Share

บทที่ 6

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หากต้องการช่วงชิงอำนาจใต้หล้า ในอดีตหยางเฉินเคยคิดว่าขอเพียงตนเองแข็งแกร่งพอ องค์ชายองค์อื่น ๆ ก็ไม่นับว่าเป็นที่น่ากังวลแต่อย่างใด

ทว่า ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เขายังไม่ได้เริ่มฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้เกรงว่าคงต้องใช้กลอุบายเพื่อถ่วงเวลาองค์ชายองค์อื่น ๆ ไปก่อน

การที่เขาโยนปัญหานี้ไปให้ซ่างกวนหลิน ก็เป็นการหยั่งเชิงเขาเช่นกัน เพราะซ่างกวนหลินในตอนนี้ ย่อมต้องมีแผนการในใจที่มากกว่า

เป็นไปตามคาด เมื่อซ่างกวนหลินได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มอย่างเฉยเมยแล้วเอ่ยขึ้น “ความโปรดปรานที่ฝ่าบาททรงมีต่อองค์รัชทายาทนั้น เป็นสิ่งที่องค์ชายองค์อื่นมิอาจเทียบได้ กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ”

หยางเฉินมองดูคำพูดบ่ายเบี่ยงของซ่างกวนหลิน ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ขณะที่ในใจกำลังทอดถอนใจกับความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจผู้คน กลับรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอย่างบอกไม่ถูก

ตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ และยังเป็นคนพิการ ก็เป็นการดีที่จะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าในราชสำนักนี้ ผู้ใดกันแน่ที่เต็มใจจะติดตามตนเองอย่างแท้จริง?

ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนที่แน่วแน่ที่สุดของเขาอย่างแน่นอน หากเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ย่อมต้องเป็นคนแรกที่ทรยศต่อเขา

“ท่านอัครมหาเสนาบดี เสด็จพ่อทรงเชื่อใจท่านที่สุด ท่านต้องช่วยทูลสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับข้าให้มากหน่อยนะ!” หยางเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“องค์รัชทายาททรงล้อเล่นแล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” ซ่างกวนหลินเตรียมจะจากไปในจังหวะที่เหมาะสม

หยางเฉินโบกมือ มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป สายตาเพิ่มความเย็นชาและจิตสังหารขึ้นอีกหลายส่วน

...

ภายในห้องของจวนองค์รัชทายาท

เมื่อคืน หยางเฉินได้เปิดเซวี่ยหลิงหลงโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้รับการสืบทอดมรดกของบรรพชนตระกูลหยาง

หลังจากกลับมาถึงห้อง หยางเฉินก็ค่อย ๆ ซึมซับเคล็ดวิชาและวิชาลับที่บรรพชนสืบทอดลงมา ในใจก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

แน่นอนว่า แผนการในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการเร่งด่วนที่สุดก็คือการฟื้นฟูพลังของตนเอง ดังนั้น จึงเตรียมที่จะเริ่มฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’

ในร่างกายมนุษย์นั้น มีเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น และก็ยังมีชีพจรซ่อนเร้นอีกสิบสองเส้น เมื่อใดที่ชีพจรซ่อนเร้นถูกเปิดใช้งาน ไม่เพียงแต่จะสามารถฟื้นฟูพลังได้ ยังสามารถซ่อมแซมเส้นลมปราณที่เสียหายได้อีกด้วย

ทว่า เคล็ดวิชานี้มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือผู้ฝึกจะต้องมีเส้นลมปราณขาดสะบั้นไปจนหมดสิ้น หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน จึงจะสามารถฝึกฝนได้

ตอนนี้หยางเฉินมีเส้นลมปราณขาดสะบั้นทั้งหมด จึงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้พอดี ทุกสิ่งในความมืดมนนี้ ราวกับเป็นลิขิตสวรรค์

‘เพลงทวนอหังการผลาญชีวา’ ที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลหยาง มีทั้งหมดสิบสองกระบวนท่า มีเพียงสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ ทว่า หลังจากที่หยางเฉินได้รับมรดกสืบทอดแล้ว ก็พบว่าเพลงทวนชุดนี้กลับมีถึงสิบสามกระบวนท่า

พูดอีกอย่างก็คือ เพลงทวนที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ปัจจุบัน ได้ขาดกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุดไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว

แน่นอนว่า นอกจากเพลงทวนชุดนี้แล้ว ยังมีเคล็ดวิชาและวิชาลับอีกมากมายที่บรรพชนได้รับมา หลังจากที่ปราบปรามใต้หล้าจนสงบแล้ว ซึ่งก็ถูกบรรพชนซ่อนไว้ในเซวี่ยหลิงหลงเช่นกัน เพื่อทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลานรุ่นหลัง

ก่อนหน้านี้หยางเฉินฝึกฝนเพลงทวนที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ ซึ่งแข็งกร้าวดุดัน ทรงพลังอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับการสังหารศัตรูในสนามรบ

ทว่า หลังจากได้รับการสืบทอดมรดกแล้ว หยางเฉินกลับสนใจวิชากระบี่บิน ‘วิชากระบี่สวรรค์โกลาหล’ ที่บรรพชนทิ้งเอาไว้มากกว่า หลังจากฝึกฝนวิชากระบี่นี้แล้ว จะสามารถใช้วิชา ‘เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่’ และ ‘กระบี่สวรรค์’ ได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทะลวงประตูสวรรค์ ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนได้

ส่วนวิชาลับอื่น ๆ นั้น มีวิชาแพทย์ ‘คัมภีร์สวรรค์หวงจี๋’ ไม่เพียงแต่จะสามารถใช้พลังชี่แท้ในการรักษาโรคช่วยชีวิตคนได้ ยังสามารถช่วยคนทะลวงเส้นลมปราณเริ่นและตู ทำให้ยอดฝีมือขั้นเก้าจำนวนมากสามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับปรมาจารย์ได้

ยังมี ‘วิชาพลังศักดิ์สิทธิ์ไร้รูป’ ที่น่าสะพรึงกลัวอีกอย่างหนึ่ง หลังจากฝึกฝนแล้ว จะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เปลี่ยนโฉมหน้าของคนได้ นับเป็นสุดยอดวิชาลับสำหรับการหลบหนีเอาชีวิตรอดโดยแท้

หยางเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มต้นฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ เป็นอันดับแรก โดยหลักคือการกระตุ้นชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรก ซึ่งชีพจรเส้นนี้ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งสะดือ หรือก็คือตำแหน่งตันเถียนที่ใช้เก็บกักพลังชี่แท้

แม้ว่าเส้นลมปราณของหยางเฉินจะขาดสะบั้นไปหมดสิ้น พลังชี่แท้ไม่อาจโคจรได้ ทว่า พลังชี่แท้ที่หยางเฉินได้บำเพ็ญมานานหลายปี ยังคงอยู่ในตันเถียนของร่างกาย เพียงแต่ไม่สามารถโคจรได้อย่างราบรื่นเท่านั้น

หยางเฉินนั่งขัดสมาธิ ชักนำพลังชี่แท้จากตันเถียนให้ค่อย ๆ ไหลเข้าสู่ชีพจรซ่อนเร้น เริ่มทะลวงผ่านแต่ละด่านไปตามเส้นทางการโคจรพลังที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชา

ชีพจรซ่อนเร้นนั้นซ่อนอยู่อย่างลี้ลับ ไม่ได้กว้างขวางและรวมศูนย์เหมือนเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น ทว่า ชีพจรซ่อนเร้นมีข้อดีคือมีเส้นแขนงมากกว่า ทำให้มีเส้นทางในการโคจรพลังชี่แท้ที่มากกว่า

หากเปรียบเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นเป็นทางด่วน เช่นนั้นแล้วชีพจรซ่อนเร้นก็คือถนนท้องถิ่น ถนนอำเภอ ถนนมณฑลที่ตัดกันไปมา ถึงแม้จะใช้โคจรพลังชี่แท้ได้เช่นกัน แต่การจะไปถึงจุดหมายปลายทางก็ย่อมใช้เวลามากกว่า

นี่ก็คือจุดที่ทำให้การฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ ยากกว่าเคล็ดวิชาอื่น ๆ ทว่า เมื่อใดที่เส้นทางแขนงเหล่านี้ถูกทะลวงจนหมดแล้ว ความเร็วในการโคจรพลังชี่แท้จะเร็วกว่าและรุนแรงกว่าเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นเสียอีก

เมื่อหยางเฉินเข้าใจหลักการในข้อนี้แล้ว เขาก็จมดิ่งลงไปในการฝึกฝนนี้ เพราะอย่างไรเสีย หากการฝึกฝนชีพจรซ่อนเร้นสำเร็จลุล่วงแล้ว ก็จะสามารถโคจรย้อนกลับ ซ่อมแซมเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นที่เสียหายได้

ถึงเวลานั้น ความเร็วในการโคจรพลังชี่แท้และปริมาณของพลังชี่แท้ของเขา จะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว หรืออาจจะถึงสามถึงสี่เท่าตัว

พลังชี่แท้ในตันเถียน ภายใต้การชักนำของหยางเฉิน ได้พุ่งเข้าสู่ชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรก ในไม่ช้าก็พบกับอุปสรรค และทุกครั้งที่พุ่งเข้าปะทะ ก็ทำให้หยางเฉินเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

อย่างไรเสีย การที่พลังชี่แท้พุ่งเข้าปะทะชีพจรซ่อนเร้น ก็เหมือนกับการเปิดถนนท้องถิ่นและถนนอำเภอ ไม่เพียงแต่จะต้องขยายความกว้างของชีพจรซ่อนเร้น ยังต้องกำจัดสิ่งกีดขวางตลอดเส้นทางอีกด้วย

จิตใจของหยางเฉินนั้นแข็งแกร่งเพียงใด อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่ร้อยปีจะมีสักคน หลังจากพยายามมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็สามารถทะลวงเส้นทางแขนงแรกของชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรกได้สำเร็จ

...

เมื่อฟ้าสาง ฮ่องเต้อู่เต๋อได้ส่งคนมาแจ้ง ให้เขาไปเข้าร่วมประชุมเช้าที่ตำหนักเจิ้งหยางในวันนี้

หยางเฉินรู้ดีว่า ฮ่องเต้อู่เต๋อจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อกดดันตนเอง บีบบังคับให้ตนยอมสละตำแหน่งองค์รัชทายาท เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการจะใช้วิธีใดเท่านั้นเอง

หลังจากก่อตั้งจักรวรรดิเฉียนอู่แล้ว ก็ได้สร้างเมืองอู่ตี้อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา และย่อมต้องสร้างพระราชวังที่วิจิตรงดงามตระการตาขึ้นมาด้วย และตำหนักเจิ้งหยางก็คือตำหนักที่ใหญ่และหรูหราที่สุดของจักรวรรดิเฉียนอู่ และยังเป็นตำหนักที่ฮ่องเต้ใช้ประชุมเช้าเป็นประจำอีกด้วย

เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงบนป้ายชื่อของตำหนักเจิ้งหยาง ทหารรักษาพระองค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิก็วิ่งมาจากช่องทางทั้งสองด้าน มาตั้งแถวที่ลานด้านหน้า เพื่อต้อนรับเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าประชุม

ผู้นำทางด้านซ้ายคือท่านอัครมหาเสนาบดีซ่างกวนหลิน ส่วนทางด้านขวาคือแม่ทัพใหญ่หนานกงอู๋ตี๋ ผู้ได้รับสมญานามว่า “เสาหลักแห่งจักรวรรดิ” มีพลังอันแข็งแกร่งถึงระดับขอบเขตปฐพีสำราญ ซึ่งพลังใกล้เคียงกับเขตแดนสวรรค์สำราญ

หลังจากขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าสู่ท้องพระโรงแล้ว องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายองค์อื่น ๆ ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เข้ามาในท้องพระโรงจากประตูข้างเช่นกัน ทุกคนต่างก็ยืนรอฮ่องเต้อย่างเงียบสงบ

ในขณะนั้นเอง ไป๋หานอีก็ได้เข็นรถเข็นเข้ามาในท้องพระโรงจากทางเดินด้านหลัง บนรถเข็นนั้นก็คือหยางเฉินนั่นเอง

“หยางเฉิน เจ้าคนไร้ค่า เจ้ามาทำอะไร?” องค์ชายรองหยางคุนเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา เอ่ยถามเสียงดัง

หยางเฉินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ราวกับมองคนปัญญาอ่อน แล้วเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน “องค์ชายรอง ท่านเรียกชื่อขององค์รัชทายาทตรง ๆ หรือว่าท่านลืมลำดับอาวุโสไปแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะลงโทษท่านหรือ?”

“องค์รัชทายาทหรือ? คนพิการที่สูญสิ้นวรยุทธ์เช่นเจ้า ยังคู่ควรที่จะเป็นองค์รัชทายาทต่อไปอีกหรือ?” องค์ชายรองแค่นเสียงอย่างดูถูก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 100

    เวลานี้ ภายห้องโถงใหญ่ของพระตำหนัก ฮ่องเต้อู่เต๋อกำลังนำฮองเฮาถวายพระพรและถวายของขวัญให้ไทเฮา ไทเฮาที่นั่งอยู่ตรงกลางดีพระทัยจนแย้มสรวลไม่หยุด รีบสั่งให้คนจัดที่นั่งให้ฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ที่มาร่วมงานคล้ายวันพระราชสมภพในวันนี้ ถูกฮองเฮาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้ามาอวยพรวันเกิดเป็นกลุ่มแรกย่อมเป็นบรรดาพระญาติพระวงศ์ ที่สำคัญก็คือเหล่าองค์ชายและพระราชนัดดา แม้แต่องค์หญิงใหญ่หยางจิ่นอวี๋ก็มาด้วยแล้วต่อจากฮองเฮาก็คือเหล่าพระสนมวังหลัง ที่ตามมาติดๆ กันคือเซวียกุ้ยเฟย เซียวซูเฟย และยังมีเจาหรง เจาอี๋ ไฉเหริน และกุ้ยเหรินจากตำหนักในด้วยแม้แต่มารดาของหยางเฉิน ‘พระสนมฉิงกุ้ยเฟย - หลีหว่านฉิง’ ก็ยังมาอวยพรวันเกิดไทเฮาด้วยทว่านอกจากฮองเฮาและกุ้ยเฟยอีกไม่กี่นางแล้ว เหล่านางสนมที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นไม่มีแม้แต่ที่นั่ง จึงทำได้เพียงจากไปทางประตูข้างหยางเฉินในฐานะองค์รัชทายาทและผู้นำของทายาทรุ่นที่สาม แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนสิ้นและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าฐานะของเขายังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่เข้าสู่ห้องโถงเช่นกัน“หลานหยางเฉินขออวยพรเสด็จย่า ขอพระองค์ทรง ‘โชควาสนาเปี่

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 99

    ด้วยความสามารถระดับสามัญวชิระของเขาในอดีต ต่อให้เป็นเพียงพลังยุทธ์สามส่วน ก็สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นแปดลงไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีวิชาลับอันร้ายกาจที่เพิ่มพูนความสามารถได้อีกวันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จย่า หยางเฉินเลือกของขวัญที่ดูเข้าเกณฑ์สองชิ้น เตรียมไปอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่าเรื่องใหญ่อย่างงานคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ย่อมมีฮองเฮาประมุขแห่งวังหลังเป็นผู้กำกับดูแล และมีการเชื้อเชิญเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กับครอบครัว กล่าวได้ว่าครึกครื้นอย่างที่สุดพระตำหนักฉือหนิง เป็นตำหนักที่ประทับของไทเฮา ผู้เป็นพระพันปีหลวงในตอนที่หยางเฉินมาถึงที่นี่ บรรดาเสด็จพี่เสด็จน้องชายทั้งหลายก็ต่างมาถึงกันแล้ว ต่างกำลังเข้าแถวรออยู่นอกตำหนัก เพื่อเข้าไปมอบของขวัญและอวยพรวันเกิดแก่พระพันปี“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง วันนี้พวกท่านไม่ไปเจรจาสันติภาพหรือ?” หยางเฉินแกล้งถามอย่างประหลาดใจ“พอองค์หญิงได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ก็ให้พวกเรามาอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากันต่อ” องค์ชายใหญ่ตอบด้วยรอยยิ้มองค์ชายรองยิ้มแทรกขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงผิงหยางผู้นี้คิดได้รอบ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 98

    คนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงทั้งสองต่างวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย เจ้าวางแผนใส่ข้า ข้าก็วางแผนใส่เจ้า!ในขณะที่องค์หญิงผิงหยางกำลังยินดีนั่นเอง สาวใช้ทั้งสองคนของนางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน คุกเข่าลงกับพื้นทั้งคู่“ทูลองค์หญิง ภารกิจล้มเหลวแล้วเพคะ!”“ว่าอย่างไรนะ? ล้มเหลวแล้ว? หรือถูกเขาค้นพบเข้าแล้ว?” องค์หญิงผิงหยางตกตะลึง“องค์หญิง พวกเราวางกำลังดักซุ่มถึงสองครั้ง แต่ในขณะกำลังจะเข้าสู่หลุมพราง เจ้าหยางเฉินผู้นี้ล้วนวกรถม้ากลับไป ทำให้แผนการของเราล้มเหลวทั้งหมด!” ถัดมา อวิ๋นจือก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งองค์หญิงผิงหยางฟังคำรายงานของสาวใช้ ในใจพลันกระตุกขึ้นมา โพล่งออกมาว่า “หรือหยางเฉินจะพบว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขาจริงๆ ?”“องค์หญิง พวกเรามิได้ถูกเปิดโปงเพคะ เขาน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขา!” ชูเซี่ยส่ายหัว คิดว่าหยางเฉินไม่มีทางสังเกตเห็นพวกนาง“หรือเขาคิดได้ระหว่างทางจริงๆ เลยยอมรับข้อเสนอของข้าแล้วย้อนกลับมาบอกข้า?” องค์หญิงผิงหยางคาดเดา“ข้อเสนออะไรหรือเพคะ?” สาวใช้อวิ๋นจือถาม“ข้าคิดขจัดความสงสัยของเขา จึงบอกไปว่าจะแต่งงานกับเขา แล้วช่วยให้ตำแ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 97

    “เป็นไปไม่ได้ หากฮ่องเต้กล้าปลดท่าน ข้าก็จะให้จักรวรรดิตงเซิ่งเริ่มทำสงคราม หรือฮ่องเต้จะไม่กลัวราษฎรต้องทุกข์ร้อนหรือ?” องค์หญิงผิงหยางเต็มไปด้วยความอหังการหยางเฉินขมวดคิ้ว กล่าวหน้ามุ่ยว่า “องค์หญิง ท่านก็อย่างได้จ้องจะจับข้าอีกเลย ไม่งั้น ท่านไปทำร้ายเสด็จพี่ใหญ่ หรือเสด็จพี่รองแทนเถอะ?”“หยางเฉิน…เจ้ามัน…” องค์หญิงผิงหยางรู้สึกว่าโมโหจนแม้แต่ปอดก็จะระเบิดแล้ว“องค์หญิง ขอลาก่อนล่ะ!” หยางเฉินกลัวจนต้องรีบเผ่นองค์หญิงผิงหยางมองเงาหลังที่จากไปของเขา ความโมโหบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นรอยยิ้มเยาะหยันที่แสนเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกแทน……หลังหยางเฉินขึ้นรถม้าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางพระราชวัง เตรียมกลับไปที่ตำหนักรัชทายาททว่า หลังจากรถม้าแล่นออกไปได้ไม่ไกล หัวใจของหยางเฉินที่นั่งอยู่ในรถม้าก็สั่นสะท้านขึ้นมา เขารีบเปิดใช้วิชาสดับฟ้าแผ่ขยายออกไปทันที“หยุดรถ!” หยางเฉินออกคำสั่งเสียงดังยอดฝีมือที่สำนักตรวจการส่งมาคุ้มครองเขามีราวยี่สิบคน แต่ฝีมือของคนพวกนี้กลับมิได้สูงมากนัก“องค์รัชทายาท เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้รถม้าแล้วกระซิบถาม“พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นว่า

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 96

    ซยงหนูเคลื่อนลงใต้มารุกรานที่ราบภาคกลาง นี่เป็นภัยคุกคามที่มีมานานของจักรวรรดิส่วนการรุกรานในครั้งนี้ของพวกซยงหนู จะเป็นการร่วมมือกับจักรวรรดิตงเซิ่งหรือไม่ หรือจะเป็นเพราะซยงหนูเห็นจักรวรรดิตงเซิ่งปิดล้อมป้อมปราการเกอเอ่อเติง อยากฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ จับปลาในน้ำขุ่น จึงเคลื่อนทัพลงใต้ก็ยากที่จะบอกได้อันที่จริงแล้ว ในสายตาของหยางเฉิน ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นตัวกลับมาได้สามส่วนแล้ว ขอเพียงฟื้นฟูกลับมาได้ห้าส่วน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าเขาก็ไม่กลัว สามารถนำทัพออกศึกได้แล้วตามการขยายขอบเขตของ ‘วิชาสดับฟ้า’ ตอนนี้เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะยี่สิบเมตรแล้ว หากเขาฝึกฝนต่อไป ระยะหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันเมตรก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาขอเพียงมีวิชาลับนี้อยู่ เขาก็จะไม่มีทางตกสู่หลุมพรางของศัตรูอีกเมื่อเผชิญกับท่าทีบีบคั้นผู้คนขององค์หญิงผิงหยาง หยางเฉินก็มิได้ใส่ใจเลย เขากลับหลุดหัวเราะออกมาราวได้ยินเรื่องตลกว่า “องค์หญิง ท่านคิดว่าคำข่มขู่เล็กๆ นี้ของท่าน จะทำให้พวกเรายอมแพ้ได้หรือ?”“ความหมายขององค์รัชทายาทคือ จะรอจนพวกเราตีป้อมปรา

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 95

    การเจรจาสันติภาพของนางกับองค์ชายทั้งสองในวันนี้ ไม่อาจเรียกว่าการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่ามีแมลงวันสองตัวกำลังส่งเสียงหึ่งหึ่งอยู่ข้างหูนาง และทุกครั้งที่พูดถึงประเด็นสำคัญ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมคุยที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือ องค์ชายใหญ่จะเชิญนางไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ ส่วนองค์ชายรองก็จะเชิญนางไปร่วมชมจันทร์ทันทีที่นึกถึงองค์ชายทั้งสองผู้ใช้ร่างกายท่อนร่างแทนสมอง องค์หญิงผิงหยางก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า เมื่อนางแสร้งส่งสัญญาณเป็นนัยว่าตนสนใจหยางเฉิน ก็สามารถปลุกเพลิงโทสะในตัวองค์ชายทั้งสองขึ้นมาได้สำเร็จหากกระตุ้นพวกเขาต่อไป ไม่แน่อาจทำให้พวกเขากำจัดหยางเฉินทิ้งก็ได้นับแต่โบราณมา ‘อุบายหญิงงาม’ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร้อยครั้งสัมฤทธิ์ผลร้อยครา องค์หญิงผิงหยางใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ องค์ชายทั้งสองย่อมติดกับเป็นธรรมดาในความเป็นจริงแล้ว เพื่อต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายทั้งสองก็มีความคิดจะสังหารหยางเฉินมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งคนไปลอบโจมตีเรือนรับรองทิงเฟิงครั้งนี้ องค์หญิงผิงหยางแค่กระตุ้นพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็พลันเกิดจิตสังหารต่อหยางเฉินแล้ว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status