ่นหอมจางๆ ของธูปหอมชั้นดีลอยอบอวลไปทั่ว ราวกับต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่กำลังทยอยเดินทางมาถึง งานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินใหญ่เหลียงฝานซีถือเป็นงานใหญ่แห่งปี ซึ่งเป็นที่รวมตัวของขุนนางชั้นสูงและบรรดาฮูหยินที่ต้องการแสดงตัวในสังคมเหลียงฝานซีผู้เป็นเจ้าของงานวันเกิดยืนเด่นสง่าในชุดหรูหราพร้อมรอยยิ้มอยู่หน้าโถงรับรอง บุตรชายคนโตอย่างโจวจื่อหมิงยืนอยู่เคียงข้างด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ตามมาด้วยสะใภ้ใหญ่อย่างกัวรั่วชิง นางสวมชุดสีชมพูอ่อนที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงความสง่างามไว้ได้อย่างลงตัว เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยปักปิ่นเงินรูปหงส์ สมเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่มาจากตระกูลที่มั่งคั่งและมีเกียรติอย่างจวนชิงผิงโหวทันทีที่แขกคนแรกเดินเข้ามา เหลียงฝานซีก็ยิ้มและกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น โจวจื่อหมิงเองก็ทำหน้าที่ตอนรับแขกฝ่ายชายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนกัวรั่วชิงนั้นมีสีหน้าสงบ แต่แฝงไว้ด้วยท่าทีของสตรีที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี ไม่มีร่องรอยของความตื่นเต้นหรือประหม่าเลยแม้แต่น้