หลังลาออกจากงานในเมืองใหญ่ ถังเหยา เลือกกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายใน "เหิงเตี้ยน" เมืองที่เต็มไปด้วยกองถ่ายละครและคนในวงการบันเทิง แต่เธอไม่ได้กลับมาเพื่อไล่ตามแสงไฟของใคร เธอเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ริมทาง เสิร์ฟกับข้าวร้อน ๆ แบบบ้าน ๆ รสชาติเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง จนลูกค้าหลายคนต้องกลับมาเพราะ "คิดถึงรสมือแบบนี้" แม้ไม่มีป้ายร้าน ไม่มีโปรโมชั่น แต่คนก็แวะเวียนกันมาแน่นทุกวัน เพราะอาหารของถังเหยา รสชาติอร่อยจนลืมไม่ลง รวมถึงเขากู้จื่ออวี่ พระเอกหนุ่มสุดฮอตที่ชอบมาเงียบ ๆ แค่เพื่อได้กินข้าวฝีมือเธออีกสักมื้อ ไม่ใช่เพราะเทรนด์ ไม่ใช่เพราะแสงแฟลช แต่เพราะรสชาติที่ยิ่งกว่าติดใจ บางที...ความรักก็เริ่มจากคำว่า "กินดี" ก่อนจะกลายเป็น "อยู่ด้วยกันดีไหม" โดยไม่รู้ตัว "เปิดร้านในเมืองดารา แต่คนต่อคิวคือคนหิว ไม่ใช่คนตามเทรนด์" อยากรู้ว่าร้านนี้มีดีแค่กลิ่นกับข้าว หรือมีพระเอกแนบมาด้วย ต้องลองเปิดอ่านเอง #ความรักอุ่นกว่าข้าว #รสมือถังเหยา #ร้านเล็กในเหิ้งเตี้ยน
View Moreกองถ่ายเมืองเหิงเตี้ยนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามกระแสอุตสาหกรรมภาพยนตร์ รอบๆ สตูดิโอเริ่มเต็มไปด้วยสถานที่บันเทิงหลากรูปแบบ คลับหรูหราผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดซึ่งไม่ต่างจากย่านดังในเซี่ยงไฮ้ ดาราสมัยนี้แม้ต้องทำงานถ่ายละครทั้งวัน แต่กลางคืนก็ยังหาความสำราญได้เต็มที่
ท่ามกลางความคึกคักเหล่านั้น ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่สงบเงียบราวกับโลกอีกใบ บ้านไม้ทรงโบราณหลังเดียวใกล้กองถ่ายเหิงเตี้ยน
มันยังคงอยู่…ยังคงเปิดไฟสว่างไสวเหมือนในอดีต
ตึกไม้ล้อมด้วยรั้วเตี้ยๆ สนามหญ้าร่มรื่น ทั้งลานหน้าบ้านและหลังบ้านปลูกไม้เขียวขจี กลางลานมีเรือนหลังเล็กคั่นอยู่ ทำหน้าที่เชื่อมสองฝั่งของบ้านเข้าด้วยกัน ด้านลานหลังมีต้นแปะก๊วยใหญ่ยืนตระหง่าน ใบไม้สีทองบางใบโปรยลงบนโต๊ะไม้ กลิ่นแดด กลิ่นใบไม้ กลิ่นวันวานยังอบอวลในอากาศ บ้านหลังนี้เป็นมรดกที่คุณตาคุณยายทิ้งไว้ให้ ถังเหยา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกองถ่ายตำแหน่งดีอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ญาติคนสุดท้ายของเธอได้จากไป ก่อนสิ้นลมท่านเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ให้บ้านหลังนี้เปิดไฟไว้เสมอ เผื่อว่าสักวันคนเก่าคนนั้นจะกลับมา...เพื่อรับของสำคัญคืน"
ครอบครัวฝั่งแม่ของเธอ สืบเชื้อสายจากช่างครัวในวังหลวง วิชาการครัวที่สืบต่อมาทั้งตำรับราชสำนักและอาหารพื้นบ้าน ล้วนจดไว้ในสมุดโบราณ เพียงแต่…คุณตาร่างกายไม่แข็งแรง คุณแม่ก็เป็นลูกคนเดียวจึงไม่อยากให้ลำบากไปกว่านี้ สุดท้าย…ไม่มีใครได้สืบทอดเส้นทางของบรรพบุรุษ
แต่สำหรับถังเหยา เธอเติบโตมากับกลิ่นหอมของอาหาร ตั้งแต่ประถมก็เริ่มจับตะหลิว มัธยมต้นก็เข้าครัวได้อย่างมั่นใจ ทุกการหั่น การคลุก การชิมคือสิ่งที่คุณตาสอนมากับมือ ความจริงแล้วเธอรู้ดี สิ่งที่คุณตาเสียใจที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ความเจ็บป่วย ไม่ใช่ความเงียบเหงา แต่เป็นการที่ไม่มีใครได้สืบทอดวิชาของตระกูล ก่อนจากลาเธอสัญญากับคุณตาไว้ว่าจะเป็นคนที่สืบต่อความฝันนั้นให้เอง จะไม่ให้ฝีมือแห่งบ้านตระกูล “ถัง” ต้องหยุดอยู่แค่รุ่นของคุณตา
ตอนที่คุณตายิ้มให้ครั้งสุดท้าย รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความโล่งใจและภาคภูมิใจ ลมพัดผ่านใบไม้ ต้นแปะก๊วยไหวเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบของคนที่จากไป…กำลังบอกว่า “ดีแล้วล่ะ หลานตา...ดีแล้วจริงๆ”
ไม่กี่วันต่อมา ถังเหยามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดแต่งบ้านใหม่ เรือนชั้นล่างฝั่งใต้จัดให้เป็นที่อยู่อาศัย ห้องที่เหลือเปิดไว้สำหรับพนักงาน หรือนักแสดงที่ต้องการพักค้างชั่วคราว เธอใช้เรือนไม้ที่กั้นอยู่ตรงกลางลาน ดัดแปลงให้กลายเป็นครัว แค่เปิดหน้าต่างทั้งสองข้าง ก็รับลมเข้าได้เต็มที่ บนเพดานติดเครื่องดูดควันเรียบร้อย ครัวกลางบ้านกลายเป็นหัวใจของที่นี่
ฝั่งเหนือของลานและทางเดินเลียบข้าง ถูกจัดวางโต๊ะเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ เธอเพิ่มหน้าต่างหลายบานเข้าไปในแต่ละห้อง ในวันที่แดดดีๆ แขกสามารถเปิดหน้าต่างชมสวนได้สบายตาสบายใจ ที่นี่อากาศดีตลอดปี ต้นไม้ใหญ่ในลานให้ร่มเงา เย็นสบายแม้ตอนเที่ยงวัน แค่เปิดประตูบ้านลมอ่อนๆ ก็พัดเข้ามา พร้อมกลิ่นหอมของดินและใบไม้
ความรู้สึกนั้น…สบายเหมือนได้กลับบ้าน
ลานบ้านมีชุดโต๊ะไม้เรียบง่าย บ่อน้ำเก่า ต้นไม้ดัด และแปลงดอกไม้ทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้ตามเดิม ถังเหยาหลงรักของเก่าเหล่านี้ เพราะมันเก็บเอาลมหายใจของกาลเวลาไว้ด้วย ริมกำแพงข้างทางเดิน มีพุ่มดอกไม้ที่คุณยายเคยปลูกไว้ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต เป็นดอกไม้โปรดของท่าน เมื่อก่อนคุณตาจะรดน้ำดูแลทุกเช้า
ตอนนี้…เป็นหน้าที่ของเธอแทนแล้ว
ร้านอาหารเล็กๆ ของเธอใช้ชื่อว่า “ตระกูลถัง” ตกแต่งให้เหมือนโรงเตี๊ยมสมัยก่อน มีทั้งกลิ่นอายความโบราณและความอบอุ่นแบบบ้านๆ
วันเปิดร้าน เธอกับเพื่อนสาว เสี่ยวอิง ช่วยกันจุดประทัดหน้าประตู แล้วเปิดผ้าสีแดงบนป้ายไม้ขึ้นร้านตระกูลถัง เปิดกิจการอย่างเป็นทางการ เสี่ยวอิงมีชื่อจริงว่า หยางอิง พอรู้ว่าเพื่อนรักจะเปิดร้านอาหาร ก็รีบตามมาช่วยโดยไม่ต้องรอให้ชวน
หยางอิบอกว่า “ชาตินี้จะไม่มีวันอยู่ห่างจากอาหารของเหยาเหยาอีกเด็ดขาด เธออยู่ที่ไหน ฉันก็จะอยู่ที่นั่น”
ถังเหยายังไม่ได้จ้างพนักงานเพิ่ม แต่เพราะเพื่อนรักเต็มใจช่วย เธอปล่อยให้ทำตามใจ จะอยู่ จะช่วย จะซน จะกินก็เชิญตามสบายเลย
ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมงตรง แต่จนเที่ยงกว่าแล้วก็ยังไม่มีแม้แต่เงาลูกค้า ที่เหิงเตี้ยนเมืองที่เต็มไปด้วยกองถ่ายและทีมงานภาพยนตร์ ร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีลูกค้าขาประจำ คนในวงการมักจะมุ่งหน้าไปยังร้านที่คุ้นเคย ไม่เสียเวลามาลองร้านใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเสียงหรือได้รับการโปรโมต
ถังเหยาเข้าใจดี ร้านใหม่ของเธอไม่มีป้ายไฟ ไม่มีโฆษณา ไม่มีดารามารีวิว ไม่มีใครโพสต์ในโซเชียล จะเงียบหน่อยก็ไม่แปลก “ถ้ารอจนหมดช่วงพักเที่ยงแล้วยังไม่มีใครมา…ก็ค่อยปิดร้านพักกันเถอะ”
เสี่ยวอิงนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ต้นกัลปพฤกษา แสงแดดลอดผ่านใบไม้พร่างพรายเหมือนภาพวาด
ในเมืองถังเหยาไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรกับการไม่มีลูกค้า แล้วเธอจะกระวนกระวายไปทำไมกัน แถมถังเหยายังอุตส่าห์รินน้ำบ๊วยเย็นๆ ใส่แก้ว วางคู่กับขนมกุ้ยฮวาหอมๆ กินไปชิมไปอย่างอารมณ์ดี“เหยาเหยา ขนมกุ้ยฮวาที่เธอทำอร่อยมากเลยนะ ครั้งหน้าทำเยอะๆ หน่อยสิ ขายได้แน่นอน!”
ถังเหยาพิงแขนบนขอบหน้าต่างของครัว ยิ้มขำให้ภาพเพื่อนรักที่กำลังโยกตัวไปมาราวกับแมวอ้วนขี้เกียจ เธอสงสัยอยู่นิดๆ ว่า คุณหนูเจ้าบทเจ้ากลอนคนนี้ จะอยู่ช่วยได้นานแค่ไหนกันนะ?
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพอฤดูดอกไม้บาน ฉันจะเก็บดอกไม้ทำขนมกลีบบ๊วยไว้ขายเลยแล้วกัน”
ทั้งสองหัวเราะคิกคักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในช่วงเวลาที่ไม่มีลูกค้า เสียงพูดคุยของพวกเธอเป็นเพียงเสียงเดียวที่ก้องกังวานอยู่ในสวน ลานหน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น ทั้งต้นกัลปพฤกษา ต้นฉำฉา และพรรณไม้หอมใบสวยอีกหลายชนิด ร่มเงาเขียวครึ้ม ช่วยให้แม้ในยามเที่ยงก็ยังเย็นสบาย ลมเอื่อยๆ พัดมาเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่งในฤดูใบไม้ผลิ
เสี่ยวอิงหลงรักที่นี่เข้าอย่างจัง เธอนึกถึงโซฟาเอนหลังที่สั่งไว้ทางออนไลน์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างจัดส่ง พอมาถึงเมื่อไหร่เธอจะยกไปตั้งไว้ใต้ต้นแปะก๊วยที่ลานหลังบ้าน ช่วงเวลาว่างๆ จะได้นั่งเอกเขนกใต้ร่มไม้ ฟังเสียงนกร้อง…มองปลาแหวกว่ายในบ่อ แล้วปล่อยใจล่องลอยไปกับสายลม
ขณะเดียวกัน ที่สตูดิโอเหิงเตี้ยนฝั่งโน้น กลับยุ่งวุ่นวายแทบไม่มีใครได้หยุดพัก เหิงเตี้ยนคือสตูดิโอถ่ายทำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แทบทุกวันจะมีทีมงานหลายสิบทีมเข้าออกไม่ขาดสาย คิวถ่ายทำแน่นเอียด บรรยากาศหลังกล้องจึงเต็มไปด้วยความเร่งรีบวุ่นวาย
เบื้องหลังแสงไฟสว่างไสวบนหน้าจอ คือผู้คนมากมายที่ทุ่มเททำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดวันตลอดคืน
เหมยเหมย ทำงานเป็นนักแสดงตัวประกอบที่เหิงเตี้ยน หลังจากถ่ายฉากของตัวเองเสร็จ ก็วิ่งไปหลบแดดใต้ร่มไม้ นั่งลงหอบหายใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิด WeChat เข้าไปในกลุ่ม “นักแสดงตัวประกอบเหิงเตี้ยน” เพื่อหาพวกพ้องร่วมกิน
เหมยเหมย:“โซน A3 เพิ่งถ่ายเสร็จจ้า มีใครว่างรวมทีมไปกินข้าวบ้าง ตอนนี้กำลังรอแบบหิวจนไส้กิ่วเลย”
ลั่วลั่ว:“โซน C1 ก็เพิ่งจบเหมือนกัน ไปด้วย! @เหมยเหมย แต่วันนี้จะกินอะไรดีน้า บะหมี่ร้านฉิน หรือลุยหม้อไฟร้านตี้ตี้ หรือข้าวกล่องร้านขวัญใจดี”
เหมยเหมย:“แถวนี้มีร้านไหนฉันยังไม่เคยกินบ้างล่ะ? เลือกมาสักร้านเหอะ @ลั่วลั่ว /วางคางลงกับโต๊ะมโน”
ถิงถิง:“ฉันกำลังไถแอปเจอร้านใหม่เปิดจ้า กะว่าจะลองสั่งมากินดู รสชาติไม่รู้เป็นไง ตอนนี้แอปมีโค้ดส่วนลดเปิดร้านด้วยน้า ใครอยากสั่งด้วยกันไหม แล้วเราค่อยหาโต๊ะนั่งกินด้วยกันก็ได้ /แนบลิงก์”
เหมยเหมย:“ร้านใหม่ะเหรอ…ไม่น่าไว้ใจเลยอะ แถวเหิงเตี้ยนเนี่ยนะ ร้านอร่อยคือแพงจนนักแสดงเบี้ยน้อยหอยน้อยกินไม่ไหว ครั้งก่อหลงไปกิน หมดเงินที่ได้รับทั้งวันเลยนะยะ”
ลั่วลั่ว:“แต่ฉันเห็นเมนูเขามี ‘ซี่โครงตุ๋นไวน์แดง’ ด้วยนะ ฟังดูน่าสนใจอยู่ กินคู่กับข้าวสวยน่าจะเข้ากัน
สั่งเพิ่ม ‘ต้มยำปลาช่อน’ อีกถ้วย ราคาก็ไม่แรงนะ @เหมยเหมย ลองหน่อยเถอะเพื่อนสาว”เหมยเหมย:“งั้นฉันเอา ‘เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน’ กับ ‘ข้าวผัดหยางโจว’ แล้วก็ ‘ต้มยำปลา’ ด้วยละกัน ว่าแต่…ร้านนี้มีเมนูแค่นี้เหรอ? แต่ก็นะ…ตอนนี้หิวไม่มีอารมณ์เลือกอะไรมาก ตามเพื่อนก็ได้”
ถิงถิง:“งั้นสองสาวเลือกที่นั่งรอเลยนะ เดี๋ยวฉันรับของแล้วตามไป!”
ตอนแรกมาแล้วว ฝากร้านอาหารของถังเหยากับหยางอิงด้วยน้าา
เรื่องนี้จะเป็น แนวพิมพ์แชท เยอะ
หมายถึงบทของข้อความสนทนากันในแชทนะคะ
ประมาณตอนท้ายของบท จะมีแนวนี้เยอะหน่อยน้าาาา
ด้านหน้าร้าน ถังเหยาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ จึงเดินออกมาดู แล้วต้องแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเกาเหวินยืนอยู่ตรงนั้นเจ็ดโมงครึ่งเช้าเองนะ...มาถึงตั้งแต่เช้าแบบนี้ คิดจะมากินอาหารเช้าหรือยังไงกัน? ยังไม่ได้เริ่มทำอาหารเลยด้วยซ้ำ“สวัสดีครับคุณถัง ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าร้านเปิดขายอาหารเช้าตอนกี่โมงครับ?”“ขอโทษด้วยค่ะคุณเกา ร้านเราไม่ได้ขายอาหารเช้าค่ะ”เกาเหวินได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็พลันดูผิดหวังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถังเหยารู้สึกแปลกใจเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเล่าเรื่องของกู้จื่ออวี้ให้เธอฟัง พร้อมหยิบใบวินิจฉัยสุขภาพเมื่อวานให้ดู เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่ดูสุขุมคนนั้น จะป่วยหนักขนาดนี้“จริงๆ ผมก็พยายามไปซื้อจากร้านอื่นให้แล้วนะครับ แต่เขากินไม่ได้เลย...ใครจะคิดว่าเมื่อวานเขาจะกินได้เยอะขนาดนั้น แถมตอนกลางคืนก็ยังหลับได้ดี ไม่กระสับกระส่ายเหมือนทุกที ผมเลยกะว่าจะมาซื้อให้ครบสามมื้อเลย แต่ไม่รู้ว่าร้านคุณไม่ได้ขายอาหารเช้า”
โต๊ะข้างๆ เป็นกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงที่เพิ่งกินเสร็จ ต่างก็มองมาทางเขาแล้วกระซิบกระซาบกันเบาๆ“คนนั้นใช่กู้จื่ออวี่รึเปล่านะ ฉันดูจากข้างหลังก็ว่าใช่เลย”“มองด้านข้างก็เหมือนอยู่นะ คนที่นั่งข้างๆ ใช่ผู้จัดการเการึเปล่า?”“น่าจะใช่แน่เลย ทำยังไงดี อยากขอลายเซ็นจังเลย”เกาเหวินหยิบหมวกส่งให้กู้จื่ออวี่สวม จากนั้นหันไปมองข้างนอกที่เริ่มมีคนมาต่อคิว ถ้าลุกขึ้นตอนนี้มีหวังสร้างความวุ่นวายให้ร้านแน่ เขาเลยกระซิบกับผู้ใหญ่เบาๆ ผู้กำกับเฉินจึงลุกขึ้นพาสองคนเดินไปทางครัว “เสี่ยวเหยา หนูว่างไหม ลุงมีเรื่องอยากขอหน่อย”ถังเหยาเพิ่งทำข้าวผัดให้ลูกค้าเสร็จ ยังไม่มีออเดอร์ใหม่จึงว่างอยู่พอดี หันมาอีกทีก็เห็นผู้กำกับเฉินยืนอยู่พร้อมกับชายสองคนด้านหลัง คนหนึ่งใส่แว่น มองเธอแล้วยิ้มให้ด้วยท่าทีสุภาพ อีกคนสวมหมวกกับหน้ากาก พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอก็แค่กะพริบตาแล้วพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงทักทายผู้กำกับเฉินมาขอเธอว่าอยากให้สองคนนี้ ไปรอนั่งที่ลานหลังบ้านสักพัก เพราะเหมือนจะมีแฟนคลับจำได้ ถ้าเดินออกไปตอนนี้เกรงว่าจะรบกวนลูกค้าคนอื่น ถังเหยามองไปข้างหลังครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้ตกลง เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้วผู
เกาเหวินรู้สึกว่าบรรยากาศของร้านนี้พิเศษจริงๆ ตอนแรกเขายังกลัวว่ากู้จื่ออวี่จะถูกคนจับตามอง แต่ผิดคาด ทุกคนในร้านต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่มีใครว่างคุยกันด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่มองซ้ายมองขวา เพราะข้างนอกยังมีคนรออยู่ พอกินเสร็จก็ลุกแล้วรีบไปเลยยิ่งไปกว่านั้น แต่ละโต๊ะยังจัดแบบมีระยะห่าง ไม่อึดอัดเหมือนร้านทั่วไป โต๊ะของพวกเขาอยู่ใต้ต้นเหมยตรงมุมลาน มีโคมกระดาษแขวนบนกิ่งไม้ดูสวยงาม จากมุมนี้มองเข้าไปด้านในคล้ายโรงเตี๊ยมย้อนยุคยังไงยังงั้นหยางอิงกับลุงหวังยกอาหารมาเสิร์ฟ พอเห็นเป็นโต๊ะของคนรู้จัก ก็ไม่ลืมกำชับด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย “ลุงซ่งคะ ถังเหยาฝากมาบอกลุงทั้งสองว่าดื่มได้แค่ไหเดียวนะคะ ต้องดูแลสุขภาพไว้กินของอร่อยไปอีกนานๆ”“ได้สิ ได้แน่นอน ลุงสองคนแชร์กันแค่ไหเดียวพอ บอกเสี่ยวเหยาว่าไม่ต้องห่วงนะ”เกาเหวินถึงกับเหวอเมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้นยิ้มสดใสเ หมือนพระอาทิตย์เดินมาอยู่ตรงหน้า เผลอมองตามจนเธอเดินลับตาไป พอได้กลิ่นหอมลอยมาเขาถึงดึงสายตากลับได้โต๊ะของพวกเขาสั่งกับข้าวมาอย่างละจาน โดยเฉพาะหมูตุ๋นตงพอสั่งไซส์ใหญ่สุด วันนี้เลือกกินแค่ข้าวผัดหยางโจวกับข้าวสวยร้อนๆ เพื่อให้เข้ากับหมูตุ๋น เ
ช่วงเวลานี้ที่กองถ่ายในเหิงเตี้ยนถือว่าเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ทุกคนต่างก็ขะมักเขม้นกับหน้าที่ของตัวเองเหิงเตี้ยนได้ชื่อว่าเป็นกองถ่ายที่ไม่เคยหลับใหล ไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนผู้กำกับเฉินและผู้กำกับซ่ง ได้นัดกันไว้ว่าเย็นนี้หากเลิกงานเร็วแล้วจะแวะไปที่ “ร้านตระกูลถัง” ขอเพิ่มเหล้าสักไห เหล่าซ่งนั่งดูวิดีโอของนักแสดงที่เพิ่งถ่ายเสร็จ ตอนนี้ในบรรดากองถ่ายทั้งหมดที่เหิงเตี้ยน มีแค่สองโปรเจกต์ที่ได้รับการลงทุนสูงที่สุดเรื่องหนึ่งของเขา อีกเรื่องคือของผู้กำกับเฉินกำลังนั่งคิดอยู่ว่าจะถ่ายซ้ำฉากเมื่อกี้ดีไหม จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามา “ผู้กำกับซ่งครับ ผมกลับมาแล้ว”เขามองไปทางผู้จัดการเกา สีหน้าอีกฝ่ายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูแล้วเหมือนเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิด “เป็นอะไรไป? แล้วไอ้หนูคนนั้นหายไปไหน?”“เขาไปแต่งหน้าแล้วครับ แต่เรื่องที่ผมจะเล่า...หนักกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ นักโภชนาการบอกว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ร่างกายจะทรุดหนักแน่นอน และพอถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินไป เขาไม่ใช่แค่ไม่ยอมกิน แต่ยังไม่รู้สึกว่าควรกินด้วยซ้ำ วันนี้ทั้งวันถ้าผมไม่เตือน เขาคงลืมไปเลยว่าต้องกินข้าว
ความโดดเด่นที่สุดของจานนี้ ต้องยกให้กับฝีมือการปรุงรส และความสามารถในการควบคุมไฟของ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่ายๆ ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงถึงจะทำได้แบบนี้ จะใช้ไฟแรงตอนไหน ควรลดไฟหรือถอนฟืนเมื่อใด ทุกขั้นตอนล้วนต้องใช้ประสบการณ์ควบคุม เพื่อให้เนื้อหมูซึมซับน้ำซอสได้อย่างทั่วถึง โดยไม่เละ ไม่แห้ง และยังคงความสดฉ่ำของวัตถุดิบไว้อย่างสมบูรณ์แบบนี่เป็น หมูต้มตงพอ ที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกิน ยิ่งกว่าเมนูขึ้นชื่อของร้านดังเต๋ออี้จิ่วโหลว ที่เขาเคยหลงใหลเสียอีกที่นั่นแต่ละจานจะใช้หม้อดินขนาดเล็กเคี่ยวแยกกันทีละหม้อ ถึงจะได้รสชาติแบบนั้น แต่ที่ร้านตระกูลถังกลับเคี่ยวรวมหม้อใหญ่ แต่ยังคงความสวยงามและรสชาติระดับเทพเอาไว้ได้ทุกชิ้น ฝีมือเชฟสาวคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งเรื่องมีดและการควบคุมไฟ พรสวรรค์ชัดๆ!พอเที่ยงตรงนักแสดงตัวประกอบ รวมถึงพนักงานในกองถ่ายหลายคณะที่เพิ่งเลิกกอง พอมีเวลาปุ๊บก็รีบพุ่งไปที่ร้านตระกูลถัง หวังจะได้ลิ้มรสเมนูใหม่ที่ได้ยินข่าวลือมาว่ามีขายวันนี้ หมูต้มตงพอ สีสวยเคลือบน้ำซอสข้นๆ นั่นแหละ! เมนูในตำนานที่หลายคนรอคอย ยังไม่ทันจะได้กดสั่ง ก็เห็นข้อความที่ทำให้เข่าอ่อนหม
ลุงหวังก็เหมือนผู้สูงวัยทั่วไป พอถึงวัยนี้ก็มักชอบอาหารตุ๋นนิ่มๆ เคี้ยวง่าย พอเห็นหมูสามชั้นสีน้ำตาลแดงฉ่ำเงาเป็นประกายก็น้ำลายสอ อดใจไม่ไหวอยากกินทันทีเนื้อหมูนุ่มจนใช้ตะเกียบแตะเบาๆ ก็แยกออกจากกัน ตักราดน้ำซอสลงบนข้าวสวยร้อนๆ แล้วตักเข้าปากรสชาติที่ระเบิดอยู่ในโพรงปากทำเอาลุงหวังงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะกลายเป็นเหมือนหยางอิง ที่ไม่มีเวลาพูดอะไรอีก นอกจากมุ่งมั่นกับการกินกลิ่นหอมนี้ทำเอาคนที่เดินผ่าน หรือแม้แต่ละแวกเพื่อนบ้าน พากันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บ้านไหนกันนะที่ต้มหมูได้หอมขนาดนี้ กลิ่นลอยมาถึงบ้านเรา…จะอดทนยังไงไหวตั้งแต่ถังเหยาเปิดร้านตระกูลถัง ไม่ว่าจะตอนสิบโมงเช้า หรือห้าโมงเย็น จะต้องมีกลิ่นหอมแรงทะลุประตูพุ่งออกมาเหมือนตั้งเวลาไว้ กลิ่นนั้นลอยตามลมไปไกลหลายบ้านเลยทีเดียว ใครที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าหรือเที่ยง พอเจอกลิ่นเข้าไปก็ได้แต่กุมท้องโอดครวญกันถ้วนหน้าบรรดาไรเดอร์ที่เสร็จงานช่วงสายก็เริ่มเดินผ่านแถวร้าน พอได้กลิ่นหมูตุ๋นก็พากันหันขวับ บางคนคิดว่าจะรีบไปส่งออร์เดอร์สุดท้ายให้เสร็จแล้วกลับมากิน บางคนไม่พูดพล่าม รีบจอดรถแล้วต่อแถวรอทันที“เจ้าของร้านถัง วันนี้ทำ
Comments