หนึ่งเดือนผ่านไป ฉันเริ่มชินกับชีวิตในร่างใหม่แล้ว ทั้งงานบ้านที่ต้องทำในฐานะคนรับใช้ และงานที่โรงสีซึ่งฉันต้องรับบทเป็นที่ปรึกษาลับ ๆ ของคุณพิชิต ชีวิตประจำวันของฉันแบ่งเป็นสองแบบชัดเจน กลางวันเป็นสาวใช้ กลางคืนเป็นคนแก้ปัญหาธุรกิจ ฟังดูเท่ดีใช่ไหม? ไม่เลย... เพราะเงินเดือนที่ได้ช่างห่างไกลกับความยุติธรรมเหลือเกิน
ฉันพยายามกล่อมแม่ให้ลาออกแล้วออกไปใช้ชีวิตกันสองแม่ลูก แต่อย่างที่คาดไว้ แม่ดุฉันเสียยกใหญ่ แถมยืนยันหนักแน่นว่าจะอยู่รับใช้บ้านนี้ไปจนตาย ไม่เพียงแค่นั้น แม่ยังสั่งให้ฉันตั้งใจทำงานเพื่อช่วยเหลือโรงสีอีกต่างหาก
ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมแม่ถึงผูกพันกับที่นี่นัก? บ้านหลังนี้ไม่ได้ให้อะไรแม่เลย นอกจากภาระและคำสั่งสารพัด แต่ถึงจะไม่เข้าใจ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการปล่อยให้แม่ทำตามที่ต้องการ… อย่างน้อยก็ตอนนี้
แต่ฉันน่ะเหรอ? ฉันจะไม่อยู่ที่นี่ตลอดไปแน่ ถ้าหาข้อมูลได้มากพอและมีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่… ฉันจะออกไปจากที่นี่ทันที
ฉันตื่นตั้งแต่ตีห้าเหมือนที่เคยทำตอนเป็นอลิสา ร่างกายใหม่นี้บอบบางกว่าที่เคย แต่หลังจากซ้อมมาเป็นเดือน ฉันก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว ฉันออกไปวิ่งรอบสวนเป็นรอบที่สิบ เหงื่อไหลซึมตามขมับและแผ่นหลัง หัวใจเต้นเร็วแต่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากนัก ความอึดทนเพิ่มขึ้นชัดเจน
"วี พักก่อนไหม?"
เสียงอร เพื่อนคนใช้รุ่นเดียวกันดังมาจากระเบียงหลังบ้าน เธอทำงานที่นี่มานานกว่าสี่ปีแล้ว และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าคุยกับฉันอย่างสนิทสนม ปกติก็ไม่ค่อยมีคนคุยกับวราลีอยู่แล้วเพราะกลัวโดนหางเลขจากพลอยไพลิน บางคนที่อายุใกล้เคียงกันก็จับกลุ่มคอยให้ท้ายคุณหนูใหญ่ของบ้าน รวมหัวกันรังแกวราลีทั้งตอนที่พลอยไพลินเห็นและไม่เห็น ราวกับพวกหมาน้อยประจบที่พอเจ้านายลูบหัวทีเดียวก็ทำท่าระริกระรี้ เห่าแข่งกันเอาหน้า หวังจะได้เป็นตัวที่โดนชมบ้าง
แต่หลังจากที่ฉันตื่นมาในร่างนี้น่ะเหรอ
ข่าวลือในบ้านก็เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ว่าวราลีคนเก่าที่เคยเงียบเชียบ ขี้กลัว และทำได้แค่ก้มหน้ารับคำด่า กลับกลายเป็นคนที่ ‘ไม่เหมือนเดิม’ อีกต่อไป
แต่บางคนก็ยังไม่เลิกดูแคลน
มีสาวใช้อยู่สองคน พวกเธอชอบเกาะกลุ่มเดินตามหลังพลอยไพลินเหมือนลูกไล่ประจบเจ้านาย พอได้รับคำชมหน่อยก็ยิ้มแป้นเหมือนจะบินได้ พอเจ้านายคิ้วขมวดหน่อยก็รีบพนมมือแทบจะกราบลงไปบนพื้น พวกเธอไม่เคยมีความเห็นเป็นของตัวเอง
ครั้งหนึ่งที่พวกเธอพยายามจะแกล้งฉันด้วยการสาดน้ำซักล้างจากกะละมัง หนึ่งในนั้นถือกะละมังทำท่าสะดุดและหวังจะสาดน้ำมาที่ฉัน...แบบจงใจให้เป็นอุบัติเหตุ
แต่น่าเสียดาย...วราลีคนใหม่ไม่โง่ขนาดจะยืนรอให้โดน
ก่อนที่น้ำจะกระทบตัวฉัน ฉันคว้าข้อมือของสาวใช้อีกคนแล้วหมุนตัวหลบ ให้ตัวเธอพุ่งเข้ารับน้ำเต็ม ๆ แทน
ซ่า!
เสียงน้ำกระแทกตัวดังสนั่น พร้อมเสียงกรีดร้องของสาวใช้ที่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฉันยิ้มเย็น พลางปัดหยดน้ำบนแขนที่กระเด็นมาเล็กน้อย
หรืออีกครั้ง...ในตอนพวกเธอกำลังทำปากเบี้ยวใส่ฉันเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อนินทา แต่พอฉันปรายตามองกลับไปนิดเดียว สายตาเฉียบคมที่ได้มาจากชีวิตสายลับทำให้เธอสะดุ้งเบา ๆ แล้วเงียบเสียงไปเอง
“มีอะไรก็มาพูดต่อหน้า…ฉันไม่ชอบคนเก่งแต่นินทาลับหลัง” ฉันพูดเสียงเรียบ โดยไม่ได้แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ
พวกเธอหุบปากสนิทอย่างรวดเร็ว
จากที่เคยคิดว่าฉันคนใช้หัวอ่อน พอเห็นฉันเอาจริงขึ้นมานิดหน่อย ก็หางตกแทบไม่ทัน
หลังจากวันนั้น คนในบ้านก็ยิ่งซุบซิบกันว่าฉันอาจจะโดนผีสิงหรือเปล่า เพราะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งหรือหาเรื่อง ฉันได้แต่หัวเราะกับข่าวลือ
ก็ฉันนี่แหละ...ผีตัวนั้น
“อีกรอบเดียว!" ฉันตะโกนตอบอร พยายามกดเสียงหอบเอาไว้ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้ดูหมดแรงต่อหน้าคนอื่น
อรส่ายหัว แต่ก็รออยู่ตรงนั้นจนฉันวิ่งครบตามที่ตั้งใจ พอฉันเดินมาหยุดที่หน้าเธอ อรก็ยื่นขวดน้ำให้ ฉันรับมาดื่มพลางยิ้มบาง ๆ ให้
“เธอเปลี่ยนไปจริง ๆ นะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ดูเป็นคนละคนเลย"
ฉันกะพริบตาสองสามที ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ "สงสัยจะผีเข้าน่ะ"
"ตลกละ!" อรทำหน้าเอือม "แต่ฉันว่าฉันชอบเธอตอนนี้นะ...ดูสดใสแล้วก็เข้มแข็งขึ้นเยอะเลย"
“เมื่อก่อนฉันดูอมทุกข์มากเลยเหรอ”
“อืม…วันๆ เห็นเธอตั้งใจทำแต่งาน ก็ไม่วายถูกคุณหนูแล้วก็พวกนั้นชอบมาหาเรื่องเธออยู่เรื่อย น้าแพรวก็ช่วยอะไรไม่ได้ ฉันเองก็อยากช่วย…แต่ฉันก็…” เธอเงียบไป
“ไม่เป็นไรนะ ฉันเข้าใจ เธอเองก็คงลำบากใจ ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ สบายมาก” ฉันบีบไหล่เธอเพื่อย้ำว่าอรไม่ได้ทำผิดเลย แค่เธอกล้าคุยกับฉันในขณะที่คนอื่นไม่กล้า นั่นก็นับว่าเธอกล้าหาญมากแล้ว
ทุกเช้า ฉันมักแอบไปที่โรงรถเก่าหลังวิ่งเสร็จ มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครใช้แล้ว และฉันก็ถือโอกาสยึดมุมหนึ่งไว้เป็นที่ซ้อม กระสอบทรายเก่าๆ ถูกแขวนไว้พร้อมอุปกรณ์ที่ประยุกต์จากของในบ้าน ฉันต้องรักษาทักษะการต่อสู้เอาไว้ แม้ว่าร่างกายจะไม่แข็งแกร่งเท่าเมื่อก่อน แต่ความว่องไวและการทรงตัวยังเป็นสิ่งที่ฉันพอจะใช้ได้
"วันนี้ลองอะไรใหม่ๆ ดีกว่า" ฉันพึมพำกับตัวเอง ขณะพันผ้าที่มือ ก่อนจะเริ่มออกหมัดใส่กระสอบทราย การชกของฉันแม่นยำและรวดเร็ว สลับกับการเตะและหลบหลีก ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงประตูลั่นเบา ๆ ฉันหยุดชะงัก หันไปเห็นอรยืนตาโตอยู่หน้าประตู
"ว้าว..." อรอุทาน "เธอเก่งจัง! เรียนมาจากไหนเหรอ?"
"ก็... หัดเอง" ฉันตอบพลางคลี่ผ้าพันมือออก "อย่าบอกใครนะ"
"ไม่บอกหรอก" อรยิ้ม "แต่สอนฉันบ้างได้ไหม? ฉันอยากป้องกันตัวเองเหมือนกัน"
ฉันมองเธออย่างประเมิน อรตัวเล็ก ท่าทางขี้กลัว แต่แววตามีความมุ่งมั่น
"ได้ แต่ต้องตั้งใจนะ" ฉันพยักหน้า "เริ่มจากการทรงตัวก่อน"
หลังจากฝึกเสร็จ เราแยกย้ายกัน ฉันคิดว่าจะเข้าไปที่โรงสีเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมหน่อย แต่เพียงแค่ก้าวขาเข้าบ้าน เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้นจากระเบียงชั้นบน
“ไปหาฉันที่ห้องรับแขกชั้นบน ตามแม่แกมาด้วย” คุณพิชิตสั่ง ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปทันที ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะไปตามแม่และขึ้นไปที่ชั้นสอง
ภายในห้องมีเพียงพิชิตนั่งอยู่ที่โซฟา ไม่นาน คุณนายทับทิมและพลอยไพลินก็ตามเข้ามา เมื่อเห็นฉันกับแม่ สีหน้าของพลอยไพลินก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
"ฉันมีเรื่องจะบอกกับทุกคน เกี่ยวกับสถานะของบริษัทและบ้านเรา"
น้ำเสียงของคุณพิชิตหนักอึ้ง ท่ามกลางความเงียบในห้องรับแขก
"แล้วทำไมต้องเรียกอีสองแม่ลูกนี้เข้ามาด้วยคะพ่อ" พลอยไพลินปรายตามองฉันกับแม่อย่างรังเกียจ น้ำเสียงแฝงแววรังเกียจไม่ปิดบัง
คุณพิชิตไม่สนใจคำถามนั้น เขาถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ
"สถานการณ์โรงสีของเรานั้นไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก แม้จะพ้นวิกฤตมาได้แต่ก็ยังต้องการเงินทุนสำรอง และเราไม่มีเงินทุนสำรองนั้น"
"แล้วเราจะทำยังไงดีคะ" คุณนายทับทิมถาม มือบางกำผ้าเช็ดหน้าลายดอกแน่น สีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"วันนี้ฉันไปหาคุณหญิงสมศรี ทรัพย์ไพศาลอนันต์มา" คุณพิชิตหยุดชั่วครู่ ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรพูดต่อดีหรือเปล่า
"ทรัพย์ไพศาลอนันต์...ตระกูลของเพื่อนคุณปู่น่ะหรือคะ เขาช่วยเราไหมคะ?" ท่าทางของพลอยไพลินดูร้อนใจไม่ต่างจากมารดาของเธอ
"อืม โชคดีที่คุณปู่ของลูกเคยช่วยเหลือคุณเฉลิม สามีคุณหญิงสมศรีให้พ้นจากวิกฤตการเงินในอดีต คุณหญิงสมศรียินดีช่วยเรื่องเงินทุนโรงสีของเรา แต่..."
คำว่า 'แต่' ทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
"แต่...แต่อะไรคะคุณ?" คุณทับทิมถามเสียงสั่น
"แต่คุณหญิงมีเงื่อนไข ทางเราเองก็ต้องทำตามสัญญาที่คุณพ่อเคยให้ไว้ในอดีตเช่นกัน นั่นคือ...ลูกสาวของพาณิชย์วงศ์ต้องแต่งงานกับคนจากตระกูลทรัพย์ไพศาลอนันต์ หมายความว่า พลอยไพลิน...”
“ลูกต้องแต่งงานกับหลานชายคนเล็กของคุณหญิง...ภูริ"
ฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะมาเจอพล็อตโบราณอย่างการแต่งงานตามสัญญาของผู้ใหญ่ในยุคนี้
"อะไรนะคะ!! แต่งงาน!?” พลอยไพลินร้องลั่น “นี่มันสมัยไหนแล้วคะพ่อ ยังมีการแต่งงานการเมืองอีกเหรอคะ หนูไม่แต่งนะคะ หนูจำได้ว่าเคยเจอพี่ภูตอนเด็กๆ อ้วนก็อ้วน! ขี้แย ขี้ขลาด แล้วก็ไม่เคยออกสื่อเลยจนทุกวันนี้ ไม่รู้น่าเกลียดกว่าเดิมหรือเปล่าถึงไม่มีรูปออกมาเลย คุณแม่คะ หนูไม่แต่งงานนะ กรี๊ดดด!" เสียงกรีดร้องของน้องสาวทำเอาหูฉันแทบอื้อ คุณทับทิมต้องเข้าไปกอดปลอบ
"เงียบนะพลอย!" พิชิตตวาดเสียงดัง "หัดดูซะบ้างว่าตอนนี้บ้านวิกฤติแค่ไหนแล้ว งานการก็ไม่ทำได้แต่ถลุงเงินไปวันๆ แค่แต่งงานช่วยครอบครัวแกต้องทำได้!"
"ไม่ค่ะ! รวยแค่ไหนแต่น่าเกลียดหนูก็ไม่แต่ง หนูไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก!" พลอยไพลินว่าพลางปาดน้ำตา หน้าตาบูดเบี้ยว ไม่เหลือเค้าความเป็นลูกผู้ดี
"นั่นสิคะ มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอคะคุณ เป็นหนี้บุญคุณเราแต่กลับตั้งเงื่อนไขนู่นนี่ ลูกเราก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก โพรไฟล์ก็ไม่ขี้เหร่ ควรจะได้สามีที่คู่ควรกว่านี้นะคะ!" คุณทับทิมเสริมขึ้น พลางลูบหลังลูกสาวปลอบประโลม
"…นี่ถือว่าท่านใจดีมากแล้วนะที่แค่ยื่นเงื่อนไขแค่การแต่งงาน ก่อนหน้าฉันไปขอหยิบยืมเงินท่านตั้งหลายครั้งท่านยังไม่คิดทวงคืน" พิชิตพูดเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ
ฉันหันไปมองหน้าคุณทับทิมและพลอยไพลินที่ตกใจกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ และไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก จากที่ดูมา คุณพิชิตบริหารไม่เก่งแถมยังไม่คิดจ้างคนที่ทำได้มาบริหาร หากก่อนหน้านี้ไม่มีวราลีสักคน โรงสีคงล้มละลายไปนานแล้ว
"ยังไงลูกก็ต้องแต่งงานกับภูริ แต่ง ๆ ไปก่อน สักสามสี่ปีหย่าก็ไม่สาย" พิชิตย้ำเสียงเข้ม
"ตอนนั้นลูกก็กลายเป็นแม่ม่ายไม่มีใครเอาน่ะสิคะ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเหรอคะคุณ?”
"คุณพ่อมีลูกอีกคนนึงนี่คะ" พลอยไพลินปาดน้ำตาก่อนจะปรายตามาทางฉันที่ยืนอยู่มุมห้อง
"อะไรนะ?" พิชิตงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
"ก็ให้นังวราลีไปแต่งงานแทน แค่เป็นลูกสาวของพานิชวงศ์ก็พอแล้วนี่คะ"
…อ่า เข้าใจคิดแฮะ
"แกจะบ้าเหรอ! มันไม่มีตัวตนในบ้านด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นลูกฉัน!" หากเป็นวราลีคนเก่าได้ยินประโยคนี้ คงราวกับมีดพันเล่มแทงทั่วร่าง แต่ในตอนนี้ ฉันแค่รับฟังอย่างรู้สึกสมเพชเท่านั้น ในหัวเริ่มคิดถึงประโยชน์ถ้าหากฉันเป็นคนที่ต้องแต่งงานในครั้งนี้
"ยิ่งดีเลยสิคะ ให้มันสวมรอยเป็นหนูไป ทำให้แนบเนียนหน่อยก็ไม่มีใครจับได้หรอกค่ะ"
"แต่คุณหนูคะ ดิฉันว่าไม่..." แม่เอ่ยขึ้นมาหวังจะค้านแต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงของคุณทับทิม
"แกเงียบไปเลยนะนังแพรว!" ทับทิมตวาดเสียงเข้ม "นี่เป็นเรื่องของคนในครอบครัวเรา"
‘เรื่องของครอบครัวเรา’ แต่ดันมีชื่อฉันเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วนี่สิ...
ฉันกุมมือแม่แน่น ส่ายหัวเบา ๆ พยายามสื่อว่า ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้
"พ่อว่า..." คุณพิชิตเอ่ยขึ้นช้า ๆ "มันคงไม่เหมาะ"
"ทำไมจะไม่เหมาะคะ!" พลอยไพลินแทรกขึ้น น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม "มันก็เป็นลูกพ่อเหมือนกัน ทำตัวเหมือนกาฝากในบ้านมาเป็นยี่สิบปี ตอบแทนแค่นี้มันยังน้อยไปค่ะ!”
ฉันถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรหรอก แค่รู้สึกเบื่อกับความคิดของคนพวกนี้เท่านั้น
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งประมุขของบ้านพาณิชย์วงศ์ถอนหายใจและเอ่ยขึ้นมา
“ทุกคนออกไป ส่วนแก...วราลี แกอยู่ก่อน”
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ฉันยังคงยืนนิ่ง รอให้บิดาเอ่ยสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
“แกทำได้ไหม?”
“ดิฉันเลือกได้ด้วยเหรอคะ?” ฉันไม่ได้ประชด แต่หมายความตามนั้นจริงๆ
“เฮ้อ...แกเป็นคนเสนอให้หาเงินทุนเองนะ ฉันก็หามาแล้วนี่ไง”
…ก็ใช่ ฉันเคยเสนอให้หาเงินทุนเพิ่ม แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะขายลูกสาวแลกกับเงินแบบนี้
“ค่ะ ดิฉันจะแต่งงานกับคุณภูริ...” ฉันเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะจ้องตาคุณพิชิต
"แต่ดิฉันมีเงื่อนไข"
เฮือก...เสร็จแน่เรา!ฉันรีบหันไปมองเขาแล้วแสร้งหัวเราะเบา ๆ“คุยกับคุณพ่อเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงของฉันดูปกติอย่างมืออาชีพ“คือ…ฉันแค่เดินดูบ้านไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ แล้วบังเอิญเห็นห้องนี้เปิดแง้มอยู่เลยลองเข้าไปดูนิดหน่อย...แต่ดันทำต่างหูหล่น เลยก้มหาอยู่น่ะค่ะ”“ต่างหู?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“ค่ะ! นี่ไง เจอแล้ว”ฉันรีบหยิบต่างหูขึ้นมาจากพื้นอย่างแนบเนียน…ของที่เตรียมไว้เผื่อสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้วเขาเลิกคิ้วนิด ๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวลมหายใจของฉันสะดุด จังหวะหัวใจเริ่มรัวเหมือนกลองสัญญาณเตือนภัยฉันถอยหนึ่งก้าว แต่หลังดันชนเข้ากับโต๊ะทำงาน ร่างเอนเล็กน้อยจนสุดท้ายก็ต้องนั่งลงบนนั้นอย่างเสียไม่ได้“ถ้าไม่เชื่อ...จะค้นตัวดูก็ได้นะคะ” ฉันเงยหน้ามองเขา ดวงตาสบกันตรง ๆ แบบไม่ยอมแพ้เขายิ้มมุมปาก เจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเป็นมือข้างหนึ่งยกขึ้น…ฉันนึกว่าจะลูบผม แต่กลับเลื่อนลงแตะต้นคอเบา ๆสัมผัสอุ่นจากมือแทรกผ่
ชนกันต์ยื่นกล่องเล็ก ๆ สีดำด้านให้ฉันขนาดเท่ากล่องแหวนแต่งงาน แต่เบากว่ามาก“นี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด ขนาดเล็ก เสียงคมชัด ติดตั้งแล้วแทบมองไม่เห็น”เขาว่าเสียงเบา ขณะยื่นมาให้ฉันรับมันมา เปิดดูในมือข้างในมีอุปกรณ์ดักฟังขนาดเล็กเพียงปลายนิ้ว กับแผ่นรองแม่เหล็กจิ๋วสำหรับแนบติดฉันปิดกล่อง แล้วเก็บลงกระเป๋า ก่อนจะมองเขานิ่ง ๆ แล้วเอ่ยเสียงชัด“ชนกันต์…ห้ามบอกใครเรื่องตัวตนจริง ๆ ของฉัน…แม้แต่คนในทีมนาย”เขาพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดนาน“รู้ครับพี่…เรื่องแบบนี้เชื่อง่ายมากมั้ง”ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันคืนนั้น ฉันนั่งมองกล่องอุปกรณ์ที่วางอยู่บนเตียง ในใจมีเพียงความคิดเดียว…“จะติดอุปกรณ์นี้ยังไง?”จากที่เห็น ภารัช...ดูเป็นคนระวังตัวสูง ไหนจะลินา ภรรยาของเขาที่โคตรจะไม่ชอบหน้าฉันอีก การเข้าไปใกล้เขาโดยไม่มีข้ออ้าง จะดูผิดปกติเกินไปฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ตามองเพดาน ในหัวครุ่นคิด...แล้วหยุด
สองวันถัดมา ภูริพาฉันออกไปทานข้าว และพูดถึงสิ่งที่เขาสืบเจอคนที่ดักทำร้ายฉันวันนั้น...ตายหมดแล้วถูก ‘เก็บ’ อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรอด ไม่มีพยาน ไม่มีคำสารภาพ เหลือแค่ศพในโกดังร้างภูริบอกว่า...สภาพศพบางรายดูเหมือนถูกทรมานก่อนสิ้นใจ วิธีลงมือก็ไม่ใช่ของมือสมัครเล่นมันชัดเจนเกินไป ว่าคนที่ ‘เก็บ’ กลุ่มนั้น...มีฝีมือ และมีเหตุผลบางอย่างฉันไม่ได้พูดอะไรขณะนั่งฟังเขาเล่าเรื่องนั้นฉันยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง หรือจะสื่ออะไรแต่ที่แน่ ๆ ...ฉันรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่คาดไว้มากถึงอย่างนั้น…ฉันก็ไม่มีเวลาพอจะมานั่งกลัว หรือวิเคราะห์ให้ครบทุกเสี้ยวยังมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้าคืนนี้...ฉันมีนัดกับชนกันต์ที่โรงยิม มีบางอย่างที่ต้องถาม และบางอย่างที่ฉันสงสัย เสียงรองเท้ากระทบพื้นยางดังเบา ๆ ในโรงยิมที่เงียบวังเวง มีเพียงแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวจาง ๆ จากเพดานที่ยังติดอยู่บางดวง กับกลิ่นเหงื่อและฝุ่นจาง ๆ จากอุปกรณ์ฝึกที่วางเรียงอยู่ตามมุมห้องสถานที่ที่ชวนให้คิดถึง สมัยที่อลิสามักมาฝึกซ้อมกับสมาชิกในทีมบ่อย ๆฉันยืนรออยู่กลางลานว่างของโรงยิม ใส่เสื้อฮู้ดสีเทาคลุมหัว
เสียงกระดาษพลิกยังไม่ทันจาง ฉันก็เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูห้องทั้งห้องจมลงสู่ความมืดทันทีชนกันต์ก้าวเข้ามาอย่างเร็วฟึ่บ!หมัดแรกพุ่งมาทางที่เขาคาดว่าฉันอยู่ เขาเร็ว ใช้เสียงในการระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำแต่ฉันไวกว่า ฉันเบี่ยงตัวหลบ และใช้สันมือผลักหลังเขาเบา ๆ ให้เสียจังหวะ“ใจร้อนจังเลยนะ…”ฉันพูดเสียงแผ่ว กระซิบจากด้านหลังของเขาโดยไม่ระบุตัวเขาหันขวับ พุ่งตามเสียงอย่างแม่นแต่มือฉันปัดออกอย่างนิ่มนวล พร้อมถอยออกไปอย่างไม่มีเสียงเท้า“คุณเป็นใคร?” เขาเคลื่อนตัวช้า ๆ รอบห้อง พยายามระบุตำแหน่งจากเสียงฉันไม่ตอบแค่ถอยอีกก้าว ให้เขาวิ่งพลาดเป้าไปอีกครั้งเราแลกหมัดกันกลางความมืด...โดยที่ไม่มีใครเห็นหน้าใครเขาเน้นโจมตีฉันเน้นหลบ ควบคุม และกดจังหวะเขาเคลื่อนไหวรวดเร็ว ว่องไว สมกับเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมแต่ฉันรู้จังหวะเขาดีเกินไปเพราะฉันเคยฝึกเขาเองกับมือในที่สุด เขาหยุดเคลื่อนไหว หอบห
ประมาณหกโมงเย็น รถของเขาก็มาจอดเทียบหน้าตึก ฉันเดินลงไปพบเขาในชุดลำลองดูสบาย ๆ ภูริยืนพิงรถอยู่พร้อมรอยยิ้มมุมปากอารมณ์ดีไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าหลัง ๆ มานี่เขาจะยิ้มเยอะขึ้นนะ“พร้อมหรือยังครับ”“พร้อมแล้วค่ะ”“อืม…”จู่ ๆ คนตัวสูงตรงหน้าก็ยกมือขึ้นปลายนิ้วของเขาแตะลงที่ปอยผมข้างแก้มของฉันเบา ๆ“ผมยาวขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า?” เขาถามเสียงนุ่มขณะสายตายังจับจ้องอยู่ที่เส้นผมฉันฉันแทบหยุดหายใจไปชั่ววินาทีนั้น ตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสะกด“เอ่อ...มั้งคะ” ฉันตอบกลับแบบติดขัด รู้สึกถึงอุณหภูมิบนหน้าเริ่มพุ่งสูงภูริหัวเราะเบา ๆ พลางเลื่อนมือกลับ“ขึ้นรถเถอะ” เขาว่าก่อนจะเปิดประตูให้ฉันพยักหน้ารัว ๆ อย่างคนไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว...ให้ตายสิ นี่แค่จับปอยผมเองนะ ทำไมถึงใจสั่นขนาดนี้ก็ไม่รู้...เรามุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง ที่มีร้านของขวัญหรูแบบคัดสรรเฉพาะชิ้นพิเศษ ภายในร้
เสียงดนตรีคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงต้อนรับหลังพิธีเปิดตัวผ่านพ้นไปแล้ว แขกผู้ใหญ่บางส่วนแยกย้ายกลับ เหลือเพียงกลุ่มครอบครัว คนสนิท และพันธมิตรทางธุรกิจที่ยังพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรสฉันยืนอยู่ไม่ไกลจากบาร์ ยิ้มรับกับแขกที่เข้ามาทักทาย แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายโดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับ ‘ชนกันต์’ฉันสูดหายใจเบา ๆ รวบรวมสติให้กลับมา ก่อนจะเดินตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังยืนคุยกับทีมงานของภูริอยู่ใกล้มุมหนึ่งเขาหันมาเห็นฉันพอดี ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้แบบมืออาชีพ“คุณวราลี”“คุณกวินใช่ไหมคะ?” ฉันยิ้มตอบ “เรียกว่าวีก็ได้ค่ะ ทำงานกับคุณภูรินานแล้วเหรอคะ”“ผมเพิ่งย้ายจากแผนกบริหารความเสี่ยงมาเมื่อสามเดือนก่อน ก่อนจะมาทำงานกับคุณภูริครับ”“ทำงานกับคุณภูคงงานหนักแย่เลยนะคะ” ฉันหลอกถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง พลางสังเกตแววตาและน้ำเสียงของเขาอย่างเงียบ ๆชนกันต์ตอบทุกคำถามด้วยท่าทีสุภาพ ตรงประเด็น และไม่เปิดช่องให้ฉันจับพิรุธได้เลย&