ไม่ว่าลูกธนูจะถูกปล่อยออกมาเท่าไร แต่ก็ไม่มีลูกธนูดอกไหนสามารถโดนตัวหวังอี้หลินได้ บางดอกพุ่งมาแล้วร่วงหล่นพื้น บางดอกก็หันกลับพุ่งเข้าใส่ผู้ที่ยิงมันออกมาจนสิ้นลม สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน
เหล่านักฆ่าต่างมองซ้ายขวา ในป่าเช่นนี้จะมีผู้ใดสามารถทำได้นอกจากสิ่งลี้ลับ ถึงแม้จะมิเคยเห็นแต่ก็ไม่อาจจะลบหลู่ได้เลย
นักฆ่าที่มากกว่าสิบคนในตอนแรก ต่างล้มตายกันจนเหลือเพียงไม่กี่คน พวกมันต่างถอยร่นไปรวมกันกับหัวหน้า สีหน้าแต่ละคนราวกับกำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่นั้น ช่างน่าเวทนาเสียจริงในสายตาของบุรุษทั้งสามในตอนนี้
บ้างพร่ำเพ้อบอกกลัวแล้ว บ้างก็ยกมือขึ้นกราบไหว้แล้วบอกจะไม่ทำอีก บ้างร้องขอชีวิต เพียงไม่นานนักฆ่าทั้งหมดกลับล้มลงและสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา
ทั้งสามคนมองภาพตรงหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา พลางคิดว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดพวกเขาทั้งสามก็ขอขอบคุณในน้ำใจครั้งนี้
"ท่านหลิงอี้ ท่านเอ้อหลาง และท่านซานเซียง ท่านยมเรียกพบเจ้าค่ะ” ยายเมิ่งที่รับคำสั่งจากท่านยมมาเรียกตัวผู้คุมทั้งสามเข้าพบ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ดูจากสีหน้าและอารมณ์ของท่านยมแล้วคงจะมิใช่เรื่องดีสินะ ถึงได้ทำให้อีกฝ่ายมีโทสะได้ถึงเพียงนี้ มิรู้คราวนี้ไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก
“ท่านยมมีสิ่งใดถึงได้เรียกพวกข้าไปพบหรือ” หลิงอี้ยืนมือไขว้หลังถามยายเมิ่งอย่างสบายอารมณ์
“ข้าก็มิทราบเช่นกันเจ้าค่ะ พวกท่านรีบไปเถิดก่อนที่ท่านยมจะมาตามพวกท่านด้วยตนเอง” เรื่องนี้ยายเมิ่งจะไม่ยุ่งแล้วกัน
“เช่นนั้นขอบใจท่านมาก”
ผู้คุมทั้งสามหายตัวจากตรงนั้นภายในพริบตา หากยายเมิ่งบอกว่าถ้าพวกเขาช้ากว่านี้ท่านยมจะมาตามด้วยตนเอง นั้นแสดงว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่เพียงไม่นานทั้งสามผู้คุมก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าท่านยม
“คารวะท่านยมขอรับ / เจ้าค่ะ” ทั้งสามทำความเคารพอย่างนอบน้อมและพร้อมเพรียงกัน
ปัง
“มากันก็ดีแล้ว ครั้งนี้รู้ตัวหรือไม่ว่าพวกเจ้าก่อเรื่องไว้ร้ายแรงแค่ไหน การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์และเปลี่ยนแปลงดวงชะตา มิใช่การของเหล่าผู้คุม” ท่านยมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดสินชะตาชี้หน้าต่อว่าผู้คุมทั้งสามอย่างไม่สบอารมณ์
“พวกเราทราบขอรับ” เอ้อหลางเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้ารู้แต่ก็ยังทำ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไรดีถึงจะได้สำนึกในความผิด”
“พวกเราสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ” ซานเซียงหญิงเพียงหนึ่งเดียวก้าวออกมา ยกมือประสานกันอย่างสำนึกผิด
เหอะ! เจ้าพวกนี้ปากบอกสำนึกผิด แต่สีหน้าไม่ได้ดูสำนึกเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อไรเจ้าพวกนี้จะถึงวันพักร้อนสักที ตัวเขาที่เป็นยมทูตสั่งการอยู่ยมโลกตัดสินความดีความชั่วแห่งนี้ ปวดหัวกับผู้คุมสามคนนี้เต็มทน
เดือนก่อนก็ไปมีเรื่องกับผู้คุมวิญญาณในนรกจนทำกระทะทองแดงแตกไปหลายใบ ครั้งก่อนก็ทะเลาะกันเองจนเผลอทำสายฟ้าไปโดนมนุษย์สองคนจนดวงจิตสูญหายตามหายังมิพบ ก่อแต่เรื่องจนตนนั้นถูกท่านเจ้านรกเรียกไปตักเตือน เพราะอบรมคนของตนไม่ดีมาวันนี้ยังเข้าไปก่อเรื่องเรื่องร้ายแรงอีก
“พวกเจ้าบอกข้ามาซิ เหตุใดต้องเข้าไปช่วยมนุษย์พวกนั้น”
“พวกเราไม่อยากกำพร้าพ่อเจ้าค่ะ” ซานเซียงผู้เป็นน้องเล็กสุดก็ยังเป็นผู้ตอบคำถามท่านยมเช่นเดิม
“แต่อายุขัยเขาได้หมดลงแล้ว พวกเจ้าไปดึงอายุขัยผู้อื่นมาต่อให้เขา เช่นนี้มันผิดกฎรู้หรือไม่”
“ทราบขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งสามต่างก็กล่าวรับทราบอย่างพร้อมเพรียงกันเช่นเดิม และก็ยังดูไม่ได้สำนึกผิดเหมือนเดิมเช่นกัน
“เช่นนั้นเพื่อเป็นการลงโทษพวกเจ้าในความผิดครั้งนี้ จากที่ให้พรพวกเจ้าไปยังโลกมนุษย์สองข้อ ข้าจะลดให้เหลือเพียงหนึ่งข้อ ห้ามพวกเจ้านำอาวุธประจำตัวไปด้วย ให้เหลือเพียงความทรงจำเดิมเพียงเท่านั้น เมื่ออายุครบสิบห้าหนาวความทรงจำเดิมพวกเจ้าจึงกลับมา พวกเจ้าออกไปได้เห็นหน้าเจ้าสามตนข้าเหมือนดื่มยาขมทั้งชีวิต” ท่านยมนั่งกุมขมับคราวนี้เขาต้องถูกท่านเจ้าแห่งโชคชะตาเรียกไปตำหนิอีกคนเป็นแน่
“พวกข้าขอตัวขอรับ/เจ้าค่ะ”
พวกเขาทั้งสามเดินออกมาอย่างอารมณ์ดี แค่ไม่ให้เอาอาวุธประจำตัวไปด้วยจะเป็นไรไป พวกเขาก็แค่เอาไปซ่อนก่อนจะไปเกิดเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว อย่างไรเสียความทรงจำเดิมก็ยังมี เอาไว้ไปนำมาเมื่อไรก็ได้มิใช่หรือ
แล้ววันงานบวงสรวงก็มาถึง ปะรำพิธีได้ถูกจัดขึ้น ณ ลานกว้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลางลานมีแท่นพิธียกขึ้นสูงบนโต๊ะรูปมังกรเหยียบเมฆา มีผลไม้และอาหารมงคล ตรงกลางมีกระถางสำหรับปักธูปลวดลายอ่อนช้อย สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงามงานนี้เจ้ากรมพิธีการได้หน้าไปเต็ม ๆ ต่างถูกชมจากผู้คนมิขาดปากแต่ผู้ที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดในวันนี้กลับนั่งเหงื่อตกรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คิดจะหนีงานดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปยังที่ประทับของฮ่องเต้ ใบหน้าที่คาดหวังของท่านแม่และท่านพ่อ ไหนจะท่านลุงฮ่องเต้อีกคน จะถอยก็มิได้จะเดินต่อก็ไม่ได้และแล้วพิธีสำคัญได้ถึงเวลาที่เหมาะสมชาวบ้านที่เข้ามารอชมอย่างคาดหวัง หวังเยี่ยนฟางแต่งตัวด้วยชุดสีแดงอลังการ เดินนวยนาดออกมายังหน้าแท่นพิธีก่อนสายตาจะมองไปรอบ ๆ นางไม่พบเหล่าพี่ชายพี่สาวแฝดสามและอ๋องน้อยพวกนั้นหายไปที่ใดกัน“แด่ท่านเทพพิรุณเทพแห่งสายฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ท่านได้โปรดทรงประทานหยาดฝนเพื่อดับทุกข์ร้อนของเหล่ามวลมนุษย์ด้วยเถิด” หวังเยี่ยนฟางกล่าวจบจึงได้ทำการปักธูปลงในกระถางทันใดนั้นเองท้องฟ้าแปรปรวนร้องสนั่นหวั่นไหว หมู่เมฆมืดครึ้มลมพัดแรง จนมงกุฎที่หวังเยี่ยนฟา
ในปีหนึ่งแคว้นหนานได้เกิดปัญหาภัยแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรและใช้สำหรับอุปโภคบริโภคองค์ฮ่องเต้ทรงมองเห็นในความเดือดร้อนของพสกนิกร ทรงมีรับสั่งช่วยเหลือแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อช่วยลดความอดอยากของประชาชน แต่เมื่อนานวันเข้าภัยแล้งกลับไม่มีท่าว่าจะดีขึ้นหัวข้อประชุมเช้าอันดุเดือดประจำท้องพระโรงคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภัยแล้ง"ทูลฝ่าบาทหากเรายังคงเบิกจ่ายข้าวสารและตำลึงเงินอีกไม่เกินปีนี้ กระหม่อมเกรงว่าท้องพระคลังคงจะหมดในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมคลังกราบทูลถึงปัญหาที่เกิดขึ้น"ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมส่งคนออกสำรวจแหล่งน้ำทั่วแคว้น ปริมาณน้ำลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมโยธาก้าวออกมา ชี้แจงปัญหาที่ได้รับมอบหมายให้ออกสำรวจแหล่งน้ำ"มีผู้ใดจะเสนอความคิดในการแก้ปัญหาบ้างหรือไม่" หนานหยางจง เจ้าแห่งแคว้นถามขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองทั่วทั้งท้องพระโรง แต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอย่างเช่นเคยเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างก็หาทางออกไม่ได้ เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยเจอปีไหนเลย ที่ภัยแล้งจะหนั
“ข้อหนึ่งหนูขอไปเกิดแบบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ คือหนูไม่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกแล้วค่ะ”อืม ข้อนี้ไม่ยากถือว่ายังให้ได้อยู่“ข้อสองหนูขอคนรักสักคนที่รักหนูคนเดียวไม่นอกใจค่ะ”ข้อนี้ก็ยังถือว่าง่ายไม่พิเศษอะไรนังหนูนี่ช่างมักน้อยซะจริง“และข้อสุดท้ายหนูขอความทรงจำเดิม และความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างของชาติเดิมค่ะ”“ได้ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามข้ามา” ยายเมิ่งตอบตกลงทุกเงื่อนไขที่ขอมาอย่างไม่ต้องคิด เพราะคำขอแต่ละข้อไม่ได้ถือว่าผิดต่อศีลธรรมอันใดแต่ก่อนจะให้เด็กสาวผู้นี้ลงไปเกิดนางอยากจะเอ่ยปาก พูดอะไรสักอย่างกับสตรีน้อยผู้นี้สักหน่อย“เดี๋ยวก่อนนังหนูเรื่องคนที่ทำให้เจ้าตาย เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะคนผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจ อย่าแช่งกันอีกเลยสำนึกผิดไม่ทัน”สตรีผู้นั้นตอบรับด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็ช่างเถอะไม่รู้เรื่องอันใดก็ดีแล้วกรี๊ดดดดดตู้มมมม"อภัยให้ข้าเถอะนังหนูเจ้าลีลาเกินไป หากเจ้าอยู่นานกว่านี้เห็นทีข้าจะโดนจับได้" แล้วยายเมิ่งก็เดินจากไปเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน"อยากเรียกข้าว่าป้าดีนักขอสักทีเถอะ" ว่าจะไม่ทำอันใดแล้ว คำก็ป้าสองคำก็เรียกป้าแค่ถีบตกบ่อยังน้อยไปหลังจากนั้นข้าคิดว่าชีวิตจะสงบสุขส
ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านตระกูลหวัง ทุกคนในบ้านต่างรักและตามใจข้าเป็นที่สุด ข้าคือสิ่งมหัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อเพราะแม้ว่าท่านพ่อดื่มยาห้ามบุตรที่มีฤทธิ์แรงที่สุด แต่ตัวข้าหวังเยี่ยนฟางผู้นี้สามารถฝ่ายาห้ามบุตรมาเกิดได้ฮะฮ่าทุกคนต่างเอ่ยชมความสามารถของท่านพ่อหวังอี้หลินมิได้หยุด เขาคือสุดยอดแห่งบุรุษของแคว้นเป็นลูกรักของเทพพระเจ้า บางคนร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าหรือแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้ดั่งใจสั่งเช่นท่านพ่อของข้าได้ แต่ก็นะคนเหล่านั้นพูดเกินจริงไปมากโข เป็นเพราะข้าผู้นี้อยากมาเองต่างหากหากจะถามว่าข้าผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียน พูดจาไพเราะราวกับนกน้อยร้องรับอรุณยามเช้า ความสามารถหรือก็มิแพ้ใคร รูปร่างสูงโปร่งอกเป็นอกเอวเป็นเอว ข้าผู้นี้มีนามว่า เมิ่ง เมิ่ง หรือก็คือยายเมิ่งที่เหล่ายมโลกเรียกขานกัน หุ หุอะ แฮ่ม เอาล่ะกล่าวชมตนเองมามากพอแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ย้อนไปเมื่อกาลก่อน"เมิ่ง เมิ่ง เจ้าฟังข้าก่อน งานข้ายุ่งมากไปกับเจ้ามิได้จริง ๆ อย่าโกรธข้าเลยนะ" ผู้คุมนรกชั้นอเวจีคอยควบคุมเหล่าวิญญาณชั้นเลว ชดใช้บาปกรรมโ
"อั๊กกก" ไม่ได้การแล้วมันช่างทรมานยิ่งนัก คงต้องหาอะไรที่ทำให้เขาหายจากอาการนี้หยงเจาฝืนทนพยายามลุกขึ้นยืนให้มั่น แต่ด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงทำให้เซถลาชนเข้ากับโต๊ะกลางห้องจนกวาดเอาถ้วยน้ำชาร่วงลงกับพื้น"ท่านหยงเจาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ท่านรออยู่นี่ก่อนข้าจะไปตามหมอให้" อาลี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินเสียงดังจากห้องของชายหนุ่ม จึงรีบเดินเข้ามาดู ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น หากเมื่อเดินเข้ามาสิ่งที่เห็นทำให้นางยิ่งตกใจ"ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบออกไปเถิดข้าขอร้อง" ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว หากช้ากว่านี้คงได้หน้ามืดล่วงเกินสตรีที่หลงรักตรงหน้าแน่"ทะ ท่านเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนบอกข้าสิ" เพราะความเป็นห่วงอาลี่จึงไม่ยอมขยับไปไหนยาที่หยงเจาได้รับในปริมาณมาก ทำให้ชายหนุ่มครองสติไม่ได้แล้ว เขาคว้าคอหญิงสาวโน้มลงมาพร้อมกับจุมพิตอันร้อนแรงอาลี่พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงของชายหนุ่มได้ จากขัดขืนในตอนแรกกลับกลายเป็นคล้อยตาม จนนางได้ตกเป็นของหยงเจาในคืนนั้น"ข้าจะรับผิดชอบเจ้า" หยงเจายังคงยืนยันคำเดิม เพราะตั้งแต่รู้สึกตัวตื่น เขาพยายามจะหว่านล้อมให้ร่างบางตรงหน้ายินยอม แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน
"หาา! นี่ท่านยังเกี้ยวอาลี่ไม่สำเร็จอีกหรือ จิ๊ก จิ๊ก ช่างไร้ฝีมือ" อาเล่อมองหน้าหยงเจาอย่างดูแคลน ขนาดว่านางเปิดโอกาสให้อยู่กันลำพังบ่อยครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จ"แล้วเจ้าเล่าเกี้ยวหานลู่สำเร็จแล้วหรือ ทำมาเป็นเย้ยข้า" ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ"ข้าไม่อยากจะคุย ข้ากับท่านหานลู่ตกลงศึกษาดูใจกันแล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ปลายปีนี้อาจจะมีข่าวดี" อย่างหลังไม่เป็นความจริงสักนิด นางก็แค่ใส่สีตีไข่เข้าไปให้ดูเหนือกว่าเท่านั้นเอง"จริงหรือ ข้าขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่" นางช่างเก่งกาจ"เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่ที่ฝีมือของแต่ละคนเจ้าค่ะ มิใช่เรื่องที่จะสอนได้โดยง่าย" นางลงทุนไปตั้งเยอะยังได้เพียงแค่ศึกษาดูใจเลย"ถ้าเจ้ามีแผนอะไรดี ๆ แนะนำข้าทีเถิด" ตนได้ลองมาหลายวิธีแล้ว สาวเจ้ายังไม่แม้แต่จะใจอ่อนเลย จะล้มเลิกไม่ตามเกี้ยวต่อก็ไม่ได้ ก็คนมันรักไปหมดใจแล้วจะให้ทำเช่นไร โอ๊ย ข้ากลุ้ม"อย่างนี้ดีหรือไม่ คืนนี้พวกท่านเปิดใจคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ต้องห่วงเรื่องอาลี่ข้าจะเป็นธุระให้เอง" อาเล่อพอจะรู้ว่าสหายผู้นี้มีใจให้กับท่านหยงเจาไม่มากก็น้อย และท่านหยงเจาก็ใจตรงกันอีกด้วย แล้วเพราะอะไรสหายรักถึงได้ไม่ใจอ