เย็นวันนั้น เหวิ่นลี่หยาตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตรงไปยังตำหนักขององค์ชาย หลี่หยวนเจ๋อ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในใจนางหวังเพียงว่า การแสดงออกถึงความใส่ใจและความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม จะทำให้พระองค์เห็นว่านางเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคู่หมั้นอย่างที่องค์ชายเคยหลุดปากอยากเปลี่ยนคู่หมั้นออกมาตอนคุยกัน และเหมาะสมเพียงใดสำหรับตำแหน่งพระชายา
เมื่อไปถึงเพียงแต่นางก้าวถึงหน้าประตูตำหนัก เสียงสนทนาภายในขององค์ชายกับท่านกงกงผู้รับใช้ใกล้ชิด ก็สะกิดให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสะท้าน นางหยุดยืนฟังอย่างเงียบเชียบที่หน้าประตูโดยไม่ให้ใครรู้ตัว “องค์ชาย ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูเหวิ่นจือหยูที่ได้รับฟังมา” เสียงของ กงกง ผู้รับใช้ใกล้ชิดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก” หลี่หยวนเจ๋อตอบเสียงเบาที่ฟังดูครุ่นคิด “นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากอุบัติเหตุ ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด แต่ข้ารู้สึกว่าเหวิ่นจือหยูในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างสิ้นเชิง นางสงบและอ่อนโยนขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้นาง” คำว่า “สบายใจ” คำนี้ทำให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสั่นไหว มันตอกย้ำความเจ็บปวดในหัวใจของเหวิ่นลี่หยา นางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ความอิจฉาที่มีต่อเหวิ่นจือหยูมากขึ้นพุ่งทะลักในอก และความน้อยใจองค์ชายชื่นชมเหวิ่นจือหยู “แต่กระนั้น ข้าก็ยังต้องการเวลาเพื่อให้แน่ใจว่านางเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่เพื่อการเสแสร้ง” องค์ชายพูดต่อ “ข้าไม่อาจลืมสิ่งที่นางเคยทำในอดีตได้ง่ายๆ ข้าต้องคอยดูไปก่อนว่าจะเป็นเช่นไร” คำพูดนั้นขององค์ชายช่างเป็นเหมือนดาบสองคม มันทั้งบรรเทาและย้ำความหวังของเหวิ่นลี่หยาในคราวเดียวกัน แม้พระองค์จะยังไม่วางใจในตัวของเหวิ่นจือหยูทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระองค์เริ่มรู้สึกดีกับการเปลี่ยนแปลงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนี้ หากเหวิ่นจือหยูกลับมาเป็นที่รักของทุกคน ข้าจะไม่มีวันได้ตำแหน่งพระชายาที่ข้าต้องการเป็นแน่” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจ นางมองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของเหวิ่นจือหยูเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความฝันที่นางเฝ้าถนอมมาตลอด หากปล่อยให้เหวิ่นจือหยูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นางจะสูญเสียทุกสิ่งที่นางทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาแน่ นางไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น นางจะไม่ยอมสูญเสียองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อไปอย่างแน่นอน นางจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด คืนนั้นเหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ในห้องของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด นางจ้องมองกระจกตรงหน้า มองเห็นเงาสะท้อนของหญิงสาวที่ภายนอกดูสง่างามและสมบูรณ์แบบ แต่ภายในกลับเดือดดาลและอิจฉา “ข้าจะไม่ยอมให้เหวิ่นจือหยูมาช่วงชิงสิ่งที่ควรเป็นของข้าไป” นางพึมพำกับตัวเอง เสียงนั้นทั้งเย็นเยียบและแน่วแน่ “ข้าต้องหาทางกำจัดเหวิ่นจือหยูให้สิ้นชื่อให้ได้” วันต่อมาเหวิ่นลี่หยาเดินตรงไปยังห้องของเหวิ่นจือหยูด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า นางส่งสายตาและคำพูดหวานๆ ให้คนรับใช้หน้าห้องเหมือนที่เคยทำมาตลอด ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ เมื่อประตูเปิด นางพบเหวิ่นจือหยูหรือ วาดรวี ในร่างของเหวิ่นจือหยู กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายใน วาดรวีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ “พี่จือหยู ข้ามาเยี่ยมท่าน” เหวิ่นลี่หยาตอบเสียงอ่อนหวาน ขณะเดินเข้ามานั่งข้างพี่สาว วาดรวีรู้สึกได้ถึงความเสแสร้ง ไม่จริงใจ แม้เหวิ่นลี่หยาจะยิ้ม แต่สายตาของนางมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน มันช่างไม่เหมือนกับถ้อยคำหวานนั้นเลย ภายใต้รอยยิ้มวาดรวีรู้สึกถึงความอิจฉาริษยาและบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนอยู่ “ลี่หยา เจ้ามาหาข้า มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่าลี่หยา” วาดรวีถามกลับ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางวางหนังสือลง นางไม่แน่ใจว่าควรจะรับมือกับเหวิ่นลี่หยาอย่างไร น้องสาวของนางนั้นเป็นคนที่ใครๆ ก็รักและชื่นชม เพราะในสายตาของคนอื่นเหวิ่นลี่หยาเป็นกุลสตรีสมบูรณ์แบบ ทั้งนิสัยอ่อนหวานและกริยามารยาทที่ไร้ที่ติ แต่วาดรวีรู้ดีว่าภายใต้ท่าทางนั้น มีความทะเยอทะยาน อิจฉาริษยาซ่อนอยู่ เหวิ่นลี่หยามองพี่สาวอย่างนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างพี่สาว ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะชื่นชม “พี่จือหยู ตั้งแต่หลังอุบัติเหตุ ข้ารู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไปมาก ทุกคนต่างพูดถึงท่านในทางที่ดีขึ้น ท่านกลายเป็นคนสงบและอ่อนโยนขึ้นจริงๆ” วาดรวียิ้มบางๆ “ข้าเองก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ข้าอยากทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้มีความสุข ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ใจอีก” คำพูดนี้ทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกเหมือนโดนแทงเข้ากลางใจ เพราะมันหมายความว่าพี่สาวกำลังจะกลายเป็นคนที่ชนะใจคนรอบข้าง รวมถึงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อด้วยนางกำมือแน่น พลางพยายามควบคุมสีหน้าตัวเองนางรู้ดีว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป “แต่ พี่จือหยู” เหวิ่นลี่หยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูดกับท่าน แต่ข้าไม่แน่ใจว่าควรจะบอกดีหรือไม่” “เจ้าพูดมาเถอะ น้องข้า” วาดรวีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกลับไป พูดมาซะขนาดนี้ ก็บอกออกมาเถอะ ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ แม่คุณ วาดรวีนึกในใจ เหวิ่นลี่หยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำท่าทางเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะบอกดีหรือไม่ “เอ่อ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ ท่านพี่คิดว่าพระองค์รู้สึกอย่างไรต่อพี่จือหยู” นางถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวังดี เหวิ่นจือหยูเงียบไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกถึงความอึดอัดใจเล็กน้อย “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ข้ากำลังพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น” เหวิ่นลี่หยายิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ข้าคิดว่าท่านพี่ควรจะเผื่อใจไว้ พระองค์อาจจะไม่ได้รู้สึกดีกับท่านเหมือนที่ท่านคิด ข้าเพิ่งได้ยินมาว่า พระองค์อาจจะกำลังพิจารณาเรื่องยกเลิกการหมั้น” คำพูดนั้นทำให้หัวใจของวาดรวีสะท้าน นางพยายามเก็บอาการแต่ไม่อาจห้ามได้เสียทีเดียว ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่คำพูดนี้ก็สะกิดใจวาดรวีขึ้นมาได้ เเม้รู้ดีว่าอดีตเหว่นจือหยูทำตัวไม่ดีนักในอดีต เเละยังได้ยินว่าเขาอยากจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นเป็นเหวิ่นลี่หยาผู้เป็นน้องสาวอยู่ก็อดที่จะปวดใจไม่ได้ “เจ้าได้ยินมาจากไหนกัน” เหวิ่นลี่หยาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของพี่สาว นางจึงพูดต่อไปด้วยเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่ “ข้าไม่อยากให้พี่จือหยูเสียใจ ข้าคิดว่าท่านควรเตรียมใจไว้บ้าง หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น” วาดรวีนิ่งเงียบ รู้ดีว่าคำพูดของลี่หยานั้นไม่ได้มาจากความหวังดีจริงๆ แต่เป็นการแสร้งทำเพื่อหวังสร้างความหวั่นไหวให้แก่ตน “ข้ากลัวว่าหากท่านไม่รีบทำอะไร พระองค์อาจตัดสินใจในทางที่เราไม่อยากให้เป็น แล้วทีนี้ตระกูลเหวิ่นของเราจะเสียชื่อเสียงเอาได้ โดยเฉพาะท่านพ่อและฮูหยิน” เหวิ่นลี่หยารู้ว่าการจุดชนวนอารมณ์ในตัวพี่สาวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำลายความเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะทำให้เหวิ่นจือหยูได้รับความสนใจจากองค์ชายและคนรอบข้างมากขึ้น นางยิ้มเบาๆ ขณะที่สายตาของนางเริ่มเปล่งประกายเล็กน้อยด้วยความเจ้าเล่ห์ “พี่จือหยู ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกกับท่าน” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้” วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา”“เกิดอะไรขึ้น” ทั้งสองหันไปมองทันที เมื่อเห็นร่างของผู้มาเยือนฮ่องเต้ยืนอยู่ที่หน้าห้อง สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความกังวล ดวงเนตรคมกริบกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดที่หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูเหวิ่นจือหยูรีบถอยออกจากอ้อมกอดของหลี่หยวนเจ๋อด้วยความอาย แต่องค์รัชทายาทยังคงจับมือของนางไว้แน่นราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายนางอีก“เสด็จพ่อ” หลี่หยวนเจ๋อเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับ “ชายชุดดำผู้นี้บุกเข้ามาในตำหนักของพระชายา หม่อมฉันสงสัยว่าเขามีเจตนาไม่ดี จึงให้องครักษ์จับตัวไว้เพื่อสอบสวน”ฮองเฮาเข้ามาใกล้เหวิ่นจือหยูพร้อมกับปลอบโยนนาง “เจ้าสบายดีหรือไม่หยูเอ๋อร์ ข้าเห็นเมื่อครู่นี้ชายคนนั้นมีดาบด้วย”เหวิ่นจือหยูพยักหน้าพร้อมกัยยิ้มอ่อนหวานให้ “หม่อมฉันสบายดี ขอบพระทัยเพคะ”ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปใกล้ชายชุดดำที่ถูกควบคุมตัวโดยองครักษ์ ใบหน้าของพระองค์เคร่งขรึม แววตาแสดงถึงความกังวลแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย“เจ้าเป็นใคร และมาที่นี่เพื่ออะไร” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจชายชุดดำไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้ามองพื้น ฮ่องเต้หันไปมององครักษ์ประจำพระองค์ “จับเขาไปที่คุกหลวงทันที สอบสวนให้ได้ว่าใครส่ง
ค่ำคืนอันเงียบสงัดปกคลุมตำหนักพระชายาด้วยความมืดมิด ลมยามดึกพัดผ่านม่านบางเบาให้พลิ้วไหว เงาไม้จากภายนอกทอดตัวบนผนัง สร้างภาพลางเลือนที่เหมือนจะขยับได้เองบนเตียงกว้าง เหวิ่นจือหยูนอนนิ่งพลางจ้องมองเพดาน ดวงตาหม่นเศร้าคิดถึงชีวิตในฐานะพระชายา นางพยายามปรับตัว พยายามทำความเข้าใจกับชะตากรรมของตนเอง แต่ค่ำคืนนี้กลับเงียบผิดปกติ เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองชัดเจนทันใดนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก มันเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ในความเงียบเช่นนี้กลับดังราวกับเสียงกลองที่เต้นรัวอยู่ในอกของนางแกรก…เสียงบานประตูถูกเลื่อนเปิดออกช้าๆ อย่างแผ่วเบา แต่ความเงียบทำให้เสียงนั้นกลับดังก้องขึ้นกว่าเดิม นางเบิกตากว้าง นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัว พลางจ้องมองไปยังประตูด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเงาดำเคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ร่างสูงในชุดดำสนิทคลุมกายแนบชิด ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้เหลือเพียงดวงตาเย็นเยียบที่จ้องมองนางเหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงลางสังหรณ์ร้าย หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก“ใครน่ะ” เสียงของนางสั่นเครือ นางรีบลุกขึ้นนั่ง ดวงตาจับจ้องร่างนั้นด้วยความตื่นตระหนก
“องค์รัชทายาท”เสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู “องค์รัชทายาทเพคะ”หลี่หยวนเจ๋อลืมตาขึ้นจากความคิดอันสับสน เขารู้ดีว่าใครบางคนอยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัว ประตูไม้หนักก็ถูกผลักเข้ามาโดยแรง เหวิ่นลี่หยาก้าวพรวดเข้ามาในห้อง สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนปิดไม่มิด นางเบิกตากว้างทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าหลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูอยู่ด้วยกันในท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสนิทสนมองครักษ์ที่ตามมาจับตัวนางไว้แล้วนำออกไปรอข้างนอกห้อง รอไม่นานองค์รัชทายาทและพระชายาก็เดินออกมาข้างนอกห้องบรรทม“เจ้ามีธุระอันใด เหวิ่นลี่หยา”“องค์รัชทายาท” เสียงของเหวิ่นลี่หยาดังสูงอย่างไม่อาจปิดบังความตกใจ “เหตุใดพระชายาจึงมาอยู่ที่นี่เพคะ”หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกกระอักกระอ่วน ที่โดนถามอย่างไม่ทันตั้งตัว “นางเพียงแค่…” คำพูดสะดุดไปเมื่อเขานึกไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไรเหวิ่นลี่หยาก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาสั่นไหวด้วยความเดือดดาล “หรือว่านางกำลังยั่วยวนท่านจริง ๆ” เสียงของนางดังไม่พอใจ“ข้าไม่ได้” เหวิ่นจือหยูเปิดปากอธิบาย แต่เสียงเย้ยหยันของเหวิ่นลี่หยากลับแทรกขึ้น“พี่จือหยู ท่านลืมแล้วหรือว
ค่อนคืนจนเกือบรุ่งสาง หลังผ่านค่ำคืนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความเหน็ดเหนื่อย หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูต่างนอนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ความเงียบสงัดภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นอันละมุนละไม ราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อให้พวกเขาได้อยู่ใกล้ชิดกันในช่วงเวลานี้หลี่หยวนเจ๋อมองพระชายาที่หลับใหลอยู่ข้างกาย ความรู้สึกที่เขาพยายามกดเก็บไว้ภายในมาตลอดเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเขา นางช่างงดงามในยามที่แสงจันทร์และแสงอ่อนของโคมไฟในห้องสาดส่องใบหน้า เขาควรจะพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ความสับสนกลับยังวนเวียนอยู่ในใจ ราวกับว่าความสัมพันธ์นี้ยังไม่อาจลงตัวรุ่งสางวันใหม่ แสงแดดแรกของวันลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ความอบอุ่นของแสงทำให้เหวิ่นจือหยูเริ่มขยับตัว นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคำถาม เมื่อเห็นหลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ที่หน้าต่าง ดวงตาของเขาเหม่อลอยออกไปยังสวนหย่อมด้านนอก ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ซับซ้อน“ท่าน” เสียงแผ่วเบาของเหวิ่นจือหยูทำให้หลี่หยวนเจ๋อสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมามองนาง ดวงตาสวยของนางเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ“ท่านไม่พอใจห
ค่ำคืนในพระตำหนักที่เงียบงัน ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณ ขณะที่หลี่หยวนเจ๋อเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเหวิ่นจือหยู เขายืนนิ่งอยู่นาน สับสนในใจว่าจะเคาะประตูหรือกลับไปยังห้องของตัวเองดี ความรู้สึกตีกันระหว่างหน้าที่และหัวใจทำให้เขาลังเล“ทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ตรงนี้” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แม้ในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วหลังคิดหาเหตุผล เขาผลักประตูเข้าไป ภายในห้องเงียบสงบ เหวิ่นจือหยูนอนหันหลังให้เขา ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป เสียงฝีเท้าของเขาทำให้นางหันกลับมา สายตาของทั้งสองประสานกันในความเงียบ“มีอะไรหรือเพคะ” นางถามเสียงเรียบ ดวงตามองเขาด้วยความสงสัยหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้ามาใกล้พลางสูดลมหายใจลึก บอกความตั้งใจในการมาของตน“ข้า ต้องมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของเขาเย็นชา แต่ในใจกลับตื่นเต้นจนยากจะอธิบายเหวิ่นจือหยูเลิกคิ้ว “เหตุใดท่านต้องมาที่นี่”เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง “เจ้าจำไม่ได้หรือ ฮ่องเต้รับสั่งให้เรามีทายาท ข้ามาเพื่อทำตามประสงค์ของพระองค์” หลี่หยวนเจ๋อตอบอย่างช้าๆชัดๆ เพื่อให้นางเข้าใจถึงความคับข้องในใจของเขา แต่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกขัดแย้ง แท้จริงแล้วเขามาหานางเพื่
“ข้าขอโทษ ข้าจะพยายามทำให้ดีขึ้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ข้าจะให้พยายามความรักที่สมควรแก่เจ้า” แต่ฟังดูเหมือนคำสัญญาที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้เหวิ่นจือหยูมองเขา ใบหน้าของนางเรียบนิ่ง แต่แววตานั้นเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด“หม่อมฉันขอพระทัยเพคะ ท่านไม่ต้องฝืนใจตัวเองเพื่อหม่อมฉันหรอก หม่อมฉันไม่ได้ต้องการความรักแบบนี้” น้ำเสียงของนางเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปหลี่หยวนเจ๋อขยับตัวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาอยากจะรั้งนางไว้ แต่ก็ชะงักไว้ ในใจของเขามีบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา ความร้อนรนแปลกๆ เกิดขึ้นในใจเขา ทั้งที่เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่ทว่า เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด เขายังคงสับสนกับความรู้สึกที่เขามีต่อนาง เขาไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอะไรดีกับความรู้สึกนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับใจของตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญกับมันสายลมเย็นพัดผ่าน สร้างความร่มรื่นให้กับสวนหลวง ดอกไม้ผลิบานไหวเอนไปตามแรงลม กลีบสีอ่อนลอยละล่องตามอากาศราวกับสายหิมะโปรยปรายหลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ดอกไม้ตรงหน้า แต่แท้จริงแล้วใจ
ช่วงสายในห้องบรรทมที่เงียบสงบ สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ไอแดดอ่อนๆ ทาบลงบนเตียงกว้างที่ยังมีร่องรอยของค่ำคืนแห่งความสัมพันธ์ หลี่หยวนเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังร่างของเหวิ่นจือหยูที่ยังคงนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาดวงหน้าที่หลับใหลของนางดูสงบนิ่ง ผิวพรรณเนียนละเอียดอาบด้วยแสงแดดยามเช้าทำให้นางดูงดงามราวกับเทพธิดา เส้นผมยาวสีดำกระจายอยู่บนหมอน ไหล่เปลือยเปล่าและเนินอกของนางที่โผล่พ้นผ้าห่มเผยให้เห็นร่องรอยสีกุหลาบที่เกิดจากฝีปากเขา สายตาคมจ้องมองอยู่อย่างเงียบงัน แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความกระอักกระอ่วนพุ่งขึ้นในใจ “เมื่อคืน” เขาพึมพำในใจ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาในหัว ความใกล้ชิด ความเร่าร้อน และความอ่อนหวานที่เขามอบให้นาง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากแรงผลักดันบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก้าวไปไกลถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่เลย มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน หรือว่าชาที่พระมารดาเอาให้ดื่มมาวานนั้นมีปัญหา แต่ในขณะเ
“อยู่นิ่งๆก่อน จือหยู ให้ถ้ำทองของเจ้าปรับขยายตัวให้กับมังกรข้าก่อน อีกประเดี๋ยวเจ้าจะไม่อยากให้ข้าเอามังกรออกเลยล่ะ ตอนนี้เจ้าช่วยอดทนเหมือนที่ข้าอดทนหน่อย โพรงถ้ำของเจ้ามันตอดรัดมังกรของข้าจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ถ้ามันขาดเดี๋ยวเจ้าจะเสียใจที่มันใช้งานไม่ได้นะ อูยยย เจ้าตอดข้าเหลือเกิน เจ้าดีขึ้นหรือยัง ข้าอยากขยับแล้ว อูยยย ตอดถี่ยิบเลย ข้าจะขยับแล้วนะ จือหยูพระชายาของข้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว”“ดีขึ้นอย่างที่ท่านว่าแล้วเพคะ ยังเจ็บอยู่แต่ไม่มากนัก ท่านลองขยับดูเพราะตอนนี้ข้าทั้งจุกทั้งแน่นทั้งอึดอัด ไม่ไหวเหมือนกัน อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ มันดีมาก พอท่านขยับแบบนี้มันดี อ๊ะ ดีมาก ท่านขยับแรงๆ เร็วๆ กว่านี้ได้ไหม ซี๊ดดดด”น้ำในอ่างไม้กระฉอกออกจากอ่างเพราะความเเรงและความเร็วของการกระแทกเอวขององค์รัชทายาทเข้าหากลางกายของเหวิ่นจือหยู “อ๊าาา ซี๊ดดด ดีเหลือเกิน แน่นเกินไปแล้วจือหยู ไหนเจ้าคุกเข่าหันหลังให้ข้าหน่อย ทีนี้เอามือเกาะขอบอ่างไว้แน่นๆนะ ข้าจะเอามังกรของข้าเข้าไปในถ้ำของเจ้าเร็วๆ แล้วนะ อ๊าา”“อายยย องค์ชาย มันจุก ท่านแรงเกินไปแล้ว อ๊ะ แรงอีก หยวนเจ๋อ แรงอีก อ๊ะ จุก ทำไมมังกรท่านใหญ่นักนะ ทั้ง
“องค์รัชทายาท” เหวิ่นจือหยูสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมจากด้านหลัง นางรีบลืมตาและหันไปมองด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำเมื่อพบว่าผู้บุกรุกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพระสวามีผู้ซึ่งก้าวลงมาในอ่างอาบน้ำร่วมกับนางอย่างถือวิสาสะ“องค์รัชทายาท ท่านทำอะไรเพคะ” นางร้องเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองข้างรีบยกขึ้นปิดหน้าอกอย่างตื่นตระหนก ดวงตากลมโตของนางจ้องมองเขาด้วยความตกใจปนความเขินอายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่นาง ด้วยสีหน้าปรารถนาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เขาก้าวเข้ามาใกล้ในน้ำอุ่น ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาดูเด่นชัดท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องประกาย“ขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจทำให้เจ้าตกใจ เจ้ากำลังหลบหน้าข้าอยู่หรือไม่ เหวิ่นจือหยู” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นสั่นไหวเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถต้านทานได้ “หม่อมฉันไม่ได้หลบหน้าเพคะ” นางตอบกลับด้วยเสียงที่เบาและขาดความมั่นใจ “แต่ แต่นี่มันไม่เหมาะสม ท่านเข้ามาทำไม ควรออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ”หลี่หยวนเจ๋อไม่ตอบในทันที เขายังคงมองนางอย่างแน่วแน่ ก่อนจะยื่นมือออกมาสัมผัสไหล่บางของนาง “ข้ารู้สึกร้อน ข้าอยากอาบน้ำเผื่อผ่อนคลายกับเจ้า พระชายา” หลี่หยวนเจ๋อพูดอ