Share

บทที่ 7

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
แม้ว่าจักรวรรดิเฉียนอู่จะก่อตั้งขึ้นด้วยการทหาร ทว่า ขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ก็ยังคงเข้มงวดอย่างยิ่ง

องค์รัชทายาทคือองค์รัชทายาทของจักรวรรดิ การที่องค์ชายรองเรียกชื่อของเขาตรง ๆ นับเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง หากเป็นในยามปกติ หยางเฉินคงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้ว

แต่ว่า ตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว หากลงมือขึ้นมา ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด

องค์ชายรองกล่าวเย้ยหยันหยางเฉินว่าเป็นคนพิการต่อหน้าเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ เดิมทีแล้วก็เพื่อต้องการที่จะยั่วยุหยางเฉิน และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อให้เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ได้เห็นว่า ตนเองแข็งข้อกับองค์รัชทายาทอย่างไร?

แน่นอนว่า นี่ก็เป็นการบอกแก่ขุนนางที่เคยสนับสนุนหยางเฉินว่า ยุคของหยางเฉินได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกท่านสามารถเลือกข้างใหม่ได้แล้ว

“พี่รอง ความหมายของท่านคือท่านคู่ควรที่จะเป็นองค์รัชทายาทสินะ” หยางเฉินกล่าวพลางแค่นเสียงเย็น

“อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนพิการ ไม่ใช่คนไร้ค่า เจ้าว่าจริงหรือไม่?” หยางคุนถามกลับเสียงเย็น

“เมื่อก่อนยามเจอหน้าข้า ก็เหมือนหนูเจอแมว ไม่เดินเลี่ยงก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น คนไร้ค่าอย่างท่านยังกล้ามาเยาะเย้ยข้าอีกหรือ? ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

“อย่างไรเล่า? ตอนนี้ข้าบาดเจ็บ ท่านก็คิดว่าท่านจะเหิมเกริมได้แล้ว คิดว่าสามารถเป็นศัตรูกับข้าได้แล้วหรือ คนโง่อย่างท่าน ไม่รู้จริง ๆ ว่าความกล้าของท่านมาจากที่ใด?”

“ข้าจะบอกอะไรให้ หว่านเอ๋อร์ตายอย่างไร? ข้าจะทำให้คนที่ฆ่านาง ได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน!”

หยางเฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ตวาดเสียงดัง และยังกล่าวถึงการตายของหว่านเอ๋อร์

“หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่ข้าที่ฆ่า เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!” หยางคุนร้อนรน รีบปฏิเสธทันที

“ข้าพูดแล้วหรือว่าท่านฆ่าหว่านเอ๋อร์? ข้าเหมือนจะยังไม่ได้พูดเลย? นี่ท่านร้อนตัวรับสารภาพเองมิใช่หรือ?” หยางเฉินกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

องค์ชายเจ็ดหยางอวี๋เห็นพี่รองถูกเหยียดหยาม ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง “หยางเฉิน หว่านเอ๋อร์กัดข้า ข้าฆ่านางแล้วจะทำไม? นางก็เป็นแค่ทาสรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น หรือเจ้ายังคิดจะแก้แค้นแทนนางอีกหรือ?”

เมื่อหยางเฉินได้ยินว่าเขาเป็นคนฆ่าหว่านเอ๋อร์ ไอสังหารอันเย็นเยียบก็แผ่กระจายออกมา สีหน้าเขียวคล้ำพลางเอ่ยขึ้น “ข้าเคยพูดไว้แล้ว หว่านเอ๋อร์ตายอย่างไร? ข้าก็จะทำให้ฆาตกร ได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน!”

“หยางเฉิน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ วันนี้ที่ฝ่าบาททรงเรียกพวกเรามา ก็เพื่อที่จะประกาศปลดเจ้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” องค์ชายเจ็ดพลั้งปากเปิดโปงออกมา

ซ่างกวนหลินและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ตระหนักได้ว่าองค์ชายเจ็ดคงจะได้รับข่าวมาก่อนอย่างแน่นอน จึงได้เผลอหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าเจ็ด ไม่ทราบว่าเจ้าได้ข่าวมาจากที่ใด? หรือว่าเจ้าแอบส่งคนไปไว้ข้างกายฝ่าบาท?” หยางเฉินเอ่ยถามเสียงเย็น

อะไรนะ? แอบส่งคนไปไว้ข้างกายฝ่าบาท?

หากฝ่าบาททรงทราบเข้า นี่นับเป็นโทษมหันต์!

“หยางเฉิน เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ข้าจะกล้าส่งคนไปไว้ข้างกายเสด็จพ่อได้อย่างไร? ท่านอย่ามาพูดจาเหลวไหล!” องค์ชายเจ็ดรีบปฏิเสธเสียงดัง ตะคอกใส่หยางเฉินอย่างเกรี้ยวกราด

องค์ชายรองเห็นน้องชายเกือบจะหลุดปากพูดออกมา ก็รีบดึงเขาไว้ แล้วกระซิบว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าอย่าไปถือสาคนไร้ค่าคนหนึ่งเลย”

องค์ชายใหญ่หยางเฉียนมองพวกเขาโต้เถียงกันด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้เอ่ยปากเลยแม้แต่คำเดียว เห็นได้ชัดว่าต้องการจะรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความขัดแย้งของผู้อื่น

ซ่างกวนหลินและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ต่างพากันเงียบกริบ เกรงว่าลูกหลงจะมาโดนตนเข้า ทว่า ตอนนี้ในใจของพวกเขาก็เริ่มคำนวณแล้วว่า ควรจะเลือกข้างอย่างไรดี?

“ฝ่าบาทเสด็จ!” ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของขันที

“ถวายบังคมฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊คุกเข่าลงกับพื้น ต้อนรับฮ่องเต้ของพวกเขา

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงสวมกวานบนศีรษะ สวมเสื้อคลุมมังกร เสด็จมาพร้อมกับฮองเฮาอวี่เหวินเฟยเฟิ่งที่สวมชุดเสื้อคลุมหงส์สีม่วง ท่ามกลางการถวายบังคมของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ก็ค่อย ๆ ก้าวไปยังบัลลังก์ฮ่องเต้ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง

ในฐานะองค์รัชทายาท หยางเฉินก็ย่อมจะขาดมารยาทไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้เขานั่งอยู่บนรถเข็น จึงไม่สามารถทำความเคารพด้วยการคุกเข่าได้

สายพระเนตรของฮ่องเต้อู่เต๋อย่อมต้องจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา บนพระพักตร์ฉายแววไม่พอพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง

อย่างไรเสีย ก็เป็นพระองค์ที่ให้คนไปแจ้งให้หยางเฉินมา ตอนนี้ขาของเขาพิการไปแล้ว และยังสูญสิ้นวรยุทธ์ การให้เขามาเข้าร่วมประชุมขุนนางก็นับว่าเป็นการฝืนใจเขาอยู่บ้างแล้ว

“ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้น!” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเสมอกัน ตรัสเสียงดัง

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ต่างพากันเปล่งเสียงดังกึกก้องสะท้านเก้าชั้นฟ้า แสดงให้เห็นถึงความเกรียงไกรของจักรวรรดิเฉียนอู่

สายพระเนตรของฮ่องเต้อู่เต๋อมองไปยังหยางเฉิน ตรัสถามเสียงดัง “องค์รัชทายาท ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเป็นห่วง ร่างกายของลูกฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ขาไม่สะดวก ไม่สามารถถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉินทูลตอบเสียงดัง

“เจ้านั่งบนรถเข็นเถิด พ่อกับแม่ไม่ถือโทษเจ้าหรอก” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงเห็นเขาสามารถนั่งรถเข็นมาเข้าร่วมประชุมได้ ก็ทรงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งแล้ว

“เสด็จพ่อ เมื่อครู่นี้เจ้าเจ็ดบอกว่าเสด็จพ่อจะทรงปลดลูกออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หยางเฉินเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงชะงักไปเล็กน้อย หันไปมององค์ชายเจ็ดแล้วตรัสถามเสียงเย็น “เจ้าเจ็ด เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด?”

องค์ชายเจ็ดหยางอวี๋ตกใจจนตัวสั่น คุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ

หยางเฉินรีบโยนความผิดในทันที ทูลเสียงดัง “ทูลเสด็จพ่อ คาดว่าเจ้าเจ็ดคงจะแอบส่งคนไปไว้ข้างกายท่าน จึงได้ทราบเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ากระไรนะ? แอบส่งคนมาไว้ข้างกายเราหรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตกพระทัยอย่างยิ่ง

“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดใส่ร้ายป้ายสีของหยางเฉิน! ลูกจะกล้าส่งคนไปไว้ข้างกายเสด็จพ่อได้อย่างไรกัน?” องค์ชายเจ็ดรีบอธิบาย

“เราก็คิดว่าเจ้าไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้น?” ฮ่องเต้อู่เต๋อแค่นเสียงเย็น

องค์ชายรองเห็นเจ้าเจ็ดถูกหยางเฉินฟ้อง ก็แทรกขึ้นมาเสียงดัง “ทูลเสด็จพ่อ หยางเฉินพูดจาเหลวไหลทั้งเพ ท่านอย่าได้เชื่อคำพูดไร้สาระของเขาเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“พี่รอง เมื่อครู่นี้เจ้าเจ็ดพูดว่าเสด็จพ่อจะทรงปลดข้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทมิใช่หรือ? ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะได้ยินกระมัง?” หยางเฉินถามกลับทันที

“ขออภัย ข้าหูตึง ไม่ได้ยินเลย” องค์ชายรองหยางคุนกล่าวอย่างท้าทาย

อะไรนะ? ท่านหูตึงหรือ?

หยางเฉินชะงักไปเล็กน้อย หันไปมองซ่างกวนหลินแล้วเอ่ยถามเสียงดัง “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านได้ยินคำพูดขององค์ชายเจ็ดหรือไม่?”

องค์ชายเจ็ดพูดออกมาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งรอบ ๆ ยังมีขันทีนางกำนัล พวกนางย่อมต้องได้ยินอย่างแน่นอน

ฝ่าบาทเพียงแค่สุ่มจับคนมาถามสักคน ก็จะรู้ได้ว่าองค์ชายเจ็ดพูดหรือไม่ เรื่องเช่นนี้องค์ชายรองจะช่วยน้องชายปกปิดได้อย่างไร?

หากตอนนี้ซ่างกวนหลินบอกว่าไม่ได้ยิน หากฮ่องเต้อู่เต๋อทรงทราบความจริงขึ้นมา ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของเขาเกรงว่าคงจะต้องถูกโยกย้ายแล้ว

ทว่า การล่วงเกินองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดต่อหน้าธารกำนัล ก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินเซวียกุ้ยเฟยไปพร้อม ๆ กัน

จะทำอย่างไรดี?

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงได้ยินหยางเฉินเอ่ยถามซ่างกวนหลิน สายพระเนตรก็หันไปมองเขาโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อครู่นี้องค์ชายเจ็ดได้กล่าวจริง ๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงปลดองค์รัชทายาทในวันนี้ แต่กระหม่อมคิดว่าเขาคงได้ยินมาจากข่าวลือ ไม่น่าเชื่อถือพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่างกวนหลินตอบได้อย่างไม่มีที่ติ

เดิมทีฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตั้งพระทัยที่จะปลดองค์รัชทายาทในวันนี้จริง ๆ ทว่า ตอนนี้กลับถูกองค์ชายเจ็ดเปิดโปงออกมาก่อน ทำให้พระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หากตอนนี้ปลดองค์รัชทายาท นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายเจ็ดได้ล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วหรือ ไม่ได้พูดจามั่วซั่ว เช่นนั้นแล้วอำนาจของฮ่องเต้จะอยู่ที่ใด? พระพักตร์จะไม่ถูกหยามจนป่นปี้หมดหรอกหรือ?

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status