อวี๋หงตกใจสุดขีด รีบพลิกตัวกลับ เงื้อแขนขึ้นป้องกันแต่คาดมิถึงว่าเหตุใดโหยวหัวหนิงจึงมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนั้นเขาพยายามต้านทานสุดกำลัง โหยวหัวหนิงโกรธจัดจึงกัดแขนของอวี๋หงอย่างแรง กัดกระชากเนื้อแขนของเขาออกมาทั้งชิ้น“อ๊าก!”อวี๋หงเจ็บจนเส้นเลือดปูดโปน ถีบโหยวหัวหนิงกระเด็นออกไปอย่างแรงแต่เขายังมิทันลุกขึ้นจากพื้น โหยวหัวหนิงก็กระโจนเข้าใส่อีกคว้าขาของเขาแล้วกระชากล้มลงกับพื้นหมายจะงับคอของอวี๋หงอีกครั้งในช่วงเวลาคับขันนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางหน้าโหยวหัวหนิงไว้นางงับลงไปพอดี คมกระบี่จึงบาดปากนางจนเลือดกระฉูดนางร้องลั่นแล้วลุกขึ้น จ้องมองพวกเขาด้วยความโกรธแค้นคนใบ้รีบดึงตัวอวี๋หงขึ้น ช่วยเขาไว้ได้ทันลั่วชิงยวนรีบเข้าไปขว้างเชือกอักขระเวทออกไปรัดร่างโหยวหัวหนิงไว้แน่นจากนั้นเข็มทิศก็เปล่งแสงทองห่อหุ้มทั้งร่างของโหยวหัวหนิงไว้ในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนเห็นโหยวจิ้งเฉิงดิ้นรนจะออกจากร่างของโหยวหัวหนิง“โหยวจิ้งเฉิง! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย! เจ้ายังมิตายจริง ๆ!” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยสายตาเฉียบคมโหยวจิ้งเฉิงดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส จ้อง
เมื่อลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งหนีไปโหยวหัวหนิงลุกขึ้นรีบไล่ตามนางไปเวินซินถงหนีไปตลอดทาง แล้วรีบปีนกำแพงหนีออกจากบ้านตระกูลอวี๋เสียงดังทำให้ผู้คุ้มกันหลายคนตื่นตกใจ เมื่อพวกเขาวิ่งตามไปก็เห็นเพียงโหยวหัวหนิงที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด“ฮูหยิน!”โหยวหัวหนิงหันขวับมามองพวกเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนตัวขึ้นเหาะหนีไปอย่างรวดเร็วฝูงชนด้านล่างตกตะลึง“ฮูหยินมีวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด?”พวกลั่วชิงยวนกำลังย่องเข้าไปใกล้ห้องของโหยวหัวหนิง แต่ระหว่างทางได้ยินเสียงดัง เมื่อตามไปกลับมิพบสิ่งใดแล้วรอจนกระทั่งผู้คุ้มกันที่ตรวจตราหลายคนออกไป พวกลั่วชิงยวนจึงรีบรุดไปยังที่แห่งนั้นค้นหาไปทั่วก็ได้กลิ่นคาวเลือดแล้วพบศพในลานบ้านนั้นโฉวสือชีพลิกศพขึ้นมา เมื่อเห็นรอยแผลที่คอศพแล้วก็ร้องเสียงหลง “รอยแผลนี้ มันกัดกินกันสด ๆ เลยนี่…”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว หันไปมองทั้งสองคน “พวกเจ้าว่ารอยแผลนี่คุ้นตาหรือไม่?”ทั้งสามมองหน้ากันโฉวสือชีอุทาน “ฝูเหมิ่งหรือ?!”ลั่วชิงยวนมองร่างนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วกล่าวด้วยความกังวล “ฝูเหมิ่งตายไปแล้ว นี่คือโหยวจิ้งเฉิง!”โฉวสือชีรู้สึกเหลือเชื่อ “โหยวจิ้งเฉิ
เมื่อภายนอกเงียบสงบลง คนใบ้จึงคลายเชือกแล้วลุกขึ้น และรีบเข้าไปแกะเชือกที่มัดลั่วชิงยวนออกจากนั้นก็แกะเชือกของโฉวสือชีทั้งสามหมอบต่ำฟังเสียงฝีเท้าที่ยังคงเดินไปมาอยู่ภายนอกเมื่อมองลอดร่องประตูออกไปก็เห็นว่ามีคนอยู่ค่อนข้างมากมายโฉวสือชีรีบรวบแขนเสื้อขึ้น หมายจะกระโจนออกไปเสียเดี๋ยวนั้นแต่ลั่วชิงยวนกลับดึงเขาไว้ ก่อนจะหยิบขวดยามาแล้วคุกเข่าลงนำปากขวดไปที่ร่องประตู และเป่าเบา ๆผงยาปลิวออกไปตามลมราตรีรออยู่ครู่หนึ่ง คนที่อยู่ติดด้านนอกประตูก็ล้มลงก่อนคนอื่น ๆ รีบกรูเข้าไปดู “เกิดกระไรขึ้น?”และแล้วก็ทยอยกันล้มลงทีละคนเมื่อคนล้มลงหมดแล้ว ทั้งสามก็หยิบกริชงัดกลอนประตู เปิดประตูแล้วเดินออกไป“ไป”ลั่วชิงยวนพาทั้งสองรีบออกจากห้องเก็บฟืนเดิมทีคิดจะเข้าไปในเรือนชั้นใน แต่กลับพบว่ามีผู้คุ้มกันตรวจตรามากมาย กระทั่งบนหลังคาก็มีคนเฝ้าอยู่พวกเขาทำได้เพียงหลบซ่อน หลีกเลี่ยงผู้คุ้มกันที่กำลังเดินตรวจตราไปมาโฉวสือชีถามว่า “พวกเราจะออกไปเลยหรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ไปหาโหยวหัวหนิงก่อน นางกำลังมีปัญหา”......ภายใต้ความมืดมิด เวินซินถงค่อย ๆ ย่องออกจากห้องพักพร้อมกำกริช
อวี๋หงตกตะลึง และขมวดคิ้วครุ่นคิด เมืองแห่งภูตผี ที่นั่นมิใช่สถานที่ที่คนธรรมดาสามัญจะไปได้อีกทั้งภูเขาทั้งลูกใหญ่โตเพียงนั้น ศพอยู่ที่ใดก็มิอาจสืบหาได้ จะขุดภูเขาทั้งลูกก็มิใช่เรื่องอวี๋หงยังคงครุ่นคิด ลั่วชิงยวนจึงกล่าวต่อไปว่า“ข้าสามารถนำท่านขึ้นเขาได้ บนเขายังมีผู้คนมากมาย พวกเขาจะเป็นพยานให้ข้าได้”“อวี๋ตันเฟิ่งตายไปหลายสิบปีแล้ว คนอายุเท่าข้าไม่มีทางสังหารนางได้ ข้าหลอกลวงท่านหรือไม่ เมื่อถึงกาลนั้นท่านย่อมกระจ่าง”“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านมิรู้สึกหรือว่าหลังจากภรรยาของท่านกลับมาเมื่อคืนก็มีบางสิ่งผิดปกติ?”“บัดนี้นางมิใช่โหยวหัวหนิงแล้ว! หากมิรีบขับไล่สิ่งชั่วร้าย ภรรยาของท่านจะเป็นอันตรายถึงชีวิต!”อวี๋หงมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยแต่ในเวลานั้นเอง ร่างหนึ่งก็บุกเข้ามาในห้องเก็บฟืนโดยตรงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านเจ้าเมือง ภรรยาของท่านมิได้มีปัญหาอะไร ท่านอย่าได้ถูกลั่วชิงยวนหลอกลวง”“ถึงแม้จะมีปัญหาอะไรจริง ข้าก็สามารถจัดการให้ท่านได้”เมื่อเห็นผู้มาเยือน รูม่านตาของลั่วชิงยวนก็หดเล็กลงเวินซินถง!ในที่สุดนางก็ปรากฏตัวแล้ว!อวี๋หงยังคงครุ่นคิด เวินซินถงจึงกล่าวอี
อวี๋หงเดินนำหน้า สีหน้าดูโกรธเคืองยิ่งนักเมื่อประตูห้องเปิดออก อวี๋หงก็เดินเข้ามา“ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน คิดดีแล้วหรือยัง” อวี๋หงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงไว้ด้วยความข่มขู่“ยังมิยอมบอกใช่หรือไม่? ได้!”จากนั้นอวี๋หงก็โบกมือ ผู้คุ้มกันหลายคนถือถังเข้ามาเมื่อเปิดออก ด้านในมีทั้งงูพิษและแมงป่องพิษอวี๋หงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ของพวกนี้เพียงพอที่จะทรมานพวกเจ้าให้ตายทั้งเป็น!”“ในเมื่อเจ้ามิคิดจะกล่าวสิ่งใดก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายแล้วกัน”หลังจากพูดเช่นนั้น อวี๋หงก็ออกคำสั่งทันที “ใครก็ได้!”“ให้พวกมันสองคนลิ้มรสก่อน!”อวี๋หงชี้ไปยังคนใบ้และโฉวสือชีเขามองไปยังลั่วชิงยวน “เจ้ายังมีเวลาอีกเล็กน้อย ลองคิดดูอีกทีเถอะ”จากนั้นผู้คุ้มกันก็ก้าวเข้ามาจับตัวโฉวสือชีและคนใบ้ จับเท้าของพวกเขาแล้วถอดรองเท้าออกจากนั้นก็จับงูพิษตัวหนึ่งหมายจะเอามากัดฝ่าเท้าของพวกเขาลั่วชิงยวนใจหายวาบรีบกล่าวเสียงดัง “หยุดนะ!”“ข้าจะบอก!”“ท่านให้พวกเขาทั้งสองหยุดก่อน!”อวี๋หงจึงห้ามผู้คุ้มกัน กล่าวเสียงเย็น “บอกมา”“หากเจ้ากล้าหลอกลวงข้า พวกเจ้าทั้งสามก็ต้องตาย”ลั่วชิงยวนมองไปยังคนอื่น ๆ ในห้อ
คนใบ้ชะงักไปลั่วชิงยวนเองก็ชะงักไปเช่นกัน“เจ้าแกะเชือกอย่างนี้ได้หรือ?” ลั่วชิงยวนสงสัยโฉวสือชียกยิ้ม “อย่าลืมว่าข้าหาเลี้ยงชีพด้วยงานอะไร”คนใบ้จึงพยายามขยับตัวสุดกำลัง พยายามให้เชือกที่อยู่ด้านหลังเผยออกมาให้โฉวสือชีเห็นหลังจากที่โฉวสือชีเกี่ยวปมเชือกได้แล้วก็เริ่มออกแรงนิ้วเท้าลั่วชิงยวนมองเขาด้วยความตกตะลึง ขณะที่เขากำลังค่อย ๆ ใช้เท้าแกะเชือกออกลั่วชิงยวนเองก็เพิ่งเคยเห็นเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เห็นคนใช้นิ้วเท้าคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ สามารถใช้แทนนิ้วมือได้เลยทีเดียวทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็จับเสียงฝีเท้าได้อย่างรวดเร็วนางรีบสั่งให้โฉวสือชีหยุด“มีคนมาแล้ว ซ่อนรองเท้าถุงเท้าให้ดี!”โฉวสือชีรีบดึงเท้ากลับ เก็บรองเท้าถุงเท้าไว้ข้าง ๆ แล้วนั่งขัดสมาธิทับไว้ครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออกเปิดอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นคนที่เข้ามา ลั่วชิงยวนก็ตกใจปรากฏว่าเป็นท่านพ่ออวี๋ท่านพ่ออวี๋ค่อย ๆ เดินเข้ามาย่อตัวลงข้างลั่วชิงยวน แล้วถามว่า “เด็กน้อย เจ้าจงบอกความจริงแก่ข้า การตายของอวี๋ตันเฟิ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่น “หามิได้! มิเกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่