--- วาคิม Talk ---เสียงลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นดั่งสัญญาณที่บอกได้ดีว่าคนบนร่างผมตอนนี้ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วผมเหลือบมองหัวทุยที่เกยอยู่บนหน้าอกของผมพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบลงไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพานคิดไปว่าถ้าหากตอนนี้เธอไม่ได้กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราก็คงน่าจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของผมอย่างแน่นอนความรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย และอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกแผ่ซ่านผ่านร่างเล็ก ๆ แทรกซึมเข้ามาตามผิวหนังลงไปยังก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย แม้ว่าตัวเองจะพยายามคิดหาเหตุผลมากมายแค่ไหนแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีผลต่อตนเองมากขนาดนี้ การตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามแบบฉบับนักธุรกิจหนุ่มที่ต้องหาเหตุผลมารองรับอย่างรอบคอบ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาจำต้องยอมศิโรราบให้กับมันนั่นก็คือ ความรู้สึกที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขานั้น...คงชอบเธอเข้าให้แล้ว...จากนั้นภาพเลขาสาวที่มักจะแต่งตัวเฉิ่มเชยใส่แว่นหนาเพื่อบดบังความงามของดวงตาคู่นั้นก็ได้ฉายเข้ามาในโสตประสาทเพื่อให้ตัวเองได้ขบขันอีกครั้ง พร้อมกันที่รอยยิ้มบางเบาได้ผุดขึ้นบนใบหน้าให้กับความโง่เง่าของตัวเอง ยามคิดไปว่า
วันเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านพ้นไปเข้าสู่วันที่สามที่ฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ อาการของฉันดีขึ้นตามลำดับเพียงแต่ว่าใช้เวลานานไปกว่าที่คุณหมอคาดคะเนเอาไว้ กระทั่งวันนี้ข่าวดีก็มาถึงเมื่อคุณหมอบอกว่าให้ฉันกลับบ้านได้แล้ว“ดีใจไหมจะได้กลับบ้าน” คนตัวโตที่คอยดูแลฉันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เอ่ยถามขึ้น“ดีใจค่ะ มนต์เบื่อแล้วอยากไปทำงานแล้วค่ะ” ฉันพูดในสิ่งที่ฉันคิด และวินาทีเดียวกันนั้นเองภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นเพื่อย้ำในบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้“คุณวาคิมค่ะ มนต์ยังไม่ได้”และในขณะที่ฉันยังพูดไม่จบ คนฟังที่เหมือนจะล่วงรู้ว่าฉันต้องการจะพูดอะไรก็ได้ตอบออกมาก่อน“เรื่องนั้นผมสั่งให้คนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบหน้าตานิ่งเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่สำหรับฉันไม่ใช่...!! มันเป็นเรื่องน่าอายและมันทำให้ฉันตื่นตระหนกทันที“ได้ยังไงคะ ความจริงแล้วมนต์ตั้งใจจะเก็บกวาดเอง ตายแล้วขายขี้หน้าชะมัด” (>///ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าจนรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวผ่านจากใบหน้าลงมายังฝ่ามือ“หึหึ...ไม่มีอะไรน่าอายสักหน่อยก็แค่...เกลื่อนเต็มห้องก็เท่านั้นเอง” คนเจ้าเล่ห์ที่เห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวแล
รุ่งเช้า ~~--- มนตรา Talk –เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อย ๆ ถูกขยับให้เปิดลืมขึ้น กระทั่งเมื่อภาพตรงหน้าปรับโฟกัสได้แล้ว นั่นถึงทำให้ฉันได้รู้ว่าที่ตัวเองกำลังนอนอยู่ตอนนี้คือที่ไหน“มะ...มาอยู่นี่ได้ยังไง” คำถามที่เกิดขึ้นในใจ ถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาผ่านริมฝีปากที่แห้งผากหลังจากที่สมองหลั่งความทรงจำสุดท้ายที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้“ก็เมื่อคืน...โอ๊ย...ปวดหัวชะมัด” ความทรงจำที่ส่งมาบอกว่าความจริงแล้วเวลานี้ฉันควรอยู่ที่ไหนทำให้ฉันนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ แต่ในวินาทีถัดไปกลับถูกความเจ็บปวดตรงหัวตีกลบลงไปจนถึงกับร้องออกมา“ตื่นแล้วหรอ” จู่ ๆ เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยแต่วันนี้กับดูละมุนลงไปมากเอ่ยขึ้นจนฉันต้องหันไปมองตามเสียงจากนั้นเจ้าของเสียงคุ้นหูก็ได้เดินตรงหน้าที่ฉันแล้วแสดงสีหน้าท่าทางเป็นห่วงฉันอย่างไม่น่าเชื่อ“เป็นไงบ้าง ปวดหัวหรอ เดี๋ยวผมไปตามหมอมาให้นะ” เขาที่ดูกุลีกุจอกระวนกระวายรีบวิ่งออกไป จนเผลอลืมไปว่าด้านข้างเตียงผู้ป่วยของฉันก็มีปุ่มเรียกพยาบาลอยู่“ไปซะและ จะขอกินน้ำสักหน่อย” ส่วนฉันที่เอ่ยเรียกเขาไม่ทัน ก็ได้แต่บ่นอุบกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะปิดตาที่ลงตามเดิมจากนั้นเพียงไม่กี่
ดวงตาคมเข้มถูกหนังตาปิดลงมาอย่างใช้ความคิด ว่ายังโชคดีแค่ไหนที่ตัวเองไม่เคยให้ใครปิดเครื่องปรับอากาศในชั้นห้องทำงานเลย เพราะไม่อย่างงั้นด้วยพิษไข้ของหญิงสาวแล้วนั้น ถ้าหากไม่มีอากาศหมุนเวียนแล้วละก็วันนี้ร่างที่ผมอุ้มออกมาคงเป็นร่างที่ไร้วิญญาณแน่ ๆ“ฟู่ววววว ~~ มึงมันบ้า…!! ไอ้คิม...!!”ผมสบถด่าตัวเองเบา ๆ พร้อมกับความรู้สึกสมเพชตัวเองที่เริ่มจะเด่นชัด เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่ตัวเองมั่นใจนักหนาว่าจะละเลยได้กลับทำได้เพียงไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำร่างกำยำยังคงนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกสักพัก กระทั่งเมื่อด้านข้างได้มีเสียงคุ้นเคยเรียกดังขึ้น นั่นจึงทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์...“นายครับ” ปราบเรียกชื่อนายตัวเองเบา ๆ หลังจากที่เขาได้รับข่าวจากเรย์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น“อ้าว...มาได้ไงล่ะ” ผมถามออกไปด้วยความแปลกใจ เพราะผมยังไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับคนตรงหน้าได้ฟังเลย“เอ่อ...พอดีเรย์มันติดต่อมาหาผมนะครับนาย ผมเป็นห่วงนายเผื่อว่านายอยากจะได้อะไรเพิ่มหรืออยากไหว้วานให้ผมไปทำอะไรให้” ปราบก้มหน้าประสานมือเล็กน้อยบอกไปตามความจริง แม้จะรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างก็ตาม เพราะในเวลาน
ติ๊ง ~~ครืดดดดด...พรึ่บ!!ขายาวที่ก้าวผ่านประตูลิฟต์ออกมา มาพร้อมกับความตื่นเต้นที่แทบจะหยุดหายใจด้วยลุ้นระทึกเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะปรากฏออกมาแบบไหนกระทั่งเมื่อเสียงทักทายของลูกน้องที่ผมหวั่นใจว่ามันจะทำอะไรไม่บังควรเอ่ยทักขึ้น นั่นจึงทำให้ความรู้สึกปั่นป่วนใจก่อนหน้านี้พลันคลายลงไปมากเลยทีเดียว...“อ่ะ...นาย...สวัสดีครับนาย” เรย์ถึงกับตกใจกับการมาของบุคคลที่เป็นเจ้านายตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะโค้งทำความเคารพคนตรงหน้า“อ้าว ยังอยู่อีกหรอ” ผมถามแก้เขินด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ใจจะอยากตบปากตัวเองเหลือเกินที่ถามอะไรปัญญาอ่อนออกไปแบบนั้น แต่มันคิดคำพูดอื่นไม่ทันด้วยกลัวว่าลูกน้องจะมองพิรุธออกว่าเพราะเหตุผลใดทำไมผมถึงถ่อมาถึงที่นี่กลางดึกกลางดื่นขนาดนี้“อ่อ...ครับ ก็พี่ปราบบอกว่านายสั่งให้ผมอยู่จนกว่าคุณมนตราจะออกมาไม่ใช่หรือครับ” เรย์ทวนสิ่งที่ได้รับมอบหมายตาใส และด้วยคำตอบของลูกน้องที่ส่งกลับมาก็ยิ่งทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว อีกทั้งยังแอบคิดว่าหรือคนตรงหน้ากำลังพูดประชดผมอยู่กันแน่เพียงแต่...แววตาใสซื่อของลูกน้องตรงหน้าที่ส่งมา มันทำให้ผมยอมที่จะไม่เอาเรื่อง...“แล้วนี่เขายังไม่ออกมา
--- มนตรา Talk ---ร่างเปลือยเปล่านอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอนขนาดใหญ่ในขณะที่เปลือกตายังปิดปรืออยู่ โดยที่ใบหน้าเนียนและร่างกายขาวผ่องต่างมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มจนความเปียกชื้นจากร่างสาวลามลงไปจนทำให้ผ้าปูที่นอนชื้นแฉะทั้งที่บรรยากาศภายในห้องนั้นอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเสียด้วยซ้ำ“แฮก...แฮก ~~”ลมร้อนระอุที่ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากแดงจัด อีกทั้งยังผ่อนออกมาอย่างติด ๆ ขัด ๆ เป็นดั่งสัญญาณว่าตอนนี้หญิงสาวที่นอนอยู่บนที่นอนกำลังถูกรุมเร้าด้วยไข้พิษ“นะ...น้ำ...หิวน้ำ” เสียงแห้งผากหลุดออกมาจากเรียวปากร้อนในขณะที่เจ้าของร่างแทบจะไม่มีสติ แต่ทว่าด้วยทั้งห้องนี้ที่มีแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นจึงทำให้ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะลุกไม่ไหวก็ตาม แต่เธอจำต้องค่อย ๆ พยายามหยัดกายคลานตัวลงมาจากที่นอนเพื่อเอาชีวิตรอดและทันทีที่ร่างบางขยับจนร่วงหล่นมาจากที่นอน อาการที่ย้ำบอกว่าตอนนี้ร่างกายกำลังโดนความเจ็บป่วยเล่นงานอยู่ก็แผ่ซ่านจนทำให้ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วถึงกับเหยเก“โอ๊ย ~~ ปะ...ปวดหัวจัง” มือบางยกขึ้นมากุมหัวทุยพร้อมกับทุบลงไปเบา ๆ อย่างอัตโนมัติ และแม้ว่าตอนนี้ร่างทั้งร่างจะปวดหนึบไปทั่วจนแทบจะขยับไม่ไหว