“หลิงหวางเจ้าต้องดื่มให้มากหน่อย ชาของศิษย์พี่หมิงนั้นช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยได้ เพราะฉะนั้นเราทั้งสองต้องรู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นี้”
มู่เหรินบอกหลิงหวางด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งหลิงหวางก็รับมาดื่มอย่างไม่มีอิดออด เขายกยิ้มอย่างพอใจ การที่หลิงหวางไม่พูดไม่แสดงสีหน้าใช่ว่าจะไม่เหนื่อยล้าจากการฝึกฝนเพื่ออนาคตข้างหน้าต้องรักษาสุขภาพที่ดีเอาไว้ “หึ พวกเจ้านี่นะ” หมิงตงฟางรู้สึกไร้คำพูดที่จะกล่าวมองศิษย์น้องทั้งสองที่เข้ากันได้ดีโดยไม่ต้องพูดจาให้มากความ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคันยุบยุบที่หัวใจมันมีทั้งความเอ็นดูและอิจฉาที่ดูสองคนนี่จะรักใคร่กลมเกลียวกันดีจนรู้สึกว่า ตนเองนั้นเป็นคนนอก!เมื่อได้เวลายามเหม่า(05:00น.- 07:00น.)มู่เหรินกระโดดลงมาจา
มู่เหรินรู้สึกสติจะบินหายไปอีกครั้ง หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล สายตาและคำพูดจริงจังของหลิงหวางเวลานี้ทำให้รู้สึกแปลกๆ “พวกท่านมิรู้หรือว่าคุณชายห่านลู่เป็นบุตรคนเล็กของพรรคดาวตะวันตก พรรคนี้ขึ้นชื่อว่าไร้คุณธรรมอีกไม่นานพวกมันจะตามล่าท่าน” มู่เหรินหันไปมองบุรุษฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินเข้ามาบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาที่มีแววกังวลทำให้เขายกยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณพี่ชายที่บอกกล่าวพวกข้าจักระวังตัว วันนี้พบกันมีวาสนา หากโอกาสหน้าได้พบพวกท่านอีกพวกข้าสองคนจะเลี้ยงสุราแทนคำขอบคุณ” มู่เหรินบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจก่อนจะขอตัวจากไป เขาเหลือบมองร่างไร้วิญญาณของห่านลู่เป็นครั้งสุดท้าย พวกมันไม่ได้มีกลิ่นอายความตายเพราะไม่ใช่มันหมดอายุไขทว่ามันตายเพราะปากหาเรื่อง เรื่องนี้เขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน ต่อไปนี้คงต้องไปเตรียมตัวให้มากขึ้นเพื่อรับมือกับพรรคดาวตะวันตก “เสี่ยวมู่ข้าขอโทษที่ก่อเรื่อง” เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงหุบเขาปีศาจหลิงหวางจึงได้พูดขึ้น ทว่าเขากลับไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่สังหารคนไร้ค่าพวกนั้
“คุณชายท่านนี้ นายท่านของข้าต้องการจะพบท่าน” มู่เหรินเหลือบมองคนที่มาเชื้อเชิญเขาไปพบอย่างเย็นชา คิดว่าตนเองเป็นใครถึงกล้าเรียกเขาไปพบได้ง่ายๆ ถึงเพียงนั้น เขามองสบตากับหลิงหวาง อีกฝ่ายมือยังคลึงจอกสุราตนเองเล่นอย่างเงียบๆ แต่กลับพร้อมจะลงไม้ลงมือทุกเมื่อ “ไปบอกนายเจ้าอยากพบข้าต้องมาด้วยตนเอง” มู่เหรินมองแขกที่ต้องการพบเขาด้วยความประหลาดใจ ร่างโปร่งในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มหวานละมุน ดวงตาที่หวานล้ำไม่เหมาะกับบุรุษทำให้เขารู้สึกหวาดระแวง ใบหน้างดงามแม้ไม่ได้ล่มเมืองเหมือนอย่างตนแต่ก็งดงามราวกับบุรุษเจ้าสำราญ ในมือถือพัดขนนกสีขาวชวนให้ผู้คนต้องหันมามองอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง ผิวขาวเนียนของคนตรงหน้าแทบจะสว่างราวกับส่องแสงได้ ดูภายนอกคงคิดว่าคนตรงหน้าไม่เคยได้ลิ้มรสความยากลำบากมาก่อน หากไม่นับที่ปลายนิ้วมีรอยด้านแม้เพียงเล็กน้อยก็บ่งบอกได้ว่าแขกที่ไม่อยากรับเชิญผู้นี้ถนัดด้านการใช้เข็มพิษเป็นอาวุธลับ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณชายมู่ให้ห่านลู่ผู้นี้ออกมาหาด้วยตนเอง” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแสดงความโอหังออกมาอย่างพอ
เหวินหวางมองตามด้วยเงาร่างของทั้งคู่อย่างเงียบๆ “หลิงหวาง” คงเป็นท่านใช่หรือไม่ เขารู้สึกอยากหัวเราะออกมาคนที่ทั่วแคว้นตามหากลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ แล้วเขาละจะเลือกทางใด แบกรับหน้าที่ที่ไม่อยากเป็นเพื่อปกป้องคนที่รัก หรือละทิ้งเดินเส้นทางที่ฝันเพื่อตนเองดี... “ฝ่าบาท” หยุนซีเอ่ยเรียกอย่างกังวล ร่างกายองค์ชายนั้นไม่ดีนักแต่ก็ยังมาอยู่ที่เมืองซานตงเพื่อรอพบมู่เหรินตามข่าวลับที่หามาได้ แต่เขาเองก็ไม่คิดจริงๆ ว่าองค์ชายจะได้พบกับมู่เหรินผู้นั้นจริงๆ นี่นับว่าเป็นวาสนาหรือไม่ แต่เหตุใดองค์ชายไม่รั้งตัวไว้ข้างกายทั้งๆ ที่รู้ว่าสงครามภายในกำลังเดือดพล่าน นี่ยังไม่นับสงครามระหว่างแคว้นที่หาหนทางกินดินแดนของแคว้นฉิน “ไม่ต้องกังวลหรอก มู่เหรินมีคนผู้นั้นอยู่อย่างน้อยแคว้นฉินก็ไม่เป็นอันตราย” เหวินหวางบอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แม้เขาอายุยังน้อยแต่ก็มิได้โง่เขลา เรื่องมู่เหรินตอนนี้เขาไม่ได้ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่เวลานี้เขาควรกลับไปเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับพี่น้องภายในวังหลวง ตำแหน่งฮ่องเต้แม้ไม่อยากได้ แต่ว่าเขาจะไม่มอบให้คนที่ละโมบโลภมากโ
เช้าวันรุ่งขึ้นมู่เหรินได้แนะนำให้หลิงหวางรู้จักกับเสี้ยวเหวินหวางในฐานะศิษย์น้อง ทั้งสามร่วมรับประทานอาหารกันอย่างเงียบๆ เสี้ยวเหวินหวางยังมีรอยยิ้มน้อยๆ เฉกเช่นเดิมขณะที่หลิงหวางหลุบสายตาก้มมองเฉพาะชามข้าวของตนเองแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกบรรยากาศผิดปกติจากคนทั้งคู่ หลิงหวางรู้สึกสายตาที่มองมาจึงเหลือบตาขึ้น สายตาคมกริบมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่บนใบหน้าทว่ามันไม่ได้ส่งไปถึงดวงตา เขาเข้าใจสายตาคู่นั้นดี เขาเลิกสนใจตวัดตะเกียบไปยังไก่ขอทานหนึ่งทีไปวางไว้ที่จานของมู่เหรินอย่างอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะก้มหน้าทานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ มู่เหรินมองหลิงหวางแล้วยกยิ้มแทนคำขอบคุณก่อนจะทานข้าวต่อ ทว่าขณะนั้นมีปากเป็ดมาวางไว้บนจานหลายชิ้นจนต้องเงยหน้ามอง รอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาส่งมาให้ทำให้เขาต้องเอ่ยตอบเบาๆ “ขอบคุณ” หลิงหวางเงยหน้ามองปากเป็ดบนจานมู่เหริน จากนั้นจึงหันไปมองคนที่คีบมาให้ มือหนาตวัดตะเกียบอีกครั้งปากเป็ดในจานมู่เหรินก็มาอยู่บนจานของตนเอง “เสี่ยวมู่ไม่กินปากเป็ด” “ข้าจะจำไว้” เสี้ยวเหวินห
“ท่านย่อมรู้คำตอบ” หลิงหวางวางจอกชาไว้ที่เดิมพร้อมกล่าวออกมาเสียงเรียบ ทว่าภายในใจยังรู้สึกกังวลดวงตาคมกริบมองนายน้อยอย่างห่วงใย ไม่ว่านายน้อยจะเลือกช่วยแคว้นใดเขาที่เป็นผู้ติดตามอารักษ์ขาย่อมไม่มีข้อกังขา ทว่าหากนับในฐานะหนึ่งเขาย่อมอยากให้โชคชะตาเข้าข้างตัวเอง “เฮ่อ ข้าก็ไม่อยากจะคิดให้ตัวเองวุ่นวายใจ หากเลือกได้ข้าอยากย้อนเวลาให้ตนเองแสร้งเป็นคนโง่งมเสียดีกว่า” มู่เหรินทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย หากเขาไม่มีความทรงจำจากชาติที่แล้วติดมาด้วย อย่างไรก็คงหนีไม่พ้นเพราะเขาความสามารถจดจำได้เพียงแค่เห็นผ่านตาย่อมได้เปรียบกว่าผู้อื่น ความสามารถนี้เขาเองก็เพิ่งจะมีเพราะชาติที่แล้วเขาต้องศึกษาและเรียนรู้อย่างหนักถึงจะทำได้ดี “สงครามย่อมมีอยู่แล้วเพียงแค่ท่านเป็นตัวแปรของพวกเขาเท่านั้น” มู่เหรินมองคนพูดเงียบๆ ใบหน้าที่แสนธรรมดาแต่แววตานั้นยังคงจริงใจและสัตย์ซื่อ “หากเป็นเจ้าจะเลือกหนทางใด” หลิงหวางมองใบหน้างดงามในอาภรณ์สีขาวที่หลุดลุ่ยลงจากบ่ากว้างชวนให้ดูวาบหวิวแล้วถอนหายใจเงียบๆ คนผู้นี้ไม่ว่าทำอะไรก็ดูงดงาม
ดวงตาเรียวคมหรี่ตามองเงาร่างองครักษ์เงาของเสี้ยวเหวินหวางที่ปรากฏอยู่มุมต่างๆ อย่างแปลกใจ สิบสองคน! มีเงาถึงสิบสองคนและยังมีลมปราณอันร้ายกาจนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นทีคนที่หลับสบายอยู่ตอนนี้คงจะเป็นคนสำคัญในแคว้นฉินอย่างที่คาดเดาจริงๆ เขาก้มมองใบหน้าที่หล่อเหลาและยังเยาว์วัยอีกครั้งก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วเบา “เด็กน้อยแท้จริงแล้วในใจเจ้าคิดสิ่งใดกันแน่” โครกกก~~~ เสียงท้องร้องดังขึ้นทำให้มู่เหรินรู้สึกอับอายเล็กน้อย เพราะไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เที่ยงและเขาก็นั่งอยู่ที่นี่มาสองชั่วยามแล้ว ตักที่เป็นที่หลับนอนของเสี้ยงเหวินหวางชาขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอันใดสำหรับผู้ฝึกยุทธอย่างเขา ใบหน้าที่ซีดขาวเริ่มมีสีขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่คมลืมตาขึ้นมาสบกับเขานิ่งๆ “เจ้าตื่นแล้ว” เสี้ยวเหวินหวางพยักหน้ารับก่อนจะขยับกายลุกขึ้นนั่ง มองคนตรงหน้าที่เป็นหมอนหมุนด้วยรอยยิ้มอ่อนมันเป็นรอยยิ้มดีใจและมีความสุข “ลำบากเจ้าแล้ว” “ไม่เรียกข้าว่าเก๊อเกอหรือ อย่างน้อยข้าก็อายุมากกว่าเจ้า” ม