หยางอิงกำลังเอนหลังแกว่งขาอย่างสบายใจกับถ้วยชาดอกไม้ในมือ เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนรักร้องเรียก พอลืมตาขึ้นก็เห็นว่ามีคุณลุงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ถังเหยาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เธอมองเห็นเพื่อนพยุงคุณลุงนั่งลงที่เก้าอี้อย่างนุ่มนวล ก่อนจะเข้าไปในร้าน แล้วกลับออกมาพร้อมแก้วชาดอกไม้ร้อนๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวอีกครั้ง หยางอิงมองตามแล้วรีบลุกตามเข้าไป
"เสี่ยวเหยา ลุงคนนั้นคือใครเหรอ?"
ถังเหยาหยิบหม้อน้ำซุปกระดูก ที่เหลือจากตอนลวกเส้นไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นออกมา เธอใช้มือตรวจดูเนื้อแป้งที่พักไว้อยู่พักใหญ่ พอรู้สึกว่าได้ที่แล้วก็เริ่มดึงแป้งเป็นเส้นบางๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน
"ลุงเขาเป็นคนไร้บ้านน่ะ ฉันเห็นเขานั่งกุมท้องอยู่ เลยชวนเข้ามาให้กินบะหมี่ร้อนๆ จะได้คลายหนาวหน่อย"
เธอพูดขณะหั่นเนื้อหมูอย่างคล่องแคล่ว ตามด้วยเจียวหอมให้หอมกรุ่น ก่อนจะผัดหมูให้เนื้อเริ่มตึงตัว จากนั้นค่อยเติมน้ำซุปกระดูกลงไป พอเดือดก็นำไปเทใส่ชามที่วางเส้นบะหมี่ลวกไว้แล้ว วางไข่ต้มยางมะตูมกับต้นหอมซอยด้านบนเป็นขั้นตอนสุดท้าย
"คุณลุงคะ ลองชิมบะหมี่ที่หนูทำเองดูนะคะ"
คนวัยชรามองชามบะหมี่ร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมของหอมเจียวและน้ำซุปตลบอบอวล เส้นบะหมี่เหลืองนุ่มน่ากิน กับไข่ต้มที่ไข่แดงยังเยิ้มดูนุ่มนวล เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใครบางคน ที่เคยทำบะหมี่ให้เขากินเช่นกัน ถึงจะไม่มีหมู แต่ก็มีไข่หนึ่งฟอง.. ถึงวันนี้เขายังจำได้ดี เพราะนั่นเป็นบะหมี่ที่อร่อยที่สุดในชีวิต
"ขอบคุณมากนะหนู"
ถังเหยาทิ้งพื้นที่เงียบสงบให้คุณลุง แล้วเดินกลับเข้าไปในครัวกับหยางอิง เธอมองผ่านบานประตูออกไปเห็นแววตาอันลึกซึ้งของคุณลุง แววตาที่บอกเล่าถึงวันคืนที่ผ่านมามากมาย เหมือนผู้ชายคนหนึ่ง ที่เคยผ่านทุกความปวดร้าวของชีวิตมาแล้ว
ไม่รู้ทำไม...ในใจถังเหยารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงรั้งไว้ ราวกับแค่เธอหันหลังเดินหนี ความรู้สึกเสียดายในใจจะตามมาทันที อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว...ถ้ามีวาสนาต่อกัน ถังเหยาก็อยากช่วยเหลือคุณลุงบ้าง อย่างน้อยในช่วงเวลานี้ หรือจนกว่าร่างกายของลุงจะดีขึ้นก็ยังดี
คุณลุงแซ่หวัง ได้รับคำเชิญชวนให้อยู่พักต่อสักสองสามวันจากปากของเด็กสาวตรงหน้า เขามองใบหน้าสงบเยือกเย็นและแววตาใสซื่อของเธอ ไม่ได้มีร่องรอยของความรังเกียจหรือดูแคลน เหมือนอย่างที่เขาเคยเจอมานับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงความจริงใจที่ส่งมาตรงๆ จากใจ
เธอเป็นเด็กสาวที่มีดวงตาสวยเหลือเกิน ยิ่งเมื่ออยู่ใกล้ ก็จะรู้สึกอบอุ่นสบายใจ...เหมือนน้ำเย็นที่หลั่งรินในฤดูร้อน หรือบ่อน้ำอุ่นที่โอบรัดร่างกายในวันที่หนาวเหน็บ เป็นคนที่มีออร่าบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น
ถังเหยาจัดห้องว่างห้องหนึ่ง ที่อยู่ด้านล่างให้ลุงหวังพักชั่วคราว เธอยังไปเอาเสื้อผ้าของคุณตาที่ยังใหม่อยู่มาให้ลุงใช้สวมแทนของเก่าที่ขาดรุ่งริ่ง พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งเธอและหยางอิงก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน
พรุ่งนี้ยังต้องลุกมาทำงานแต่เช้า
วันถัดมาเมื่อถังเหยาตื่นนอน ก็เห็นลุงหวังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน มองไปทางใดทางหนึ่งอย่างเงียบงัน เธอจึงเข้าไปชงชาดอกไม้แล้วเดินออกมานั่งเคียงข้างเงียบๆ สองคนต่างนั่งรับลมเช้าด้วยกัน โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ราวกับบรรยากาศที่อบอวลรอบตัวนั้น ได้พูดแทนไปหมดแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถังเหยาก็ลุกเข้าไปในครัว เพื่อเตรียมมื้อเช้า เสียงหยางอิงดังขึ้นจากประตูครัว
“เสี่ยวเหยา เช้านี้กินเกี๊ยวน้ำเหรอ?” หยางอิงเดินเข้าครัวอย่างเชื่องช้า อิดออดตามประสาคนตื่นสาย พอเดินเข้ามาถึงก็ได้กลิ่นหอมของเกี๊ยวน้ำลอยมาแตะจมูกทันที แค่คิดถึงน้ำจิ้มสูตรพิเศษที่เข้าคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบ ใจก็อยากลิ้มลองจนแทบอดใจไม่ไหว
เธอช่วยยกถ้วยชามขึ้นโต๊ะ ไม่ลืมคว้าขวดซีอิ๊วปรุงรสที่ถังเหยาหมักเองออกมาด้วย พอเดินมาถึงโต๊ะก็รีบอวดผู้อาวุโสด้วยสีหน้าภูมิใจ
“คุณลุงหวัง นี่คือน้ำจิ้มที่เสี่ยวเหยาทำเองนะคะ จะกินกับเกี๊ยวน้ำ หมั่นโถว หรือแม้แต่ติ่มซำก็เข้ากันได้หมดเลย ไม่มีที่ไหนทำอร่อยได้แบบนี้แล้วค่ะ!”
ลุงหวังมองเด็กสาวเดินถือเข่งเกี๊ยวน้ำร้อนฉ่าออกมา หน้าตาเกี๊ยวสวยได้รูป แถมยังเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปหัวกุ้งใส่ต้นหอมร้อนๆ อีกคนละถ้วย ในใจเขาอดชื่นชมฝีมือของเธอไม่ได้ เด็กสาวอายุยังน้อย แต่ฝีมือปรุงอาหารนั้นไม่ต่างจากเชฟฝีมือดีที่สั่งสมประสบการณ์มานานปี
“เสี่ยวเหยา ทำอาหารอร่อยจริงๆ” เขาว่าเรียบๆ แต่แฝงความจริงใจเต็มเปี่ยม
หลังมื้อเช้า ถังเหยากับหยางอิงจูงมือกันออกไปตลาดเหมือนเมื่อวาน วันนี้ไม่ต้องเลือกของให้เหนื่อย เพราะเธอได้ติดต่อร้านประจำไว้แล้ว แค่ไปตรวจของกับยกกลับมาก็พอ ร้านที่เลือกซื้อทั้งเนื้อและปลาต่างก็สดใหม่ทุกวัน พวกผักผลไม้เองก็มาส่งเองสดๆ จากสวน กลิ่นไอของความตั้งใจปรากฏอยู่ในทุกรายละเอียด
ลุงหวังนั่งอยู่ในลานด้านหลัง มองผ่านหน้าต่างเข้าไปในครัว เห็นสองสาวกำลังวุ่นวายกันอย่างกระตือรือร้น แววตาเปล่งประกายเหมือนดวงดาว ใบหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้จะเป็นงานหนักหรือเหนื่อยเพียงใด แต่หากเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก แถมยังได้ทำร่วมกับคนที่รู้ใจ ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ให้ดี
สายตาของเขาค่อยๆ ละออกจากภาพนั้น ค่อยๆ เลื่อนลอยไปยังที่ไหนสักแห่ง...เงียบเชียบแต่เปี่ยมด้วยความทรงจำ
[กลุ่มนักแสดงตัวประกอบ]
เหมยเหมย: วันนี้ฉันถ่ายทั้งวัน พักแค่ชั่วโมงเดียว ไม่น่าจะออกไปกินได้ ใครพอมีเวลาช่วยซื้อเผื่อหน่อยได้ไหม
ถิงถิง: เสียดายจัง ฉันก็ต้องเข้ากล้องถ่ายฉากเสริมเหมือนกัน งั้นเราสั่งรวมดีไหม?
ลั่วลั่ว: เห็นด้วยนะ เที่ยงนี้เจอที่เดิมนะ @ถิงถิง ช่วยจองให้เหมือนเดิมด้วยจ้า
เหมยเหมย: @ถิงถิง ฉันก็เอาเหมือนเดิมนะ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนเมนูตอนเย็น ตอนนี้ยังอยากกินเต้าหู้สูตรพิเศษอยู่เลย
ลั่วลั่ว: @เหมยเหมย ไม่เจอกับ “ท็อปไอดอล” ของฉันหน่อยเหรอ?
เหมยเหมย: เดี๋ยวเจอตอนเย็นจ้า ตอนนี้ถึงซีนของฉันละ ไปก่อนนะ ไว้เจอกันตอนกินข้าว
ลั่วลั่ว: @ถิงถิง วันนี้ฉันขอลองเต้าหู้สูตรพิเศษดู แต่เพิ่มอีกอย่างนะ ขอไก่เผ็ดเสฉวนเพิ่มด้วย
ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมงตรง พอเปิดประตูร้านก็เห็นพี่ๆ ไรเดอร์สิบกว่าคนยืนรออยู่ข้างนอก พอเห็นถังเหยาก็โบกมือทักกันใหญ่
“สวัสดีครับ เชฟตัวน้อย! ขอให้วันนี้เป็นที่ดีนะครับ”
“สวัสดีครับคุณถัง ขอให้ขายดีเฮงๆ!”
“สวัสดีครับคุณเชฟ!”
ที่แท้พวกพี่คนไรเดอร์ทั้งหลาย ก็อยากรีบมากินข้าวตอนร้านอื่นยังไม่เปิด จะได้มีแรงไปส่งของต่อ
แต่ความจริงแล้ว พวกเขารู้กันดีว่าก่อนนอนเมื่อคืนนี้ ภาพกับรสชาติของอาหารยังติดอยู่ในหัว อยากกินมากจนตื่นมายังนึกถึงอยู่เลย ทนมาทั้งคืน พอถึงเวลาเปิดร้าน จะให้รอจนส่งของเสร็จก่อนค่อยกิน มันไม่ไหวจริงๆ แค่ได้กลิ่นตอนเอาอาหารไปส่งก็แทบจะหิวจนท้องร้องแล้ว
พอพวกเขานั่งโต๊ะปุ๊บ แอปสั่งอาหารก็ดังขึ้นมาทันที พอเห็นออเดอร์เด้งรัวๆ จนตาลาย รีบกดรับ พร้อมกันนั้นที่โต๊ะของกลุ่มไรเดอร์ก็มีเสียงแจ้งเตือนขึ้นมาด้วย แต่เป็นเสียงแจ้งว่ามีลูกค้าสั่งอาหาร
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ เพราะออเดอร์ของร้านตระกูลถัง เด้งขึ้นในมือถือของพวกเขาไม่หยุด โอ้โห! เพิ่งนั่งลงแป๊บเดียวเอง ออเดอร์ก็มาเยอะขนาดนี้แล้ว!
พูดได้คำเดียวว่า…หิวเกี๊ยวค่าาา
ถังเหยา เธอจะทำอร่อยทุกเมนูไม่ได้นะ มันทรมานคนอ่านนนนน
ถังเหยากวาดตามองระยะห่างระหว่างจุดที่ยามยืนอยู่กับเต็นท์ ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ“ภายในสามสิบวินาที...พวกคุณจัดการได้กี่คนคะ?”กู้จื่ออวี่ที่ได้ยินคำถามนั้นก็เข้าใจทันที ว่าเธอกำลังวางแผนอะไร ถังเหยาต้องการจะยิงจากระยะไกลเพื่อเก็บศัตรูให้หมดในคราวเดียว แต่การจะทำแบบนั้นได้ มือไม่ใช่แค่ต้องเร็ว...แต่ต้องแม่นยำอย่างถึงที่สุด เพราะถ้าเกิดพลาด หรือปล่อยให้พวกนั้นมีโอกาสโต้กลับ ทุกอย่างจะกลายเป็นหายนะทันที“ผมคาดว่าประมาณ 4 คน”“ผมน่าจะ 3 คน”“อืม ถ้างั้นเรามาพยายามฆ่าทั้งหมดในครั้งเดียวเลยนะคะ”ถังเหยาทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างมั่นคง พานท้ายปืนพาดแนบกับไหล่ เธอก้มหน้าเล็กน้อยแล้วแนบตาเข้ากับกล้องเล็ง ปลายนิ้วแตะไกปืนอย่างนิ่งสงบ ลมหายใจเธอชะงักอยู่ชั่วขณะ รอจังหวะเหมาะสมแล้วยิงกระสุนนัดแรก ทั้งสามคนต่างก็กำจัดศัตรูได้สำเร็จ ต้าอว
สถานการณ์ในสนามรบเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชมก็พลอยรู้สึกตึงเครียดไ ปตามทุกย่างก้าวของผู้เข้าแข่งขัน ทันใดนั้น เสียงประกาศจากลำโพงก็ดังขึ้น:“เซี่ยอวิ๋นซูตายแล้ว”ภาพจากกล้องฝั่งเธอฉายชัดทุกจังหวะกู้จื่ออวี่กำลังติดต่อกับถังเหยาทางวิทยุสื่อสาร นัดให้รวมกลุ่มกันที่จุดนัดพบ การกระจายตัวแบบนี้มันอันตรายเกินไป ทั้งสองคนเลยเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งเป้าหมาย ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้น จึงรีบส่งสัญญาณให้เซี่ยอวิ๋นซูหาที่หลบซ่อน แต่เธอกลับไม่ทำตามคำสั่ง กลับกันเธอก้าวออกมาบังทิศทางกระสุนที่พุ่งตรงมาหาเขาและในวินาทีนั้นกู้จื่ออวี่เบี่ยงตัวหลบได้พอดีเรื่องมันควรจะจบลงแค่นั้น ถ้าเธอฟังคำสั่งเงียบๆ ก็จะไม่มีใครเป็นอะไร แต่สุดท้าย เธอกลับเลือกกระโดดออกมาช่วย แล้วต้องแลกด้วย “ชีวิต” ของตัวเองเซี่ยอวิ๋นซูถอดหมวกออ
ลูกปืนของตงเจียวถึงแม้จะเบี่ยงเป้าหมายไป แต่กลับมีคนถูกยิงจริงๆ แถมไม่ใช่คนที่เธอเล็งไว้ด้วยซ้ำ!จังหวะที่บีบไกปืน ถังเหยากลับตอบสนองเร็วเหลือเชื่อ! กระสุนเพิ่งตกลงพื้นข้างตัว เธอก็พลิกตัวหลบไปทางขวาอย่างช่ำชอง พร้อมยกปืนยิงสวนกลับไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว"ปัง!"การตอบโต้ของถังเหยารวดเร็วและเฉียบขาดมาก จนแม้แต่กลุ่มของห่าวอี้ยังตั้งตัวไม่ทัน ยืนเหวอกันไปเป็นแถวตงเจียวก็ไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทักษะอะไร จนกระทั่งเสียงเตือนในหูฟังบอกว่า “คุณตายแล้ว” พร้อมกับคราบแดงบนหน้าอกซ้ายเครื่องหมายโดนยิงเข้าจังๆเธอจึงจำใจ “นั่งลง” ยอมรับชะตา...เล่นบทศพต่อไป“ผู้เล่น ตงเจียว ตกรอบ!”เสียงจากลำโพงสนามดังลั่น ทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที กลับเปลี่ยนเกมทั้งตาไปหมด ห่าวอี้ได้สติรีบลากเ
แม้ว่าเผิงเหนียนจะเคยอยู่บ้านเดียวกับกู้จื่ออวี่มาก่อน แต่ตอนนั้นทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก อีกทั้งนิสัยของเธอก็ค่อนข้างขี้อาย จึงไม่จำเป็นต้องแกล้งแสดงอาการเขินเมื่อเจอกันครั้งแรก เพราะมันเผยออกมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แถมเธอยังกลัวแฟนคลับของกู้จื่ออวี่กับห่าวอี้อยู่ไม่น้อย จึงพยายามยืนห่างจากทั้งสองคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองคู่ถูกจับมารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนกลุ่มที่มีสามคนก็ยังคงเดิมภารกิจแรกของวันคือให้เตรียมมื้อกลางวันกันเอง เมื่อแขกรับเชิญได้ยินแบบนั้น สีหน้าทุกคนก็เหมือนจะหมดคำพูด ในป่าจะหาอะไรกินได้ล่ะ? จะให้หาของกินจากใบไม้หรือไง? โชคยังดีที่แต่ละคนแอบพกขนมเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย จึงไม่ถึงกับต้องทนหิวในมื้อกลางวันทว่าหลังมื้อนั้นเสบียงทั้งหมดก็เกือบหมดเกลี้ยง เหมือนรายการจงใจวางกับดัก ทำทีให้เตรียมเองแต่สุดท้ายกลายเป็นถูก "ปล้น" ไปซะหมดแล้วมื้อเย็นล่ะ? จะเอาอะไรกิน?หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกคนได้พักช่วงสั้นๆ ตอนกลางวั
บนหน้าจอไลฟ์ที่แต่เดิมแบ่งเป็น 7 ช่อง ตอนนี้ถูกรวมเหลือเพียง4 ช่องเท่านั้น ใบหน้าของเหล่าแขกรับเชิญส่วนใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นชัด ยกเว้นห้องอันดับท้ายสุดของถังเหยา ที่ยังคงเห็นได้แค่เพียงเงาหลังของเธอเท่านั้นฝ่ายแอนตี้รีบออกตัวว่าใบหน้าของถังเหยาคงจะ “ระดับทั่วไป” จนต้องหลบกล้องตลอดเวลาเพื่อเลี่ยงคำด่า ขณะที่ชาวเหิงเตี้ยนรีบออกโรงปกป้อง ว่า จ้าของร้านตระกูลถังเป็นสาวน้อยหน้าตางดงามตัวจริงระหว่างที่สองฝ่ายกำลังเปิดศึกโต้เถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร คนที่เดินอยู่ด้านหน้าก็จู่ๆ หยุดกะทันหัน พอมองใกล้ๆ ก็พบว่าในอ้อมแขนของเธอมี “คนเพิ่มมาอีกหนึ่ง” เหล่าผู้ชมต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบย้อนกลับไปดูภาพซ้ำในคลิปถังเหยากำลังเดินอยู่ตามปกติ อยู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมอง และในวินาทีนั้นมีคนหนึ่งร่วงลงมาจากกิ่งไม้ตรงหน้า จึงรีบวิ่งเข้าไปทันเวลาและรับตัวเขาไว้ได้พอดี เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำเอาทั้งทีมถ่ายทำและผู้ชมถึงกับนิ่งงันไปทั้งหน้าจอ
ภายใต้บรรยากาศอันคึกคักและความคาดหวังจากผู้ชม หน้าจอไลฟ์สดปรากฏตัวเลขนับถอยหลัง1 นาที สนามรบระหว่างบ้านแฟนคลับทั้งหลายจึงยอมพับดาบเก็บกระบี่ชั่วคราว หันมาเตรียมใจพักผ่อนชั่วครู่ รอดูรายการก่อนแล้วค่อยเคลียร์กันต่อภายหลังภาพบนหน้าจอค่อยๆ เผยให้เห็นต้นไม้แน่นทึบ แสงแดดสาดผ่านพุ่มใบ เสียงนกร้องก้องไปทั่วขุนเขา ความคิดแรกของผู้ชมคือ ทีมโปรดักชันถ่ายทำในป่าจริงๆ อย่างนั้นหรือ? รายการนี้กล้าปล่อยบรรดาเซเลบดาราแถวหน้าเหล่านี้ ไปดิ้นรนเอาตัวรอดกลางป่าจริงๆ ใช่ไหม?จากนั้นหน้าจอถูกแบ่งออกเป็น 7 ช่องย่อย แสดงภาพของทั้ง7 คน ณ สถานที่ต่างกัน พร้อมคำอธิบายว่าในบรรดาทั้ง7 ใครมาถึงก่อนจะได้เข้าไปก่อน หากเจออีกคนก่อนจะได้จับกลุ่มกัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ3 คนและ4 คนรายการให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนพกเป้มาหนึ่งใบ ของข้างในแล้วแต่จะเตรียม ใครมีแรงแบกไหวแค่ไหนก็พกมาเท่านั้น แต่ทุกคนก็พอรู้ว่าต้องเดินทางเยอะจึงเตรียมมาแค่พอใช้ยอดคนดูไหลเข้าร