ครึ่งเดือนต่อมา ณ จวนร้างริมทะเลสาบ ประตูตะวันตก ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หลังฉากกั้น ได้กวาดสายตามอง ผู้ที่เขาร่วมประชุม ซึ่งในคืนนี้...นับว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ที่จะถูกติดตาม แต่ทว่าเมื่อมีการโยกย้าย และลิดรอนอำนาจ ของขุนนางหลายฝ่าย เขาคงมิอาจนิ่งนอนใจได้ เขาใช้เวลามาเกือบทั้งชีวิต เพื่อที่จะอยู่เหนือผู้คน ไยจะต้องมาพลาดเพียงเพราะชนรุ่นหลัง ถึงตัวเขาจะไม่ได้นั่งบนบัลลังก์ ด้วยตนเอง แต่ฮ่องเต้คนต่อไป ยากนักที่จะขาดเขาในการชี้นำได้ “มากันครบแล้วสินะ” เสียงที่ถูกดัด จนไม่อาจบอกได้ว่า คนหลังฉากกั้นแท้จริงคือใคร แต่จะเป็นใครก็หาได้สำคัญ เพราะเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องพายเรือลำนี้ให้ถึงฝั่ง ไปด้วยกันอยู่ดี “ขอรับนายท่าน ว่าแต่เราจะทำอย่างไรดี กับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของฝ่าบาท นี่ผ่านมานับเดือน เหล่ยฟู่เฉายังไม่ออกจากเมืองหลวง ส่วนกู้อ๋องอยู่ๆ ก็คิดทำการค้า ร่วมกับสายเลือดสกุลเหวิน หากเรานิ่งนอนใจ อาจส่งผลร้ายมากกว่าดีนะขอรับ” หนึ่งในขุนนาง ที่ร่วมประชุม พูดขึ้นด้วยความวิตกกังวล ยิ่งไม่เห็นท่านราชครูเผย เข้าร่วมการประชุมในทุกครั้ง ที
“คนที่ต้องขอโทษมิใช่เจ้าหรอกหรือ เพราะนับตั้งแต่พบหน้า มีเพียงเจ้าที่ใช้วาจาต่ำช้าต่อนาง หรือข้าหูฝาดไป กับคำว่าหย่าสามีมิทันถึงสองเดือน ก็ออกมาเที่ยวเล่น กับชายอื่นเสียแล้ว คำพูดนี้เจ้าแน่ใจหรือ ว่าไม่ได้หมายถึงข้า ในเมื่อชายอื่นที่เจ้าพูดถึง ก็มีเพียงข้าที่ยืนอยู่ข้างนาง ข้ากับนางจะพบกันกี่ครั้ง ก็มิได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าหรือใครๆ ในเมื่อข้าและนาง หาได้ทำเรื่องใดผิดต่อศีลธรรม และในภายหน้าข้ากับนาง จะเป็นอันใดต่อกัน ข้าก็คงไม่ต้องไปรายงานเจ้า รึ! เจ้าคิดว่าตนเอง เป็นมารดาข้า!” ตึก! รีบโขกหัวกับพื้น และหมอบกราบตัวสั่นเทา ด้วยไม่คิดว่ากู้อ๋องผู้ไม่เคยสนใจสตรีใดมาก่อน จะกล้าออกหน้าแทนเผยอิงเถา ทั้งเอานางไปเทียบไทเฮา ต่อให้มีร้อยหัวก็ไม่พอให้ตัด “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิเคยคิดเยี่ยงนั้นเลยนะเจ้าคะ ไยต้องปรักปรำข้าน้อยให้เป็นผู้ผิดด้วยเจ้าคะ” “สามหาว! มิว่าวาจาหรือการกระทำของเจ้า ล้วนส่อเสียดนายข้าทั้งสิ้น” ขุยกวง กำด้ามอาวุธข้างกายแน่น จนเส้นเลือดปูดโปน เขาอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย มาตั้งแต่เล็กจนโต ในฐานะองครักษ์และสหายร่วมศึกษา ไม่เคยมีใครอาจหาญ หมิ่นนายเขาเช่นน
“เราไปที่อื่นก็ได้ หากเจ้าไม่ต้องการเผชิญหน้ากับพวกนาง” “ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ไยต้องหลบลี้ด้วยเจ้าคะ” ชายหนุ่มรู้สึกชุ่มชื่นอยู่ในใจ ยิ่งอยู่ใกล้นางมากเท่าไหร่ ความรู้สึกอันคุ้นเคยยิ่งทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่า มิว่าท่าทาง คำพูดรวมถึงแนวความคิด สตรีผู้นี้ช่างเหมือนคนที่เขาเฝ้าคำนึงหา “อุ๊ย! นึกว่าใคร...อดีตพี่สะใภ้นี่เอง หย่าสามีมิทันถึงสองเดือน ก็ออกมาเที่ยวเล่น กับชายอื่นเสียแล้ว” เจาเยียนไม่ได้มีท่าที กริ่งเกรงต่อชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างอดีตพี่สะใภ้สักนิด เพราะอย่างไรคนที่นางต้องการเหน็บแนม ก็คือเผยอิงเถา ไม่เกี่ยวอันใดกับกู้อ๋อง เหล่ยฮูหยิน แทบอยากจะสิ้นสติไปเสียให้ได้ เมื่อลูกสะใภ้ผู้โง่เขลา กล้าเสียมารยาทต่อหน้ากู้อ๋อง ชายผู้ที่แม้แต่ขุนนางระดับสูง หรือเหล่าอ๋องด้วยกัน ยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วนแม้ร่างกายของกู้อ๋องจะมิสู้แข็งแรง ทว่าความสามารถนั้น ถือว่ามิเป็นสองรองใคร ในราชสำนักย่อมรู้กันดี ว่ากู้อ๋องเป็นเสมือนมันสมอง และหูตาของฮ่องเต้ อีกทั้งยังเกิดร่วมพระมารดา “หุบปากเจ้าซะ! เจาเยียน” เหล่ยฮูหยินสั่งลูกสะใภ้เสียงเขียว ก่
“ผมของท่านลุง แม้จะคล้ายของคนแก่ ทว่ามันกลับสวยและนุ่มลื่นยิ่งนักเจ้าค่ะ ฟู่อิงอยากมีผมที่นุ่มลื่นแบบนี้บ้าง” “ลุงจะให้คนส่งเครื่องบำรุงผม ที่เหมาะกับเจ้าส่งไปให้ที่ร้านดีไหม...” “ท่านลุงรู้จักบ้านข้าด้วยหรือเจ้าคะ” “หึๆ เจ้าเป็นถึงเจ้าของร้านขนมชื่อดัง ผู้คนทั้งเมืองต่างรู้จัก” “เช่นนั้นข้าจะไถ่โทษ ด้วยการมอบขนมสูตรพิเศษของท่านแม่ให้นะเจ้าคะ ที่สำคัญยังไม่มีวางขายเลยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยโน้มกายเข้ากระซิบ ในตอนท้ายของการสนทนา ก่อนจะขยับออกมายืนตัวตรง พร้อมรอยยิ้มแต้ ทำให้บุรุษผู้ไม่เคยแย้มยิ้ม คลี่ยิ้มออกอย่างเอ็นดู และนั้นทำให้ขุยกวง ถึงกับมีอาการอ้าปากค้าง ดวงตาจับจ้องที่ผู้เป็นนาย อย่างมิอยากเชื่อต่อสายตา ว่ากู้อ๋องผู้เย็นชาราวน้ำแข็งพันปี จะยิ้มกับเด็กที่ไม่เคยชิดใกล้ “เผยอิงเถา คารวะกู้อ๋อง” ดวงตาสีสนิม เหลือบขึ้นมองหญิงสาว ที่เขาจงใจให้เป็นความบังเอิญในการพบกัน ด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับมาเย็นชาดังเดิม “คุณหนูเผย”อ๋องหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทว่ามือเรียวยาว ยังคงจับมือกลมป้อม ของเหล่ยฟู่อิ
วังหลวง ณ ห้องทรงพระอักษร “ฝ่าบาท พระสนมหลี่เต๋อเฟย ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เมื่อได้รับคำอนุญาต เฉากงกง รีบหมุนกายออกจากห้องทรงพระอักษร เพื่อแจ้งให้แก่พระสนม ซึ่งรออยู่หน้าตำหนัก เข้าเฝ้าได้ “ฝ่าบาท” พระนางหลี่เต๋อเฟย รีบวิ่งตรงเข้าหาพระสวามี ทว่าร่างระหงจำต้องหยุดนิ่งค้าง เมื่อสตรีอีกนางก้าวออกมาจาก ห้องพักผ่อนที่อยู่ติดกัน “หลี่เหยา ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” “หลี่เต๋อเฟย มาเข้าเฝ้าอย่างรีบเร่งเยี่ยงนี้ มีสิ่งใดร้อนใจอยู่หรือ” ฮองเฮาเอ่ยถามสนมเอกของพระสวามี ก่อนจะเดินไปนั่งเคียงเขา พร้อมส่งสัญญาณให้นางกำนัล ยกเก้าอี้และชา ให้แก่พระนางหลี่เต๋อเฟย ที่ยังก้มหน้านิ่ง ด้วยกริ่งเกรงจะถูกฮ่องเต้ตำหนิ หากคิดตีเสมอภรรยาเอก “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” หลี่เต๋อเฟย รับถ้วยชา ก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ ที่ขันทียกมาวางให้ “ทูลฝ่าบาท โปรดคืนความบริสุทธิ์แก่ หย่งฉีด้วยเพคะ ข่าวลือที่แพร่ไปทั่วเมืองหลวง ล้วนหาใช่เรื่องจริง ทรงให้คนไปสืบหาต้นตอผู้ปล่อยข่าวด้วยเพคะ” “หากไม่ได้ทำ ไยต้องเดือดร้
“ท่านแม่เชื่อข้าเถอะ ว่างานแต่งจะยังคงเกิดขึ้น ในอีกหกวันข้างหน้า ปีนี้ฮ่องเต้ประชวรบ่อยครั้ง การแต่งตั้งองค์รัชทายาท ย่อมต้องมีโดยไว เหล่ยฟู่เฉา ยากจะหลบเลี่ยง หากเขาต้องการเข้าหาสกุลเผย” “หึๆ นี่คือสิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวเจ้า มองหมากในกระดานขาดทุกอย่าง ครั้งก่อนที่เขาแต่งกับเผยอิงเถา เขาไม่อาจเข้าหาเราได้อย่างที่คิด ทั้งที่คืนนั้นเขารู้ดีแก่ใจ ว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น แต่กลับจำยอมอย่างไม่คิดปฏิเสธ ลูกนกที่ยังสยายปีกได้น้อยนิด คิดที่จะเทียบอินทรีที่ผ่านลมหนาวมาเช่นข้า ไม่เจียมตนเสียจริง” “ท่านพี่หมายความว่า...เหล่ยฟู่เฉา รู้อยู่แล้วว่าเผยอิงเถา ไม่ได้ปีนขึ้นเตียงเขาเอง แต่ถูกจัดฉากให้เป็นเช่นนั้น แล้วการที่เขาต้องไปชายแดนกะทันหัน ก็เพราะ...” “ใช่! เพราะข้าทำให้มันเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าแค่อยากให้ลูกเราเข้าสู่ราชวงศ์เท่านั้นหรือ ข้าแค่ไม่อยากติดปีกให้อิงเถา ความโง่และหยิ่งผยองของนาง อาจทำให้หัวหลุดจากบ่าได้ในสักวัน แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ถ้านางเข้าวังหลวงเมื่อไหร่ สกุลเหวินย่อมมีหนทาง เปลี่ยนนางให้เป็นอีกคนได้อย่างง่ายดาย และนั้นคือหายนะของเรา ข้าจึงเลือกให้นาง ต