หลินเยว่เม้มปากแน่น นางกลัวว่านางจะร้องไห้ออกมาจนทำให้พวกเขาแปลกใจ คุณตาคุณยายของนางในภพก่อน เสียชีวิตลงก่อนที่นางจะประสบความสำเร็จเพราะพ่อกับแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลนาง จึงได้ส่งนางไปอยู่กับพวกท่านตั้งแต่ยังเล็ก“อาเยว่” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยเรียกนางเมื่อเห็นว่าตัวนางสั่นน้อยๆ พร้อมทั้งดวงตาที่แดงราวกับกำลังฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมาซูเซียวนางก็มองสำรวจอยู่ที่หลินเยว่เช่นกัน นางก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะตอนที่นางมาถึง เมื่อเจอคนในตระกูลเซี่ยนางยังไม่มีอาการเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นความรู้สึกโหยหาความรักของเจ้าของร่างเดิม“เอ่อ วะ ว่าอย่างไร” นางหันไปหาเลี่ยงรุ่ย“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”“ไม่ข้ามิได้เป็นอันใด เจ้าพาผู้ใดมา” นางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนอารมณ์เมื่อครู่แต่ก่อนที่เว่ยอ๋องจะเอ่ยบอกว่าทั้งหมดคือคนตระกูลเซี่ย ไป๋หว่านอี้ที่เดินทางมาหลายวัน และนางก็มีอาการไม่สู้ดีหลายวันแล้ว ได้หมดสติลงก่อนที่จะเข้าไปในเรือน“คุณยาย!!!” หลินเยว่วิ่งเข้าไปหานางทันที“อาเยว่ พายายเจ้าเข้าเรือนเสียก่อน” เว่ยอ๋องร้องบอกนางที่ตอนนี้ไม่อาจควบคุมสติได้ตัวเขาก็แปลกใจเช่นกัน หลังจากที่อยู่กับนางมาหลายเดือน ไม่เคยเห็นนางมีท่าท
หลินเยว่นางไม่รู้เลยว่าท่านตาท่านยายของนางกำลังเดินทางมาหานางที่หานตง ตอนนี้นางยังคงทำสินค้าออกมาส่งให้เหมยฮวาเช่นเดิมยิ่งนับวันเหมยฮวาก็ต้องการสินค้าเพิ่มมากกว่าเดิม นางจึงไม่คิดจะทำสินค้าตัวใหม่ออกมา เพราะเพียงแค่เพิ่มการผลิตนางก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดออกมาขายเพิ่มแล้ว“หาซื้อคนเพิ่มดีหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านฟู่เอ่ยถามออกมาอย่างกังวลเพราะยอดที่ร้านจินเซียงขอสั่งสบู่เพิ่มอีกเดือนละสองหมื่นก้อน เป็นตอนนี้หลินเยว่นางต้องทำสบู่ออกมาส่งกลิ่นละสามหมื่นก้อนต่อเดือนไหนจะยาสระผมกับครีมนวดที่ขอเพิ่มจากเดิมห้าพันขวดเป็นสองหมื่นขวด ผู้ใดจะทำได้ทัน ยังไม่พูดถึงลิปสติกที่หลินเยว่นางห้ามเหมยฮวาไว้ก่อน เพียงเท่านี้นางก็ไม่อาจทำได้ทันแล้ว“ท่านลุงคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ” ไม่ใช่ว่าตอนนี้คนที่มีอยู่จะทำไม่ทัน เพียงแต่ทุกคนต้องเหนื่อยไม่น้อย อีกอย่างเสี่ยวถิงนางก็คงไม่อาจช่วยงานหนักได้อีกแล้วนางช่วยทำได้เพียงแกะสบู่ออกมาตัดเท่านั้น เพราะหลินเยว่กลัวว่าหากนางเข้าไปช่วยตุ๋นสบู่จะกระทบหลานของนางในครรภ์ได้“ฮูหยินซื้อบ่าวเพิ่มอีกสักสองครอบครัวเถิดขอรับ”หลินเยว่มองไปรอบเรือนที่หลังไม่ได้ใหญ่ พอจะให้คนมาอยู่เพิ่มอีก
การทะเลาะที่ใหญ่โตของทั้งสามคน ทำให้ชาวบ้านไปตามเจ้าหน้าที่มาจัดการ จางซุนจำต้องพาทั้งหมดเดินทางกลับไปที่หมู่บ้าน เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นลูกจ้างคนอื่นที่อยู่ในร้านข้าวสาร ในตอนแรกเขาก็เพียงแค่สงสัยว่าเหตุใดจางซุนจึงดูร่ำรวยผิดปกติ พอได้ฟังคำที่นางหงซื่อพูดออกมาก็เข้าใจได้ทันทีเช่นนี้ผู้ใดจะไม่อยากได้ความดีความชอบเล่า หากจางซุนถูกไล่ออกหรือถูกเจ้าของร้านจับเข้าคุก พวกตนคนใดคนหนึ่งต้องได้ขึ้นมาเป็นหลงจู๊แทนอย่างแน่นอนเมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาจึงได้เขียนสารแจ้งไปยังเจ้าของร้านตัวจริงที่เมืองหลวงทันทีเลี่ยงรุ่ยกับหลินเยว่เมื่อกลับมาถึงเรือนก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นของตระกูลจางจากเซี่ยหมิ่นและเสี่ยวถิง ทั้งสองต่างเล่าเรื่องราวกันอย่างออกรสชาติ“พอๆ เลย พี่หมิ่น ท่านทบทวนตำราไปถึงไหนแล้ว เมื่อสำนักศึกษาเปิดให้เรียนข้าจะส่งท่านไปเรียน” นางขี้เกียจฟังปัญหาของครอบครัวอื่นยิ่งเป็นเรื่องของตระกูลจาง นางยิ่งไม่อยากรับรู้ ต่อให้พวกเขาฆ่ากันตายก็ไม่ใช่เรื่องของนาง“เอ่อ น้องสาวคนดี ไม่เร็วไปหรือที่จะให้พี่ไปเข้าเรียนตอนนี้” เขาเรียกนางเสียงหวานอย่างเอาใจเซี่ยหมิ่นผู้ที่ประมาณตน เขารู้สึกว่า
นางทั้งสองหารายชื่อจางเฉิงอยู่นานก็ไม่พบ นางฮั่วซื่อที่คิดว่าต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะหลานชายของนางมักจะพูดทุกครั้งที่กลับหมู่บ้านว่าครั้งนี้เขาต้องสอบได้ จึงทำให้นางปักใจเชื่อเช่นนั้น“นายท่าน เหตุใดไม่มีชื่อจางเฉิง หรือว่ารายชื่อตกหายเจ้าคะ” นางเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ ที่ยืนเฝ้าใบประกาศไว้สายตาเจ้าหน้าที่มองมาที่นางอย่างดูแคลน หากไม่มีรายชื่อก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าสอบไม่ผ่าน นางจะมาเอ่ยถามเช่นนี้ได้อย่างไร“หากไม่มีชื่อก็คือสอบไปผ่าน” เขายังเอ่ยตอบนางอย่างใจเย็น“เป็นไปไม่ได้ ต้องเกิดเรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน อาเฉิงบอกว่าเขาสอบได้ จะไม่มีรายชื่อได้อย่างไร” ชาวบ้านเริ่มมองมาที่นางฮั่วซื่อและนางหงซื่ออย่างตำหนิทั้งสองขวางไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปดูรายชื่อ ทั้งยังส่งเสียงโวยวายเสียงดังไม่เกรงใจผู้อื่นสักนิด“ยายเฒ่า หลานชายเจ้าบอกว่าเขาสอบผ่านก็ต้องผ่านเช่นนั้นรึ” เจ้าหน้าที่เริ่มจะหมดความอดทนกับความดื้อรั้นของนางอาจารย์จ้าวที่มีคนไปแจ้งเรื่องมีสตรีมาโวยวายเรื่องผลสอบหน้าสำนักศึกษาก็รีบร้อนเดินออกมาดู ก็พบว่านางฮั่วซื่อกับนางหงซื่อกำลังจะดึงกระดาษที่ติดประกาศไว้ออกทั้งเจ้าหน้าท
หลินเยว่ลุกขึ้นมานั่งข้างตัวเลี่ยงรุ่ย สายตาของนางที่มองเขาเย้ายวนจนเลี่ยงรุ่ยต้องกลืนน้ำลายลงคอเสียหลายอึก ฝ่ามือน้อยๆ ของนางลูบคลำที่แผงอกของเขาช้าๆพร้อมทั้งปลดเชือกรัดเอวของเขาออกอย่างชำนาญ เลี่ยงรุ่ยที่เห็นนางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเช่นนี้ก็อดที่จะตื่นเต้นกับรางวัลที่เขาจะได้รับไม่ได้สายตาที่มองมือของนางทั้งคาดหวัง และตื่นเต้นจนแทบจะทนไม่ไหว เสื้อผ้าของเลี่ยงรุ่ยถูกหลินเยว่นางปลดออกจนไม่เหลือติดกายสักชิ้นฝ่ามือของนางลูบคลำไปที่ต้นขายาวของเขา พร้อมทั้งชักรูดลำทวนของเขาขึ้นลง “อาเยว่” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าชวนฟังของเลี่ยงรุ่ยเอ่ยเรียกนางเมื่อรู้ว่านางคิดจะทำสิ่งใด เลี่ยงรุ่ยจึงยันกายขึ้นพิงหัวเตียง เพื่อให้นางได้กระทำให้สะดวกขึ้น หลินเยว่ใช้เรียวลิ้นน้อยๆ ของนางแตะลงที่ปลายลำทวนของเขา พร้อมทั้งช้อนสายตามองเขาอย่างยั่วยวนยามที่ปากน้อยๆ ของนางค่อยขึ้นกลืนลำทวนของเขาอย่างช้าๆ ตัวของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือหนาของเขาจับอยู่ที่ศีรษะของนางใบหน้าของเลี่ยงรุ่ยบิดเบี้ยวอย่างเสียวซ่าน เมื่อหลินเยว่นางดูดลำทวนของเขาราวกับมันคือถังหูลู่ที่หวานหอม“อ๊า ปากเจ้าช่างร้ายกาจนัก”
นางใช้ผ้าฝ้ายมาแทนถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอก ปากถุงยังสามารถรูดเพื่อเปิดดูสิ่งที่อยู่ด้านในได้อีกด้วยเจ้าหน้าที่ต่างสงสัยกันไม่น้อย เมื่อเห็นว่าเลี่ยงรุ่ยพกสิ่งนี้เข้ามาด้วยหลายถุง เพราะคนอื่นล้วนแต่พกอาหารแห้งมากันมากมาย“นี่คือสิ่งใด” เจ้าหน้าที่อดที่จะถามออกมาไม่ได้ นอกจากของที่อยู่ในถุงร้อนที่เป็นผงสีขาวแล้ว ยังมีอีกถุงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่มีผงสีขาวป่นเศษผักเขียวๆ ดูน่าประหลาดยิ่งนัก“ปูนขาวขอรับ ขอน้อยแพ้แมลง จึงได้นำติดตัวมาด้วย” เลี่ยงรุ่ยตอบด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยความจริงแล้วด้านในถุงร้อนยังมีแมกนีเซียมและเหล็กอยู่ด้วย หลินเยว่นางเคยบอกถึงที่มาให้เลี่ยงรุ่ยได้รู้ไปแล้ว แต่ถ้าเขานำมาอธิบายกับเจ้าหน้าที่ก็ดูจะประหลาดเกินไป บอกเพียงเท่านี้ก็คงจะเพียงพอแล้วเจ้าหน้าที่มิได้สงสัยส่วนที่เป็นปูนขาวแล้ว เขาชี้ไปที่ถุงอีกใบ พร้อมทั้งยกขึ้นดม เพราะกลิ่นที่ออกมามันคล้ายว่าสิ่งนี้คืออาหาร แต่เขาก็ดูไม่ออกมาว่าจะเป็นอาหารไปได้อย่างไร“แล้วนี่เล่า” เขายื่นถุงไปตรงหน้าของเลี่ยงรุ่ย“ข้าวบดขอรับ”“ข้าวบดอย่างงั้นรึ” เขาก้มไปมองอย่างแปลกใจ แล้วเหตุใดถึงมีเจ้านี่ ที่ดูเหมือนจะเป็นเศษผักเศษ