หลังลาออกจากงานในเมืองใหญ่ ถังเหยา เลือกกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายใน "เหิงเตี้ยน" เมืองที่เต็มไปด้วยกองถ่ายละครและคนในวงการบันเทิง แต่เธอไม่ได้กลับมาเพื่อไล่ตามแสงไฟของใคร เธอเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ริมทาง เสิร์ฟกับข้าวร้อน ๆ แบบบ้าน ๆ รสชาติเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง จนลูกค้าหลายคนต้องกลับมาเพราะ "คิดถึงรสมือแบบนี้" แม้ไม่มีป้ายร้าน ไม่มีโปรโมชั่น แต่คนก็แวะเวียนกันมาแน่นทุกวัน เพราะอาหารของถังเหยา รสชาติอร่อยจนลืมไม่ลง รวมถึงเขากู้จื่ออวี่ พระเอกหนุ่มสุดฮอตที่ชอบมาเงียบ ๆ แค่เพื่อได้กินข้าวฝีมือเธออีกสักมื้อ ไม่ใช่เพราะเทรนด์ ไม่ใช่เพราะแสงแฟลช แต่เพราะรสชาติที่ยิ่งกว่าติดใจ บางที...ความรักก็เริ่มจากคำว่า "กินดี" ก่อนจะกลายเป็น "อยู่ด้วยกันดีไหม" โดยไม่รู้ตัว "เปิดร้านในเมืองดารา แต่คนต่อคิวคือคนหิว ไม่ใช่คนตามเทรนด์" อยากรู้ว่าร้านนี้มีดีแค่กลิ่นกับข้าว หรือมีพระเอกแนบมาด้วย ต้องลองเปิดอ่านเอง #ความรักอุ่นกว่าข้าว #รสมือถังเหยา #ร้านเล็กในเหิ้งเตี้ยน
View Moreกองถ่ายเมืองเหิงเตี้ยนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามกระแสอุตสาหกรรมภาพยนตร์ รอบๆ สตูดิโอเริ่มเต็มไปด้วยสถานที่บันเทิงหลากรูปแบบ คลับหรูหราผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดซึ่งไม่ต่างจากย่านดังในเซี่ยงไฮ้ ดาราสมัยนี้แม้ต้องทำงานถ่ายละครทั้งวัน แต่กลางคืนก็ยังหาความสำราญได้เต็มที่
ท่ามกลางความคึกคักเหล่านั้น ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่สงบเงียบราวกับโลกอีกใบ บ้านไม้ทรงโบราณหลังเดียวใกล้กองถ่ายเหิงเตี้ยน
มันยังคงอยู่…ยังคงเปิดไฟสว่างไสวเหมือนในอดีต
ตึกไม้ล้อมด้วยรั้วเตี้ยๆ สนามหญ้าร่มรื่น ทั้งลานหน้าบ้านและหลังบ้านปลูกไม้เขียวขจี กลางลานมีเรือนหลังเล็กคั่นอยู่ ทำหน้าที่เชื่อมสองฝั่งของบ้านเข้าด้วยกัน ด้านลานหลังมีต้นแปะก๊วยใหญ่ยืนตระหง่าน ใบไม้สีทองบางใบโปรยลงบนโต๊ะไม้ กลิ่นแดด กลิ่นใบไม้ กลิ่นวันวานยังอบอวลในอากาศ บ้านหลังนี้เป็นมรดกที่คุณตาคุณยายทิ้งไว้ให้ ถังเหยา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกองถ่ายตำแหน่งดีอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ญาติคนสุดท้ายของเธอได้จากไป ก่อนสิ้นลมท่านเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ให้บ้านหลังนี้เปิดไฟไว้เสมอ เผื่อว่าสักวันคนเก่าคนนั้นจะกลับมา...เพื่อรับของสำคัญคืน"
ครอบครัวฝั่งแม่ของเธอ สืบเชื้อสายจากช่างครัวในวังหลวง วิชาการครัวที่สืบต่อมาทั้งตำรับราชสำนักและอาหารพื้นบ้าน ล้วนจดไว้ในสมุดโบราณ เพียงแต่…คุณตาร่างกายไม่แข็งแรง คุณแม่ก็เป็นลูกคนเดียวจึงไม่อยากให้ลำบากไปกว่านี้ สุดท้าย…ไม่มีใครได้สืบทอดเส้นทางของบรรพบุรุษ
แต่สำหรับถังเหยา เธอเติบโตมากับกลิ่นหอมของอาหาร ตั้งแต่ประถมก็เริ่มจับตะหลิว มัธยมต้นก็เข้าครัวได้อย่างมั่นใจ ทุกการหั่น การคลุก การชิมคือสิ่งที่คุณตาสอนมากับมือ ความจริงแล้วเธอรู้ดี สิ่งที่คุณตาเสียใจที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ความเจ็บป่วย ไม่ใช่ความเงียบเหงา แต่เป็นการที่ไม่มีใครได้สืบทอดวิชาของตระกูล ก่อนจากลาเธอสัญญากับคุณตาไว้ว่าจะเป็นคนที่สืบต่อความฝันนั้นให้เอง จะไม่ให้ฝีมือแห่งบ้านตระกูล “ถัง” ต้องหยุดอยู่แค่รุ่นของคุณตา
ตอนที่คุณตายิ้มให้ครั้งสุดท้าย รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความโล่งใจและภาคภูมิใจ ลมพัดผ่านใบไม้ ต้นแปะก๊วยไหวเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบของคนที่จากไป…กำลังบอกว่า “ดีแล้วล่ะ หลานตา...ดีแล้วจริงๆ”
ไม่กี่วันต่อมา ถังเหยามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดแต่งบ้านใหม่ เรือนชั้นล่างฝั่งใต้จัดให้เป็นที่อยู่อาศัย ห้องที่เหลือเปิดไว้สำหรับพนักงาน หรือนักแสดงที่ต้องการพักค้างชั่วคราว เธอใช้เรือนไม้ที่กั้นอยู่ตรงกลางลาน ดัดแปลงให้กลายเป็นครัว แค่เปิดหน้าต่างทั้งสองข้าง ก็รับลมเข้าได้เต็มที่ บนเพดานติดเครื่องดูดควันเรียบร้อย ครัวกลางบ้านกลายเป็นหัวใจของที่นี่
ฝั่งเหนือของลานและทางเดินเลียบข้าง ถูกจัดวางโต๊ะเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ เธอเพิ่มหน้าต่างหลายบานเข้าไปในแต่ละห้อง ในวันที่แดดดีๆ แขกสามารถเปิดหน้าต่างชมสวนได้สบายตาสบายใจ ที่นี่อากาศดีตลอดปี ต้นไม้ใหญ่ในลานให้ร่มเงา เย็นสบายแม้ตอนเที่ยงวัน แค่เปิดประตูบ้านลมอ่อนๆ ก็พัดเข้ามา พร้อมกลิ่นหอมของดินและใบไม้
ความรู้สึกนั้น…สบายเหมือนได้กลับบ้าน
ลานบ้านมีชุดโต๊ะไม้เรียบง่าย บ่อน้ำเก่า ต้นไม้ดัด และแปลงดอกไม้ทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้ตามเดิม ถังเหยาหลงรักของเก่าเหล่านี้ เพราะมันเก็บเอาลมหายใจของกาลเวลาไว้ด้วย ริมกำแพงข้างทางเดิน มีพุ่มดอกไม้ที่คุณยายเคยปลูกไว้ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต เป็นดอกไม้โปรดของท่าน เมื่อก่อนคุณตาจะรดน้ำดูแลทุกเช้า
ตอนนี้…เป็นหน้าที่ของเธอแทนแล้ว
ร้านอาหารเล็กๆ ของเธอใช้ชื่อว่า “ตระกูลถัง” ตกแต่งให้เหมือนโรงเตี๊ยมสมัยก่อน มีทั้งกลิ่นอายความโบราณและความอบอุ่นแบบบ้านๆ
วันเปิดร้าน เธอกับเพื่อนสาว เสี่ยวอิง ช่วยกันจุดประทัดหน้าประตู แล้วเปิดผ้าสีแดงบนป้ายไม้ขึ้นร้านตระกูลถัง เปิดกิจการอย่างเป็นทางการ เสี่ยวอิงมีชื่อจริงว่า หยางอิง พอรู้ว่าเพื่อนรักจะเปิดร้านอาหาร ก็รีบตามมาช่วยโดยไม่ต้องรอให้ชวน
หยางอิบอกว่า “ชาตินี้จะไม่มีวันอยู่ห่างจากอาหารของเหยาเหยาอีกเด็ดขาด เธออยู่ที่ไหน ฉันก็จะอยู่ที่นั่น”
ถังเหยายังไม่ได้จ้างพนักงานเพิ่ม แต่เพราะเพื่อนรักเต็มใจช่วย เธอปล่อยให้ทำตามใจ จะอยู่ จะช่วย จะซน จะกินก็เชิญตามสบายเลย
ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมงตรง แต่จนเที่ยงกว่าแล้วก็ยังไม่มีแม้แต่เงาลูกค้า ที่เหิงเตี้ยนเมืองที่เต็มไปด้วยกองถ่ายและทีมงานภาพยนตร์ ร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีลูกค้าขาประจำ คนในวงการมักจะมุ่งหน้าไปยังร้านที่คุ้นเคย ไม่เสียเวลามาลองร้านใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเสียงหรือได้รับการโปรโมต
ถังเหยาเข้าใจดี ร้านใหม่ของเธอไม่มีป้ายไฟ ไม่มีโฆษณา ไม่มีดารามารีวิว ไม่มีใครโพสต์ในโซเชียล จะเงียบหน่อยก็ไม่แปลก “ถ้ารอจนหมดช่วงพักเที่ยงแล้วยังไม่มีใครมา…ก็ค่อยปิดร้านพักกันเถอะ”
เสี่ยวอิงนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ต้นกัลปพฤกษา แสงแดดลอดผ่านใบไม้พร่างพรายเหมือนภาพวาด
ในเมืองถังเหยาไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรกับการไม่มีลูกค้า แล้วเธอจะกระวนกระวายไปทำไมกัน แถมถังเหยายังอุตส่าห์รินน้ำบ๊วยเย็นๆ ใส่แก้ว วางคู่กับขนมกุ้ยฮวาหอมๆ กินไปชิมไปอย่างอารมณ์ดี“เหยาเหยา ขนมกุ้ยฮวาที่เธอทำอร่อยมากเลยนะ ครั้งหน้าทำเยอะๆ หน่อยสิ ขายได้แน่นอน!”
ถังเหยาพิงแขนบนขอบหน้าต่างของครัว ยิ้มขำให้ภาพเพื่อนรักที่กำลังโยกตัวไปมาราวกับแมวอ้วนขี้เกียจ เธอสงสัยอยู่นิดๆ ว่า คุณหนูเจ้าบทเจ้ากลอนคนนี้ จะอยู่ช่วยได้นานแค่ไหนกันนะ?
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพอฤดูดอกไม้บาน ฉันจะเก็บดอกไม้ทำขนมกลีบบ๊วยไว้ขายเลยแล้วกัน”
ทั้งสองหัวเราะคิกคักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในช่วงเวลาที่ไม่มีลูกค้า เสียงพูดคุยของพวกเธอเป็นเพียงเสียงเดียวที่ก้องกังวานอยู่ในสวน ลานหน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น ทั้งต้นกัลปพฤกษา ต้นฉำฉา และพรรณไม้หอมใบสวยอีกหลายชนิด ร่มเงาเขียวครึ้ม ช่วยให้แม้ในยามเที่ยงก็ยังเย็นสบาย ลมเอื่อยๆ พัดมาเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่งในฤดูใบไม้ผลิ
เสี่ยวอิงหลงรักที่นี่เข้าอย่างจัง เธอนึกถึงโซฟาเอนหลังที่สั่งไว้ทางออนไลน์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างจัดส่ง พอมาถึงเมื่อไหร่เธอจะยกไปตั้งไว้ใต้ต้นแปะก๊วยที่ลานหลังบ้าน ช่วงเวลาว่างๆ จะได้นั่งเอกเขนกใต้ร่มไม้ ฟังเสียงนกร้อง…มองปลาแหวกว่ายในบ่อ แล้วปล่อยใจล่องลอยไปกับสายลม
ขณะเดียวกัน ที่สตูดิโอเหิงเตี้ยนฝั่งโน้น กลับยุ่งวุ่นวายแทบไม่มีใครได้หยุดพัก เหิงเตี้ยนคือสตูดิโอถ่ายทำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แทบทุกวันจะมีทีมงานหลายสิบทีมเข้าออกไม่ขาดสาย คิวถ่ายทำแน่นเอียด บรรยากาศหลังกล้องจึงเต็มไปด้วยความเร่งรีบวุ่นวาย
เบื้องหลังแสงไฟสว่างไสวบนหน้าจอ คือผู้คนมากมายที่ทุ่มเททำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดวันตลอดคืน
เหมยเหมย ทำงานเป็นนักแสดงตัวประกอบที่เหิงเตี้ยน หลังจากถ่ายฉากของตัวเองเสร็จ ก็วิ่งไปหลบแดดใต้ร่มไม้ นั่งลงหอบหายใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิด WeChat เข้าไปในกลุ่ม “นักแสดงตัวประกอบเหิงเตี้ยน” เพื่อหาพวกพ้องร่วมกิน
เหมยเหมย:“โซน A3 เพิ่งถ่ายเสร็จจ้า มีใครว่างรวมทีมไปกินข้าวบ้าง ตอนนี้กำลังรอแบบหิวจนไส้กิ่วเลย”
ลั่วลั่ว:“โซน C1 ก็เพิ่งจบเหมือนกัน ไปด้วย! @เหมยเหมย แต่วันนี้จะกินอะไรดีน้า บะหมี่ร้านฉิน หรือลุยหม้อไฟร้านตี้ตี้ หรือข้าวกล่องร้านขวัญใจดี”
เหมยเหมย:“แถวนี้มีร้านไหนฉันยังไม่เคยกินบ้างล่ะ? เลือกมาสักร้านเหอะ @ลั่วลั่ว /วางคางลงกับโต๊ะมโน”
ถิงถิง:“ฉันกำลังไถแอปเจอร้านใหม่เปิดจ้า กะว่าจะลองสั่งมากินดู รสชาติไม่รู้เป็นไง ตอนนี้แอปมีโค้ดส่วนลดเปิดร้านด้วยน้า ใครอยากสั่งด้วยกันไหม แล้วเราค่อยหาโต๊ะนั่งกินด้วยกันก็ได้ /แนบลิงก์”
เหมยเหมย:“ร้านใหม่ะเหรอ…ไม่น่าไว้ใจเลยอะ แถวเหิงเตี้ยนเนี่ยนะ ร้านอร่อยคือแพงจนนักแสดงเบี้ยน้อยหอยน้อยกินไม่ไหว ครั้งก่อหลงไปกิน หมดเงินที่ได้รับทั้งวันเลยนะยะ”
ลั่วลั่ว:“แต่ฉันเห็นเมนูเขามี ‘ซี่โครงตุ๋นไวน์แดง’ ด้วยนะ ฟังดูน่าสนใจอยู่ กินคู่กับข้าวสวยน่าจะเข้ากัน
สั่งเพิ่ม ‘ต้มยำปลาช่อน’ อีกถ้วย ราคาก็ไม่แรงนะ @เหมยเหมย ลองหน่อยเถอะเพื่อนสาว”เหมยเหมย:“งั้นฉันเอา ‘เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน’ กับ ‘ข้าวผัดหยางโจว’ แล้วก็ ‘ต้มยำปลา’ ด้วยละกัน ว่าแต่…ร้านนี้มีเมนูแค่นี้เหรอ? แต่ก็นะ…ตอนนี้หิวไม่มีอารมณ์เลือกอะไรมาก ตามเพื่อนก็ได้”
ถิงถิง:“งั้นสองสาวเลือกที่นั่งรอเลยนะ เดี๋ยวฉันรับของแล้วตามไป!”
ตอนแรกมาแล้วว ฝากร้านอาหารของถังเหยากับหยางอิงด้วยน้าา
เรื่องนี้จะเป็น แนวพิมพ์แชท เยอะ
หมายถึงบทของข้อความสนทนากันในแชทนะคะ
ประมาณตอนท้ายของบท จะมีแนวนี้เยอะหน่อยน้าาาา
เผิงเหนียนเพิ่งจะนั่งบนซูเปอร์คาร์ก็ไม่กล้าขยับตัวแล้ว ตอนนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจริงหรือปลอม พอได้ยินดังนั้นเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้"พี่เสี่ยวเหยา...ฉันกลัวความสูงกับความเร็วค่ะ"ถังเหยายิ้มลูบผมของเด็กน้อย จากนั้นก็สวมหมวกกันน็อคให้เธอ "แกล้งเล่นน่ะ"ผู้ชมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกจุกอกกับฉากที่หวานซึ้งนี้[ผมแค่อยากจะบอกว่าพี่ใหญ่ถังตอนนี้อ่อนโยนมาก ละเอียดอ่อนมาก และแมนมาก ไม่มีคำว่าแต่][โอ้พระเจ้า! เห็นถังเหยาลูบผมเผิงเหนียนแล้วใจผมแทบละลาย เธอหัวเราะด้วย! เพิ่งเคยเห็นพี่ใหญ่ถังหัวเราะ! ความงามระดับเทพธิดา! เหมือนพระจันทร์ที่หลับใหลกำลังตื่นขึ้นมาเลย!][เวรเอ๊ย! ฉันโดนบิดเบี้ยวไปแล้ว! ดีมากถังเหยาเธอต้องรับผิดชอบฉันนะ!!!][ข้างบนโปรดเคารพตัวเอง นั่นเมียผมนะ][ทุกท่านโปรดเคารพตัวเอง...]
จู่ๆ เหยียนเป่ยก็เห็นคนเดินเข้ามาตรงหน้า แวบแรกที่มองผ่านกลับถูกดึงดูดอย่างแรง เมื่อมองใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ ยังไม่ทันได้คิดฟุ้งซ่านเขาก็มองสิ่งที่เธอส่งให้ จากนั้นก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย มองใบขับขี่ที่อยู่ในมือไม่รู้จะพูดอะไรระหว่างที่ถังเหยากับพวกกำลังแยกย้ายไปเปลี่ยนชุดแข่ง เหยียนเป่ยกลับยังติดอยู่กับภาพเมื่อครู่ ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นยังชัดเจนในความคิด จิตใจเขาเริ่มปั่นป่วนโดยไม่รู้ตัว“ฉันสนใจผู้หญิงคนนั้นจริงๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนด้วยแววตามุ่งมั่น “เดี๋ยวฉันจะแสดงให้เธอเห็นเอง ว่าฉันไม่ธรรมดา รอบนี้ยกให้ฉันเถอะ พวกนายอยากได้อะไร ฉันจัดให้หมด”"โอ้โห...คุณชายเหยียนสายตาดีนี่ เลือกคนที่เด่นที่สุดในบรรดา4 สาว ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ มองรูปร่างไม่ออก แต่แน่นอนว่า...""ปุ้บ...""อ๊ะ..."เชิ่งอี้ที่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เข้าร่วม แต่พอไ
เชิ่งอี้มองหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ จากกลางฝูงชน เมื่อแรกสบตาเขาก็รอคอยการพบกันอย่างเป็นทางการกับเธอแล้ว คิดว่าจะได้เจอในงานเลี้ยงคืนนี้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะมาที่สนามแข่งด้วยลี่หลินหันไปมองตงเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางสง่างามและนุ่มนวล หล่อนจงใจเบือนสายตาไปทางอื่น ทำทีเหมือนไม่ได้มองคุณชายเชิ่ง ทั้งที่ความจริงแล้ว...ก็แค่เสแสร้งเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ลี่หลินอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอลองยั่วยุสักนิด ไม่รู้ตงเจียวจะยังรักษามาดดี ๆ แล้วเดินไปนั่งข้างเขาได้อย่างมั่นคงเหมือนเดิมหรือเปล่า"พี่เจียวเจียวได้ยินว่าพี่ขับรถเก่งมาก แล้วเคยนั่งข้างคนขับรถแข่งบ้างรึยังคะ?"ตงเจียวไม่อยากตอบ แต่เพราะกำลังออกอากาศอยู่ เพื่อรักษาภาพลักษณ์เธอจึงไม่สามารถเงียบได้ ตอบกลับอย่างอ่อนโยนปนความไร้เดียงสา "พี่ไม่เคยลองเลย ฟังน้องพูดแล้วเหมือนเคยนั่งรถแข่งมาก่อนนะ"ลี่หลินยิ้มอย่างมีความสุข เสียงของเธอแฝงไปด้วยการยั่วยุ "ครั้งที่แล้วมีโอกาสได้นั่งข้างเพื่อนที่กำลังหัด
ถังเหยาตื่นจากการหลับใหลและพบว่าเธอลืมปิดหน้าต่างและรูดม่าน แต่ทว่าความงามสงบตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกขี้เกียจไม่อยากขยับตัว ได้แต่นอนมองต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม น้ำทะเลสีครามและหาดทรายขาวราวกับอยู่ในฝัน"ก๊อกๆๆ"ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็ดึงม่านแล้วเดินออกไป กู้จื่ออวี่ถือชาขิงน้ำผึ้งร้อนๆ ยืนอยู่ด้านนอก เห็นเธอแล้วก็ยิ้มพร้อมพูดขึ้น "อากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดื่มชาให้ร่างกายอบอุ่นนะครับ"ถังเหยามองแก้วชาที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของขิงผสมกับน้ำผึ้งหวานๆ แล้วก็มองชายหนุ่มรูปหล่ออ่อนโยนตรงหน้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท่าทางเอาใจใส่ของกู้จื่ออวี่นั้นละเอียดอ่อนมาก ไม่ได้เร่งรีบจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดหรือรังเกียจ แต่กลับสามารถรับมันได้อย่างสบายใจและเป็นธรรมชาติ"ขอบคุณค่ะ"ถังเหยายื่นมือรับแก้ว เขาเตือนให้ระวังร้อน กู้จื่ออวี่มองหญิงสาวตรงหน้า อยากจะยื่นมือไปลูบผมที่นุ่มสลวยเบาๆ แต่ก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกภายในใ
เผิงเหนียนเองก็อยากได้รับความสนใจ ได้รับการปกป้องดูแลและทะนุถนอม พี่สาวถังเหยามอบความรู้สึกให้เธอว่าเธอไม่ได้ทำผิด เธอไม่ได้อยู่คนเดียว และได้รับความรัก ทุกสิ่งดีๆ กำลังจะมาถึง เธอสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ถังเหยาลูบไล้ร่างที่สั่นเทิ้มเบาๆ พูดว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ภาพนี้ปรากฏสู่สายตาของคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง กู้จื่ออวี่มองเธอที่กำลังปลอบโยนสาวน้อยในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน จากการกระทำเขาก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ สายตาของเขาเหลือบมองไปยังคนที่กำลังใช้โทรศัพท์เมื่อครู่นี้ตงเจียวโกรธจัดแต่ไม่มีที่ระบาย ยังคงต้องกัดฟันขอโทษอีกฝ่าย และบอกว่าเวลาเร่งด่วนเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง ตอนที่3 รับรองว่าจะดันคนเข้ามาได้แน่นอน บอกให้พวกเขารอเธออีกหนึ่งสัปดาห์ลี่หลินนักแสดงสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่นิยม ได้พบทุกคนที่สนามบินแล้วเข้าร่วมทีม ตารางงานที่ปกปิดไว้ทำให้แฟนคลับไม่คาดคิด มีเพียงไม่กี่คนที่รออยู่ที่โรงแรมเท่านั้น ที่รู้ข่าวเพื่อไปส่งที่สนามบิน ข้อมูลที่ว่าทีมงาน "ใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ
มากองรวมกันตรงนี้: "ฉันมีเพื่อนที่ทำงานเป็นปาปารัสซี่ บอกมาว่าสวี่อ้ายปิงใช้ความสัมพันธ์จากรุ่นพี่ลี่หลิน เพื่อเข้าถึงคนคนนั้น แต่คนคนนั้นไม่ได้มีท่าทีที่จะสานต่ออะไร แถมยังไม่เคยไปมีอะไรกันอีกด้วย ได้ยินมาว่าที่สระว่ายน้ำในรีสอร์ตฟิจิ มีคนเห็นเธอพยายามเข้าใกล้ชายคนหนึ่ง แต่เขากลับหันหลังเดินหนีไป"อย่างนี้มันร้ายกาจเกินไปแล้ว: "น้องสาวคนนี้เพิ่งเรียนจบ ก็รู้จักเกาะขาทองคำซะแล้วเหรอเนี่ย? เสียดายที่ฉันเคยรู้สึกดีกับเธอ"เรื่องนี้ยิ่งดูยิ่งลุ้น: "เรื่องนี้ยิ่งนานวันยิ่งเข้มข้นเลยนะเนี่ย! สับสนไปหมด! ฉันได้ยินมาว่าตอนแรกรายการ 'ใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ' เป็นรายการระดับ A ที่เชิญแต่คนโนเนมและนักแสดงระดับ 3 มาร่วมรายการ ไม่มีซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าอย่างที่เห็นตอนนี้เลย หลังจากนั้นได้ยินว่าเผิงเหนียนขอเข้าร่วมเอง แล้วก็ชว ถังเหยามาด้วย หลังจากนั้นกู้จื่ออวี่ ที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ และอยากพักผ่อนก็เข้าร่วมด้วย จึงกลายเป็นทีมที่มีซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าอย่างที่เห็น"ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับรายการอกตัญญูสิ: "ถ้าพูดแบบนั้นก็เท่ากับว่า ทีมงานรายการอกตัญญูสิ สองตอนแรกเรตติ้งติดอันดับ 1 ของปี ก็ไม่ใช่เพ
Comments