ด้วยชาติกำเนิดของสกุลซูแล้ว อย่างซูถิงหว่านสามารถสมรสเป็นพระชายาของเหิงอ๋องได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดายที่โชคชะตาดันเล่นตลก ซูถิงหว่านแทบจะโพล่งตอบออกไปว่างามสะคราญอะไรกัน ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย แต่เมื่อลองคิดดี ๆ แล้วเจียงเฟิ่งหัวแม้ยามขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้มล้วนงดงามจับใจคนปานนั้น แม้นางกำลังตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็ยังคงครองความงดงามเช่นนั้นได้อีก ไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปรูปโฉมหน้าตาถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้ นางเองก็พยายามเลียนแบบให้ได้เหมือนกัน คิดว่าหากสามารถเปลี่ยนแปลนตนเองให้เป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อมได้เหมือนเจียงเฟิ่งหัว เซี่ยซางจะต้องพึงใจโปรดปรานนาง แต่เหมือนว่านางจะคิดผิดไป เพราะไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดคนที่เซี่ยซางโปรดปรานหลงใหลก็ยังเป็นเจียงเฟิ่งหัว “คุณหนูหว่านอย่าถอดใจไปเลย นอกจากความงดงามแล้ว ยังมีคำว่าโชคชะตา รวมไปถึงบุตร หากเจ้าสามารถตั้งครรภ์โอรสให้เขาได้ มีบุตรเป็นสายใยคล้องใจแล้ว เหิงอ๋องจะไม่โปรดปรานรักใคร่เจ้าได้อย่างไร” อนุหลิ่วอาศัยประสบการณ์สั่งสอนนางทั้งสิ้น เพราะในเรือนสกุลซูขอแค่ให้กำเนิดบุตรสักคนได้ก็มีตัวตนขึ้นมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเบี้ยเดือนยังมาก
อนุหลิ่วโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางอยากจะพูดจาแดกดันว่ามารดาอีกฝ่ายก็เป็นอนุเหมือนกัน นางก็แค่โชคดีที่ถูกเลี้ยงดูในนามของฮูหยินใหญ่ถึงได้กลายมาเป็นธิดาสายตรงของตระกูล แต่เมื่อสำนึกได้ว่านางไม่สามารถล่วงเกินซูถิงหว่านได้จริง ๆ นางก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว “ในเมื่อคุณหนูหว่านไม่มีธุระอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัว บิดาของเจ้ายังรอให้ข้าไปปรนนิบัติรับใช้” “ไปเรียกสาวใช้ของข้ามา นางไปตามอยู่ที่ใดแล้วก็ไม่รู้ บอกให้นางรีบเข้ามา” นางคิดได้ว่าอิ๋นซิ่งเองก็สกปรกมอมแมมเหมือนกัน จึงเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ให้นางอาบน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยมา” อนุหลิ่วเอ่ย “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนยกน้ำกล่าวว่าทางหมอหญิงเย่ก็ให้พวกเขาไปตักน้ำเหมือนกัน สาวใช้ของเจ้าคงจะมีคนจัดการให้แล้วกระมัง” เย่ซู่ซู่ขมวดคิ้วแน่น “สตรีที่อยู่ในกระโจมของท่านอ๋องหรือ?” “ใช่” อนุหลิ่วกล่าว “ดูเหมือนว่าพระชายารองจะมีคู่ต่อกรแล้วกระมัง แม่นางท่านนั้นรูปโฉมงดงามเพริศพริ้ง เหิงอ๋องเองก็ปฏิบัติกับนางไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป ดูจะโปรดปรานนางมากทีเดียว” “นางเป็นคนดูแลปรนนิบัติท่านอ๋องตลอดเลยหรือ?” ซูถิงหว่านถาม อนุหลิ่วตอบ “บิดาของเจ้าไ
พวกโจรภูเขาชั่วช้าสามานย์ถึงขีดสุด ฆ่าคนปล้นทรัพย์ ลักพาตัวกุลสตรีจากครอบครัวสุจริต กระทำทุกความชั่วช้า องครักษ์ของนางออกจากเมืองหลวงก็ถูกฆ่าตายทันที มิหนำซ้ำยังเว้นชีวิตของนางและสาวใช้ของนางไว้ แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว ซูถิงหว่านยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าซูเซวี่ยนก็พูดว่า “ไปจัดการล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด ข้ามองจากท่าทางเมื่อครู่ของเหิงอ๋องแล้ว เขายังมิได้พูดออกมาว่าไม่ต้องการเจ้าแล้ว เจ้ายังพอมีโอกาส” หากว่านางเสียตัวไปแล้ว เซี่ยซางคงไม่มีทางยอมให้นางอยู่เคียงข้างกายต่อไปแน่ ดูเหมือนว่าสกุลซูจะต้องเปลี่ยนตัวคนเข้าจวนอ๋องแล้ว พวกเขาได้รับข่าวมาแล้วว่าฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะแต่งตั้งเหิงอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ส่วนซูถิงหว่านหลังเห็นภาพนิมิตในฝันแล้วนางก็มิได้ส่งข่าวเรื่องนี้กลับไปให้สกุลซู นางคิดว่าเมื่อเดินทางถึงเขตชายแดนแล้วจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาด้วยตนเอง กลับคิดไม่ถึงว่าระหว่างทางนางกลับต้องมาประสบพบเจอเรื่องเหล่านี้ นางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสกุลซูมองนางเป็นแค่หมากตัวหนึ่งซึ่งถูกทอดทิ้งไปเสียแล้ว ตอนแรกสกุลซูส่งซูถิงหว่านไปใกล้ชิดกับเซี่ยซาง หมากตัวนี้นับว่าเดินได้ถูกต้องแล้ว
เย่ซู่ซู่เคยได้ยินเรื่องของพระชายารองท่านนี้มาบ้าง เป็นคนที่ท่านอ๋องโปรดปรานที่สุด ทว่าจากที่เห็นตรงหน้า นางรีบก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวและอุดจมูกของตนเองเอาไว้ พร้อมตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพแต่ไม่ยอมอ่อนข้อว่า “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าคอยอยู่ดูแลท่านอ๋อง รับผิดชอบเปลี่ยนยาและทำแผลล้างแผลให้เขา” ขณะนี้เอง ซูถิงหว่านเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้เซี่ยซางได้รับบาดเจ็บมา นางเอ่ยด้วยความเป็นกังวล “อาซาง ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ? บาดเจ็บตรงไหนหรือ ให้หม่อมฉันดู…” เซี่ยซางเองก็คิดไม่ถึงว่าซูถิงหว่านจะกลายเป็นแบบนี้ ทั้งที่บอกให้นางคอยอยู่ที่เมืองเซิ่งจิงดี ๆ นางกลับไม่เชื่อฟัง ดื้อรั้นจะออกมา จนสุดท้ายต้องลงเอยด้วยสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ เขาเอ่ย “จวนจะหายดีแล้ว ข้าถูกเกาทัณฑ์ยิงมาจากที่ลับ บาดแผลก็จวนจะสมานดีแล้ว” ในยามนี้ ซูเซวี่ยนและแม่ทัพซูบิดาของนางก็เข้ามาในกระโจมแล้ว ทว่าเขากลับมองไม่เห็นซูถิงหว่าน “หวานหว่านอยู่ที่ใด?” ซูถิงหว่านครั้นได้พบคนในครอบครัว น้ำตาก็ไหลพรากออกมา “ลูกคารวะท่านพ่อ ท่านพี่ใหญ่ ลูกเองหวานหว่าน…” พวกเขามองคนตรงหน้า เสี้ยวพริบตาถึงกับอึ้งงันไป ก่อ
เซี่ยซางเห็นนางมีสภาพอนาถถึงเพียงนี้ก็เกือบนึกไม่ออกว่าเป็นใคร “เจ้ามิได้อยู่ที่เมืองเซิ่งจิงหรือ เหตุใดจึงมาโผล่อยู่ที่นี่?” ซูถิงหว่านยิ่งคิดยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จึงทรุดตัวลงซบบนตักเซี่ยซาง “เดิมที่หม่อมฉันตั้งใจจะกลับเรือน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดหม่อมฉันเกิดหลงทางกลางคัน แล้วยังไปเจอโจรป่า พวกมันสังหารผู้ติดตามของหม่อมฉันจนหมดแล้วยังจับหม่อมฉันไปขังไว้ในถ้ำ กว่าหม่อมฉันและอิ๋นซิ่งจะหนีรอดออกมาไม่ง่ายเลยเพคะ…” ซูถิงหว่านหลังจากจัดการฝังศพจีเฉินเรียบร้อย นางก็ออกเดินทางจากเมืองเซิ่งจิงทันที ตอนแรกยังเดินทางอยู่ดี ๆ กลับคิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะบังเอิญเจอกับนักต้มตุ๋น ต่อมานางถึงได้รู้ว่าคนพวกนั้นใช่นักต้มตุ๋นเสียที่ไหน แท้จริงแล้วคือโจรป่าต่างหาก พวกมันไม่เพียงปล้นเอาเงินของนางไปจนหมด ซ้ำร้ายอาภรณ์กันความหนาวของนางก็ยังถูกชิงเอาไปด้วย พวกมันยังจับนางไปขายให้เรือนคณิกา หากมิใช่เพราะนางมีวรยุทธ์ติดตัว นางคงเสียตัวไปแล้ว แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้นางมิได้เล่าออกไป หลังจากหนีออกมาจากเรือนคณิกาได้แล้ว นางก็ไม่กล้าไปฟ้องทางการ ด้วยฐานะของนางเป็นถึงพระชายารองของเหิงอ๋อง เรื่องนี้หากถูกคน
หลินเฟิงเองก็นั่งลงด้วยเช่นกัน “สถานการณ์อันตรายเพียงนี้ อีกทั้งการรบก็ดุเดือด หากเป็นคนทั่วไปคงพากันหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม่นางเย่จะเข้าร่วมการคัดเลือกแพทย์ในเมืองเซิ่งจิงเพื่อมาที่เขตชายแดน” “โชคดีที่ได้แพทย์อาสากลุ่มนี้อย่างพวกท่านมาช่วยเหลือ มิเช่นนั้นหากจะพึ่งพาเพียงแพทย์ทหารในกองทัพอย่างเดียว ทุกคนจะต้องวุ่นวายมือไม้พัลวันกันไปหมด และมีทหารบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนแน่ แต่เพราะได้กลุ่มแพทย์อาสามาช่วยไว้ทัน ทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ต้องทนทรมานมากนัก” เย่ซู่ซู่ตอบกลับว่า “ซู่ซู่มิบังอาจรับความดีความชอบไว้เพียงคนเดียว หนนี้หมอชาวบ้านที่อาสาเข้ามาเป็นกำลังหนุนมีมากถึงสามสิบกว่าคน ราชสำนักเองก็มิได้ให้พวกข้ามาเปล่า ยังให้เงินจุนเจือในจำนวนที่เพียงพอด้วย การที่สตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งสามารถให้การช่วยเหลืออะไรพวกท่านได้ ข้าก็รู้สึกปีติยินดียิ่งนักแล้ว ซู่ซู่กลับรู้สึกว่าทหารต่างหากที่กล้าหาญ พวกเขาต่อสู้ต้านทานศัตรูโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง เพื่อปกป้องพวกเราประชาชนไว้ ในฐานะราษฎรคนหนึ่งของต้าโจว แม้ราชสำนักจะมิได้ให้เงินจุนเจือ แต่ด้วยคุณธรรมแล้วข้าจะมาที่ชายแดนเพื่อร่วมปกป้
เขาเองแสร้งทำเป็นฟังอะไรไม่เข้าใจ รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาโดยเร็ว “กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราไปเดินชมโคมไฟที่ถนนกันเถิด!” ได้ยินคำว่าถนนขึ้นมา เจียงจื้อชินตื่นเต้นเป็นคนแรก โพล่งออกมาด้วยความดีใจว่า “ดีเลย!” พวกเด็ก ๆ อีกหลายคนก็ดีใจกันยกใหญ่เช่นกัน “พวกข้าเองก็จะไปด้วย จะไปกับท่านลุงด้วย” หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย เจียงเฟิ่งหัวมิได้มาชมความครึกครื้นที่ท้องถนน นางอยู่ในเรือนคอยเป็นเพื่อนบิดาเจียงและมารดาเจียง สามพี่น้องสกุลจินเองก็ตื่นเต้นกับการออกไปข้างนอกมาก ดังนั้นเจียงหรูเมิ่งสามีภรรยาจึงจำเป็นต้องออกไปด้วย จางอวี่มั่วถามเพื่อความแน่ใจครั้งแล้วครั้งเล่า “น้องหญิงสาม เจ้าจะไปออกไปข้างนอกกับพวกข้าจริงหรือ?” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ย “ข้าไม่ไปรบกวนช่วงเวลาหวานชื่นของท่านกับพี่ใหญ่หรอก พวกท่านรีบไปเถิด!” จางอวี่มั่วเอ่ย “ข้ารู้แล้ว น้องหญิงสามคงอยากรอให้เหิงอ๋องกลับมาก่อน แล้วค่อยออกไปเดินเล่นกับเขาสินะ” เจียงเฟิ่งหัวไม่เคยมีความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว นางรู้สึกว่าตั้งครรภ์ท้องโตแบบนี้ออกไปข้างนอกไม่สะดวกก็เท่านั้น นางจึงแสร้งทำเป็นเขินอายแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกท่านล้วนอยู
มารดาเจียงและคนสกุลเจียงกลับมาถึงโถงหน้าแล้ว มองเห็นสำรับอาหารเต็มโต๊ะ ทว่าทุกคนกลับไม่มีความคิดจะยกตะเกียบแม้แต่คนเดียว พวกบ่าวรับใช้นั่งอยู่เต็มสองโต๊ะด้านข้าง เห็นเจ้านายไม่ขยับตะเกียบ พวกเขาเองก็ไม่กล้าขยับเช่นกัน ไม่เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นในสกุลเจียงมาก่อน มารดาเจียงกลับมาก็มิได้ดุด่าสั่งสอนสามพี่น้องสกุลจินจริงจังอะไร หลานแสนน่ารักของนาง นางจะกล้าใจแข็งขึ้นเสียงตวาดได้อย่างไร กลับเป็นเจียงจื้อชินเสียอีกที่ถูกต่อว่าอย่างเจ็บแสบ บัดนี้ก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยดีแล้ว เฝิงจิ้งย่วนยังรู้สึกยินดีปรีดาที่สุดท้ายบุตรชายก็เริ่มคิดได้เสียที การที่เขาเปิดใจยอมรับจางอวี่มั่วได้ก็แสดงว่าเขาตัดใจจากสวี่อิ๋งเอ๋อร์ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางกลัวมาตลอดว่าสวี่อิ๋งเอ๋อร์จะเป็นปมในใจของบุตรคนโต หากเขาไม่สามารถปล่อยวางได้ เขาก็จะต้องจมอยู่ในความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต และเขาจะไม่มีวันได้พบกับความสุขไปตลอดชีวิต ที่ขอบของมารดาเจียงพลันเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา เจียงหวยเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “ฮูหยิน เหตุใดเจ้ายังร้องไห้อีก ดูสิพวกลูก ๆ มองอยู่” “ข้าก็แค่มีความสุข” มารดาเจียงปาดน้ำต
เฝิงจิ้งย่วนกล่าวว่า “คอยดูนะ ข้าจะต้องจัดการกับจินหมิงตงแน่ รายงานข่าวปลอม ช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้ว”เจียงหวยเดินเข้ามาใกล้ “เจียงจิ่นเหยียนรังแกเมียเขาอย่างไรหรือ?”เฝิงจิ้งย่วนรีบปิดปากของเขาไว้ จับมือเขาได้ก็ดึงออกไปทันที วันนี้เป็นวันที่นางขายหน้าที่สุดในชีวิตแล้วเจียงหรูเมิ่งกับเจียงเฟิ่งหัวสบตากันทีหนึ่ง “ที่แท้พี่ชายของพวกเราก็มิใช่นักบวช เขาก็มีหกอารมณ์เจ็ดปรารถนาเหมือนกัน ดูท่าบ้านเราจะมีสมาชิกเพิ่มอีกแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เอ่ยปากอย่างปรารถนาว่า “พวกท่านทำต่อไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องออกมาฉลองเทศกาลโคมไฟแล้ว ดึกกว่านี้หน่อยข้าจะให้คนส่งของกินมาให้พวกท่าน จะได้เพิ่มพูนพลังกาย!”พูดจบ นางก็ช่วยพวกเขาปิดหน้าต่างด้วยความหวังดี แล้วกล่าวอีกว่า “พี่ใหญ่อย่าลืมลงกลอนประตูล่ะ ไปที่เตียงในห้องชั้นในเถอะ โต๊ะนั่นไม่สบายเลย”เจียงเฟิ่งหัวดึงเจียงหรูเมิ่งไปแล้ว ยังดีที่สาวใช้สกุลเจียงต่างมีระเบียบวินัย ล้วนอยู่ในห้องอาหารมิได้ตามเข้ามาด้วย เจ้านายทะเลาะกัน พวกนางยังคงหัวไวนัก จึงไม่มาร่วมชมเรื่องขายหน้าของเจ้านายด้วย นี่ถึงได้เลี่ยงไม่ให้เรื่องดีอันน่าตื่นตะลึงของคนทั