ประเทศจีน
พุทธิญาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของโรงแรมด้วยความรู้สึกสดชื่นสดใส ไม่มีวี่แววว่าเหน็ดเหนื่อยแม้แต่นิด
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เธออยู่ที่นี่ ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง
วันนี้เธอได้นั่งเรือล่องแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองในอดีต ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของคนที่นี่มาตั้งแต่โบราณกาล
ถ้าเธอจำไม่ผิดคนไทยก็มีถิ่นกำเนิดจากแถบนี้เหมือนกัน
จึงสรุปเอาเองว่าไทยจีนก็มาจากเทือกเดียวกัน แต่พอแตกหน่อไปอยู่ต่างถิ่นจึงต่างภาษาออกไป
ช่วงบ่ายเธอก็ได้ไปวัดเส้าหลิน เป็นวัดแห่งแรกที่บุกเบิกพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ของผู้ออกบวชจากประเทศอินเดีย เธอและเพื่อน ๆ ชมความงามของงานสถาปัตยกรรมในสมัยโบราณต่าง ๆ ตบท้ายด้วยการชมโชว์กังฟู จนถึงเวลาบ่ายแก่ ๆจึงบอกให้ไกด์หน้าตาหล่อตี๋ ขวัญใจนังปลาหมึกพากลับเข้าที่พัก...
‘กุ้ยถิง เจ้ารู้ตัวหรือไมว่าความงามของเจ้า ในปฐพีนี้หาได้มีใครเสมอเหมือน เจ้างามยิ่งนัก ออกเรือนมาเป็นพระชายาของข้าเถิดนะ’
ชายหนุ่มที่เธอเห็นเป็นเพียงเงารางเลือน ค่อย ๆ เดินเข้ามา เธอพยายามเพ่งมองด้วยความตั้งใจ เพราะอยากเห็นหน้าของเขาชัด ๆ
แต่เธอยิ่งเพ่งมองมากเท่าไหร่ มันก็เหมือนกับการเดินเข้ามาของเขาถอยห่างออกไปทุกก้าว เธอจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินไปหาเขาเอง พยายามซอยเท้าเพื่อให้ทันเขา
“คุณคะ กลับมาก่อน คุณเป็นใคร กลับมาหาฉันก่อน คุณ.. คุณคะ อย่าเพิ่งไป กลับมาก่อน คุณ..” เธอทั้งวิ่งทั้งเรียกจนเหนื่อยหอบ “คุณคะ คุณ”
“เฮ้ย! ยิปซี ละเมออะไรของแกน่ะ” ปลาหมึกเขย่าตัวของเพื่อนรักที่นอนห้องเดียวกัน ด้วยความเป็นห่วงระคนหวาดหวั่น
พุทธิญาลืมตาตื่น แล้วมองหน้าเพื่อนสนิทที่มองจ้องเธออยู่
“ปลาหมึก” เธอยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วดูนาฬิกาที่ข้อมือ “จะหนึ่งทุ่มแล้วเหรอ โทษทีนะฉันเผลอหลับไม่รู้ตัวเลย”
“เธอฝันอะไรเหรอยิปซี เธอเรียกใครให้กลับมาเสียงดังมาก ทำฉันขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย” ปลาหมึกยื่นแขนให้เพื่อนดูเพื่อยืนยัน
“หมึก แกจะเชื่อฉันมั้ย ถ้าฉันบอกว่าฉันฝันเห็นผู้ชายคนนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว ฝันถึงเขาตั้งแต่ก่อนเดินทางมาเที่ยวด้วยซ้ำ ฝันซ้ำ ๆ อยู่แบบนี้ตลอดเลย”
“แล้วแกฝันถึงใครล่ะ”
“ไม่รู้ ฉันไม่รู้จักเขา รู้แต่ว่าเป็นคนจีนแต่งชุดโบราณ ท่านจอมยุทธ์ประมาณนั้น”
“ฉันว่าแกฟุ้งซ่าน จะมาเที่ยวเมืองจีนเลยคิดมากจนเอามาเป็นความฝัน ฟันธง” ปลาหมึกทำท่าสะบัดมือแบบหมอดูชื่อดัง
“ค่ะคุณหมอรัก” พุทธิญาล้อเลียนเพื่อน ลึก ๆ ก็หวั่นไหวแต่ไม่อยากแสดงออกให้เพื่อนเห็น “ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ฉันขอเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ สำรวจความเรียบร้อยของหน้าตาและเสื้อผ้า
ออกมาก็เห็นเพื่อน ๆ มารวมตัวกันที่ห้องแล้ว จึงชวนกันลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารที่ไกด์แนะนำ…
วันที่ห้าในประเทศจีน ไกด์หนุ่มตี๋พาลูกทัวร์ทั้งสี่ไปเยือนที่หลงเหมิน สือคูหรือถ้ำผาประตูมังกร ซึ่งมีงานเขียนโบราณ งานประติมากรรม และศิลาจารึกเรื่องราวต่าง ๆ มากมายนับหมื่นผลงาน
เที่ยวเมืองลั่วหยางซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในห้าอันเก่าแก่ของประเทศจีน เป็นเมืองหลวงในสมัยโบราณถึงเจ็ดสมัยด้วยกัน และปิดท้ายด้วยการไปสักการะกวนหลิน หรือสุสานขุนพลกวนอู ซึ่งคนจีนเปรียบท่านเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม
วันที่หก พวกเธอได้ไปเที่ยวที่กำแพงเมืองโบราณ ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ที่มีขนาดยาวและกว้างมากขนาดเอารถสามคันไปวิ่งบนกำแพงได้ ไปดูศาลไคฟงของท่านเปาบุ้นจิ้น และปิดทริปวันนี้ด้วยการเดินเที่ยวตลาดใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก
“ขอบคุณมากนะคะคุณเฉิน พรุ่งนี้พบกันค่ะ” พุทธิญาพูดภาษาจีนกลางกับไกด์เมื่อเขาส่งพวกเธอลงที่ตลาด
“พรุ่งนี้พบกันครับ ยิปซี พวกคุณชอบดูดวงมั้ย ถ้าชอบผมขอแนะนำให้คุณเดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ นั้น เดินตรงเข้าไปสักพักจะเจอศาลเจ้า ที่นั่นมีหมอดูเป็นหญิงชราที่ดูหมอแม่นมาก ใคร ๆ ก็เรียกเธอว่าธิดาเทพ”
“จริงเหรอคะคุณเฉิน ฉันไม่ได้ดูดวงมานานแล้วค่ะ อยากลองเหมือนกัน” พุทธิญากล่าวอย่างกระตือรือร้น เพื่อให้คนที่แนะนำรู้สึกดีไปด้วย
“จริงครับ แต่ผมไม่รับรองนะว่าป้าเขาจะดูให้พวกคุณหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะคุณเฉิน” พุทธิญาสงสัย
เขามองหน้าเธอแล้วส่งยิ้มให้ “เพราะป้าเขาจะเลือกดูให้บางคนเท่านั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่านะครับ..” แล้วขยับหน้าไปใกล้ ๆ ยกมือป้องปากอย่างมีมารยาท “ผมยังได้ยินเขาลือกันว่าป้าเขาอยู่แบบนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว” กระซิบกับเธอเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พุทธิญายิ้มอ่อน ๆ แล้วส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะคุณเฉิน คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น”
“แต่เธอไม่ใช่คน ป้าเขาเป็นธิดาเทพนะครับ” เขายืนยันเสียงแข็ง
ยิปซีไม่อยากค้านเพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท “โอเคค่ะฉันจะลองไปตามที่คุณแนะนำ แต่เธอคงไม่เลือกฉันหรอก” เธอพูดติดตลก
“ผมหวังว่าคุณจะถูกเลือกนะครับ” แล้วบอกลาเธอกับคนอื่น ๆ ก่อนจากไป
เมื่อเฉินเดินจากไปแล้ว พุทธิญาจึงเดินนำหน้าเพื่อน ๆไปตามซอกซอยต่าง ๆไม่ได้สนใจซอยที่เขาแนะนำเลยสักนิด เพราะถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดจริง เธอคงไม่ได้ดูดวงกับธิดาเทพท่านนั้นแน่
ก็เธอทั้งไม่เชื่อและไม่ใช่คนจีน ท่านคงไม่ดูให้เธอ
“หุย! คนจีนนี่เขากินอะไรกันแปลก ๆ เนอะแก กินโหดยิ่งกว่าบ้านเราอีก ดูสิ ตะขาบ หนอน แมลงอะไรนั่น โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว รีบไปจากตรงนี้เถอะพวกแก ฉันจะตายอยู่แล้ว” พุทธิญาทนไม่ไหวจริง ๆ กับสิ่งที่เห็น
เธอไม่ใช่ผู้หญิงจุกจิกเรื่องการกินสักเท่าไหร่ แต่แบบนี้เธอรับไม่ได้จริง ๆ...
หลังจากที่ออกมาจากตลาดแล้ว ทุกคนก็เห็นพ้องว่าเดินกลับโรงแรมดีกว่า ตอนนี้จึงลงเอยที่คาเฟ่ภายในโรงแรม เพื่อหาเครื่องดื่มเย็น ๆ แก้กระหาย
“กาแฟที่นี่สู้กาแฟเย็นบ้านเรายังไม่ได้เลย” พุทธิญาเจ้าเดิมบ่นพึมพำ เธอไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่เมื่อเสียเงินแสนแพงไปแล้วก็ต้องได้ของดีรสชาติถูกลิ้น “แต่ก็คงอร่อยของบ้านเขาแหละ ฉันเรื่องมากเอง”
“ทนกินไปก่อนเถอะยิปซี อีกสามวันก็ได้กลับบ้านเราแล้ว” แวนพูดปลอบ แล้วยกน้ำชาที่รสชาติเข้มมากสำหรับคนไทยอย่างเธอ แต่เมื่อกลืนลงคอไปแล้วกลับรู้สึกชุ่มคอดีเหลือเกิน จึงชักชวนให้เพื่อนคนอื่นได้ลิ้มชิมรสกันบ้าง
เรือนหลักพุทธิญาเปิดประตูเข้าห้องอย่างเบามือเพราะคิดว่าคนรักหลับแล้ว แต่เธอคิดผิด เพราะเขายังนั่งอยู่ที่เดิม แต่เปลี่ยนจากสำรับอาหารเป็นกาน้ำเมาแทน เขามองเธอเพียงแวบเดียว แล้วหันไปสนใจกับกาน้ำเมาที่ถือค้างไว้ในมือต่อเธอยืนมองเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหา แล้วเบียดกายลงไปนั่งบนตักกว้างของเขา ตอนนี้คนที่เครียดไม่ใช่มีเพียงเธอ แต่เขาก็เป็นเช่นกัน เธอเห็นแววตาของเขาก็เข้าใจทุกอย่างดี“หย่งหมิง ท่านดื่มมากไปหรือเปล่า” เธอจับจอกเหล้าที่เขากำลังกระดกวางลงบนโต๊ะหยกเนื้อเย็นมือหนาที่โอบกระชับช่วงเอวของนางกระชับแน่นเข้าไปอีก เขาจ้องลึกเข้าไปในตาหวานคมคู่นั้น แล้วโน้มหน้าผากชนกับหน้าผากของนางเบา ๆ“ถ้าดื่มมากก็ต้องเมาแล้วสิ แล้วเจ้าไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วง” เขาถามทั้งที่รู้ว่านางไปไหน เพราะให้โต้วฉือสะกดรอยตามดูแล“ท่านทราบอยู่แล้ว” เธอมั่นใจว่าเขารู้จึงไม่ตอบปากได้รูปแนบลงไปบนกลีบปากอิ่ม แทะเล็มเป็นของแกล้มเหล้าจนบวมเจ่อหญิงสาวหลับตาพริ
“ขอบใจนะหลัน เจ้าจะไปไหนน่ะซิง” เห็นสาวใช้อีกคนเปิดประตูห้องก็รีบถามด้วยความสงสัย“ข้าจะไปเอาน้ำสมุนไพร ท่านหญิงรอสักครู่นะเจ้าคะ” จบคำก็รีบวิ่งออกไป ไม่สนใจเสียงห้ามที่ตามหลังมาสักนิด“ท่านหญิงมีธุระกับพวกข้าทำไมไม่ใช้ให้ใครมาตามเจ้าคะ จะเดินมาเองทำไม” เสี่ยวหลันบ่นขณะที่มือก็ยังถูไถให้ความอบอุ่นกับมือเรียวของนายหญิง “ยังไม่เข้าสู่ฤดูหนาวเลยนะ แต่ท่านหญิงก็หนาวขนาดนี้แล้ว ถ้าถึงฤดูท่านหญิงคงจะอยู่แต่บนเตียงคั่ง ออกไปไหนไม่ได้แน่” สาวใช้ถูมือทั้งสองให้หญิงสาวแล้วจึงถกผ้าห่มที่ห่มล่างขึ้น “ท่านหญิง! ทำไมท่านถึงไม่ใส่รองเท้า” นางตกใจจนถลึงตาเอ็ดด้วยความลืมตัว แต่ก็รีบยกเท้าทั้งสองข้างมากอดไว้ ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดเอาคราบเปื้อนที่เท้าออกจนหมด แล้วเอามือถูให้เกิดความอบอุ่นการกระทำของเสี่ยวหลันทำให้พุทธิญารู้สึกตื้นตันในหัวใจเหลือเกิน รู้สึกว่านางยังรักเธอมากกว่าเขาคนนั้นอีก.. น้ำตาจึงปริ่มออกมาแบบห้ามไม่อยู่“ขอโทษนะหลัน ข้าสัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่ทำให้เจ้าโมโหอีก”“บ
พูดจบก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาเห็นใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ก่อนที่เจ้าของใบหน้างดงามนั้นจะคีบอาหารอย่างอื่นเข้าปากไปอีกหลายคำติดต่อกัน ทำให้เขาพอใจมาก“ท่านอ๋อง..เอ่อ..โหยะ..หย่งหมิง”“หืม” เขาขานรับในลำคอ หัวใจพองคับอกกับคำเรียกขานอย่างชิดเชื้อ ถึงแม้ในน้ำเสียงนั้นจะเจือด้วยความกระดากอาย แต่อีกหน่อยนางก็จะชินไปเอง“ให้ยิปซีไปกับท่านด้วยไม่ได้หรือเจ้าคะ”เขาแปลกใจที่นางเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน รู้ดีว่านางหมายถึงเรื่องใด แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ยังคีบอาหารใส่ปากอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อยากให้ปากว่างแล้วต้องตอบคำถามของนางจะให้นางไปด้วยมันไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ที่เขาไม่อยากให้ไปเพราะไม่อยากให้นางต้องทนลำบากกับการเดินทาง เผชิญกับอากาศที่หนาวเหน็บ สภาพที่ไม่แน่นอนของคลื่นลม ถ้าให้นางตกระกำลำบากไปด้วย เขายอมทนคิดถึงนางจะดีกว่าที่สำคัญเหนืออื่นใดเลย คือเขาไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีกองโจรหรือผู้ไม่หวังดีซุ่มโจมตีหรือไม่ เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่ายังมีอีกหลายกลุ่มที่ต้องการโค่นอำนาจของถังโจว อยากมีอำนาจเหนือดินแดนฉางอาน
“ข้าหิวข้าวแทบแย่ แต่ไม่ยอมกินเพราะหวังจะมากินกับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ขอกินเจ้ารองท้องก่อนแล้วค่อยไปกินข้าวดีกว่า” พูดจบก็จัดการปิดปากที่กำลังเปิดขึ้นหญิงสาวดิ้นไม่เลิกเพราะน้อยใจในคำพูดของเขา ที่บอกว่าไปหาอนุมาช่วยแบ่งเบาภาระของเธอ แต่ด้วยฝีมือระดับเขากับคนที่ประสบการณ์น้อยอย่างเธอ มีหรือจะสู้กันได้ ไม่นานร่างของเธอก็อ่อนปวกเปียกและส่งเสียงครางกระเส่า เสื้อผ้าถูกทึ้งออกไปจากร่างตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้ชายหนุ่มลากปลายลิ้นสัมผัสไปทั่วเรือนร่าง หยอกเย้าตามจุดที่เขารู้ว่าทำให้นางเสียวกระสัน เขาทำมันอย่างช่ำชองจนนางทนไม่ไหว ออกปากร้องขอให้เขาร่วมรักเสียงกระเส่า จึงสอดประสานเอ็นอุ่นเข้ากับร่างระหง เมื่อเนื้อแนบเนื้อแล้วจึงโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ให้สมกับความหิวโหยให้สมกับที่อดมาถึงสามวันเสียงครวญครางด้วยความสุขสมของนางดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะถูกเขาเล้าโลมด้วยปลายลิ้นและริมฝีปากแต่กุ้ยอ๋องยังไม่อยากหยุด เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้า ลำคอ คลำคลึงอกตูมเต่งตึงขนาดใหญ่ที่ยั่วยวนด้วยมือและตามด้วยปากร่างบางสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่าน พยายาม
“เขาบ้าไปแล้วหรือไง!” เธอสบถเสียงดัง นึกโมโหชายหนุ่มที่คิดอะไรตื้น ๆ.. คนที่ต้องเดินทางไกลคือตัวเองแท้ ๆ แต่ดันทิ้งองครักษ์ฝีมือดีมาอยู่โยงดูแลคนที่อยู่ในบ้านอย่างเธอ “กลับมาจะอาละวาดให้น่าดูเลย วันนี้ข้าไม่ฝึกนะ ข้าจะเก็บแรงไว้อาละวาดท่านอ๋องของพวกท่านก่อน” แล้วเดินลงหน้าตูมออกไปโต้วฉือมองตามร่างบางที่เดินออกไป แล้วกระดกยิ้มที่มุมปาก“ทั้งรักทั้งเป็นห่วงกันขนาดนี้ ทำไมไม่เดินทางไปด้วยกันเสียเลยนะ” เขาพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ให้คำตอบกับตัวเองว่าคงเป็นเพราะความไม่เหมาะสม เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้แต่งงานตามประเพณี หรืออาจจะเป็นเพราะกลัวอันตรายจากการเดินทางไกล ที่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ถ้าให้เดาจากนิสัยของท่านอ๋องแล้ว เขาคิดว่าอย่างหลังน่าจะมีเหตุผลมากกว่าแล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ที่ท่านอ๋องเรียกประชุมคนงานในบ้านทุกคน แล้วกำชับบ่าวไพร่อย่างละเอียด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนเกี่ยวกับท่านหญิงยิปซีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ความปลอดภัยต่าง ๆ ท่านอ๋องล้วนเป็นคนสั่งการด้วยตัวเองทั้งสิ้น“พวกเ
“ยิปซี”“........”“ยิปซี! ยิปซี! เจ้าเป็นอะไร! ยิปซี!”ใจของเขาหล่นวูบเมื่อจับร่างระหงหงายขึ้น และเห็นนางหมดสติไปแล้ว เขารีบอุ้มนางกระชับไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกลับไปที่ห้องนอน“มีใครอยู่แถวนี้บ้าง เสี่ยวหลัน เสี่ยวซิง มาดูท่านหญิงหน่อย” เสียงตะโกนลั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนของเขา สร้างความโกลาหลให้บ่าวไพร่แถวนั้นไม่น้อย แล้วเริ่มลุกลามไปทั่วคฤหาสน์จากปากต่อปากพุทธิญาแอบหลิ่วตามองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่หน้าเตียง นึกอยากโกรธก็โกรธไม่ลง นึกอยากขำก็ขำไม่ออก แต่ที่นึกออกตอนนี้คือเจ็บก้นมาก ๆแบร่! เธอแลบลิ้นใส่ด้านหลังเขา แล้วรีบหลับตาเมื่อเขาหันกลับมา..................เสี่ยวซิงกับเสี่ยวหลันช่วยกันพยาบาลอยู่พักใหญ่ ยิปซีจึงค่อย ๆ ลืมตาเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา“ท่านหญิงฟื้นแล้ว!”เสียงดีใจของสาวใช้ ทำให้กุ้ยอ๋องรีบถลาเข้าไปหาร่างบางบนเตียง“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม บอกข้าสิยอดรัก” เขากุม