ว่างเว้นไร้กิจจึงมาฟังเพลงในหอเริงรมย์ที่อี้หงหยวนข้างจุดพักแรม หวงจี๋เทียนขดตัวอยู่บนเตียงตัวยาว มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ อีกมือหนึ่งเคาะหน้าตัวเองเป็นจังหวะข้างกาย มีหญิงงามอันดับหนึ่งสองนางผลัดกันปอกผลไม้ป้อนใส่ปากด้านหน้าเตียงไม่ไกลนัก มีนักร้องชายหญิงคู่หนึ่งกำลังบรรเลงเพลงน้อยเสียงใสเพลงที่ร้อง ล้วนแฝงนัยลึกซึ้งเฉพาะผู้ใหญ่ แม้ไม่โจ่งแจ้ง แต่ก็ชวนให้จินตนาการ ถึงขนาดหวงจี๋เทียนที่ยึดตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ยังต้องขบคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายและเพราะเหตุนี้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ถึงกับแทงใจกลับยิ่งดูน่าสนุกขึ้นมาผู้ชายหนอ ก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้นสิ่งใดได้มาง่ายย่อมไม่หวงแหน ตรงกันข้าม หากต้องใช้ความพยายาม แทรกเล่ห์เหลี่ยมนิดหน่อยกว่าจะได้มา จะรู้สึกทั้งพึงใจและภูมิใจ“ชีวิตเช่นนี้ ต่อให้เป็นเซียนข้าก็ไม่แลกหรอกนะ”หวงจี๋เทียนอ้าปากรับองุ่นลูกหนึ่งที่หญิงงามข้างกายป้อน แล้วหันไปซดน้ำลูกหยางเหมยเย็นๆ อีกคำ ก็รู้สึกว่าคนต้าฉินช่างรู้จักใช้ชีวิตดีเหลือเกิน คิดแล้วก็น่าเศร้า ตัวเขาในแคว้นจินก็เป็นถึงองค์ชายแท้ๆ แต่ไม่เคยลิ้มรสความสุขเช่นนี้เลยมิน่าล่ะ ถึงได
ด่านเย่ว์หยาเป็นสถานที่พิเศษและปิดตายถึงเพียงนั้น แม้แต่ราชสำนักจะเข้าไปแทรกแซงก็ยังยาก ดังนั้นในทั้งราชสำนักและแผ่นดินนี้ มีเพียงจ้าวเสวียนจีเท่านั้นที่สามารถสอดมือเข้าไปได้หลี่เฉินเดิมทีคิดว่า เมื่อส่งพี่น้องสกุลอู๋ไป ด่านเย่ว์หยาก็น่าจะหมดปัญหาในคราเดียวแต่ไม่นึกเลยว่า เจ้าแก่เจ้าเล่ห์อย่างจ้าวเสวียนจีจะซ่อนแผนการไว้ลึกถึงเพียงนี้ ยังมีไพ่ใบสุดท้ายเก็บไว้อีกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ไม่ใช่แค่หลี่เฉินที่ไม่คาดคิด เกรงว่ากระทั่งต้าสิงฮ่องเต้เองก็คงไม่เคยคิดถึงจ้าวเสวียนจีลอบนำกองทัพแคว้นเหลียวเข้าประเทศ หากเลวร้ายที่สุด จักรวรรดิต้าฉินอาจเผชิญกับภัยล่มสลายทั้งแผ่นดินแม้ในสถานการณ์ที่เบาที่สุด ก็เท่ากับเป็นการเริ่มต้นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างสองแคว้น กองทัพแคว้นเหลียวระดมทหารถึงหกแสน หากรบกันจริง จำนวนทหารรวมของทั้งสองฝ่ายย่อมทะลุล้านคนเป็นแน่จะเสียหายทั้งแรงงานและทรัพย์สินก็ว่าไปอย่าง ที่น่ากลัวคือ ตอนนี้ต้าฉินมิได้อยู่ในสภาพที่จะรบศึกใหญ่อย่างนี้ได้เลยซูเจิ้นถิงเห็นหลี่เฉินยังเต็มไปด้วยโทสะ จึงรีบกล่าวว่า “ฝ่าบาท บัดนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบสถานการณ์ที่ด่านเย่ว์หยาใ
“กระหม่อมทั้งหลาย ขอส่งเสด็จฝ่าบาท”ขุนนางทั้งราชสำนักลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อส่งเสด็จทว่า เมื่อร่างของหลี่เฉินหายลับไปแล้ว ก็มีผู้หนึ่งเพิ่งตระหนักขึ้นมาตำแหน่งของจางปี้อู่ยังไม่ได้ประกาศ!หลังการปฏิรูประบบใหม่ คณะเสนาบดีแทบไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย สิทธิ์ขาดทั้งหมดถูกแบ่งให้กับสามกรมใหม่อย่างสิ้นเชิง และจากรายชื่อที่เพิ่งประกาศเมื่อครู่ ก็ทำให้ทุกคนตระหนักว่า ตำหนักบูรพาไม่ได้คิดกำจัดพวกคณะเสนาบดีให้หมดสิ้นตำแหน่งในสามกรม ถูกแบ่งในสัดส่วนประมาณหกต่อสี่ ระหว่างฝ่ายตำหนักบูรพากับฝ่ายคณะเสนาบดีตำหนักบูรพาได้เปรียบมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เด็ดขาดถึงขั้นตัดหัวฝ่ายตรงข้ามนี่ก็เป็นเรื่องปกติของการเมืองถึงอย่างไรจ้าวเสวียนจีก็ยังไม่ได้ล่มสลาย ฝ่ายคณะเสนาบดีย่อมยังต้องมีที่ยืนอยู่บ้างเพราะต้องเข้าใจว่า ขุนนางที่มีคุณวุฒิสูงและประสบการณ์มากที่สุดในราชสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนมาจากคณะเสนาบดีหากจะกำจัดทิ้งเพียงเพราะที่มาทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่นนั้นก็ไม่มีทางหาใครมาเติมเต็มสามกรมได้เพียงพอแน่นอนแต่ถึงทั้งหมดจะดูปกติ กลับมีเพียงคนเดียวในฝ่ายคณะเสนาบดีที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างจางปี้อู่…กลับไม่ได้ตำแหน่
ข่าวที่มาอย่างกะทันหัน ทำให้ตะเกียบของหลี่เฉินที่กำลังคีบอาหารค้างอยู่กลางอากาศผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินจึงวางตะเกียบลงช้าๆ แล้วยกมือขึ้น วั่นเจียวเจียวที่ยืนรอรับใช้ด้านข้างก็เข้าใจทันที รีบย่อตัวส่งผ้าเช็ดปากมาให้หลี่เฉินรับผ้าเช็ดปาก เช็ดปากเบาๆท่าทางเช่นนี้ ทำให้ขุนนางทั้งห้องอาหารพร้อมใจกันวางตะเกียบลงสองคนที่เพิ่งคีบอาหารเต็มปาก รีบกลืนลงไปด้วยความร้อนรน แต่กลับติดคอจนตาเหลือกหลี่เฉินกวาดตามองขุนนางทั่วห้อง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะประกาศการแต่งตั้งตำแหน่งที่ได้ตัดสินใจไว้แล้วโดยตรง”ไม่ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยเป็นการไม่ทันตั้งตัวโดยสิ้นเชิงตามปกติ การแต่งตั้งตำแหน่งระดับใหญ่เช่นนี้ ควรเป็นพิธีการที่เคร่งครัด ยิ่งกว่านั้นควรประกาศในพระที่นั่งไท่เหอด้วยซ้ำ ผู้มีสายตาเฉียบแหลมล้วนรู้ว่าองค์รัชทายาทตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้วแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เฉินทงมากระซิบกับรัชทายาทเพียงคำเดียว กลับทำให้องค์รัชทายาทเร่งรัดตารางทั้งหมดขึ้นทันที?เขาบอกเรื่องอะไรกันแน่?ขุนนางไม่น้อยรู้สึกราวกับมีแมวข่วนอยู่ในอกแต่หลี่เฉินไม่ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาครุ่นคิด กล่าวต่อว่า “สวีฉั
จ้าวเสวียนจีหันขวับไปทันที สีหน้าไร้ความรู้สึก มองจางปี้อู่ที่อยู่ไม่ไกลเบื้องหลัง กำลังยิ้มร่าเข้าไปใกล้ซูเจิ้นถิงสายตานั้นราวกับหนามแหลมแทงเข้าไป จางปี้อู่รู้สึกได้เช่นกัน เขาหันมามอง แววตาทั้งสองสบกัน แต่จางปี้อู่กลับไม่มีท่าทีใดๆฟู่อวี้จือขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดซูเจิ้นถิงเองก็ดูประหลาดใจกับท่าทีเป็นมิตรของจางปี้อู่ เขายิ้มเล็กน้อย ประสานมือกล่าวว่า “ใต้เท้าจางมีเรื่องจะพูดกระนั้นหรือ?”ขณะพูด ซูเจิ้นถิงก็จงใจผ่อนฝีเท้าลง ส่วนคนที่ล้อมอยู่รอบข้างเขาต่างก็รู้กาลเทศะ ล่าถอยไปก่อน“พวกเราไปกันเถอะ”จ้าวเสวียนจีเอ่ยเรียบๆ เรียกฟู่อวี้จือ แล้วเป็นฝ่ายเดินนำออกไปฟู่อวี้จือหันไปมองจางปี้อู่ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ได้เพียงถอนหายใจ แล้วเดินตามจ้าวเสวียนจีไปเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินลับหลังไป ซูเจิ้นถิงจึงหันมาถามจางปี้อู่ว่า “ใต้เท้าจาง บัดนี้ยังมีเรื่องจะพูดกับข้าหรือไม่?”จางปี้อู่กล่าวอย่างเย็นชา “ข้ามิได้อาศัยแม่ทัพซูเพื่อจงใจยั่วโทสะผู้ใด ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น”ซูเจิ้นถิงยังคงยิ้มไม่ลด กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ใต้เท้าจางอยากพูดสิ่งใด ข้ายินดีรับฟัง”จางปี้อู
มาแล้ว มาแล้ว จริงดังคาดเมื่อจ้าวเสวียนจีได้ยินถ้อยคำที่ดูอ่อนโยนของหลี่เฉิน แววตาก็พลันมืดครึ้มลงเขามองหลี่เฉิน เห็นอีกฝ่ายยิ้มละไม ท่าทางอ่อนโยน น่าคบหา จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเสนอเช่นนี้…ดียิ่งนัก”ใช่ว่าจะปฏิเสธไม่ได้แต่จ้าวเสวียนจีรู้ดีว่า ปฏิเสธไปก็ไร้ผลหากการปฏิเสธใช้ได้ผล เขาคงปาใส่หน้าหลี่เฉินด้วยคำว่ากระหม่อมไม่เต็มใจไปนานแล้วทว่าแผนของหลี่เฉินครั้งนี้คือเล่ห์กลที่เปิดเผย จ้าวเสวียนจีทำได้เพียงก้าวเท้าเข้าสู่กับดักเขาหันไปมองจางปี้อู่และฟู่อวี้จือแวบหนึ่งเป็นดังคาด คนทั้งสอง โดยเฉพาะจางปี้อู่ กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวังมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อบีบแน่นแล้วคลายออก ภายในชั่วพริบตา จ้าวเสวียนจีก็ตัดสินใจเรียบร้อย“ตามความเห็นของกระหม่อม ใต้เท้าฟู่ ฟู่อวี้จือ เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้”ถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา บรรยากาศภายในพระที่นั่งไท่เหอไม่เพียงไม่ผ่อนคลาย กลับยิ่งขึงเครียดและชวนให้ระแวงบางเรื่อง เมื่อมีผลลัพธ์ออกมา ก็ถือเป็นอันจบสิ้นแต่บางเรื่อง ผลลัพธ์ที่ปรากฏกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสายตาทุกคู่จับจ้องไปยังฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ บางคนก