“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยู ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก…”
เพียงคำพูดเดียวนี้ หัวใจของวาดรวีก็ปั่นป่วนทันที ความเสียใจผสมปนเปกับความรู้สึกหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เธอรู้ดีว่าองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อไม่เคยมีใจให้เหวิ่นจือหยูเลยตั้งแต่ต้น แต่การได้ยินเขาชื่นชมเหวิ่นลี่หยาน้องสาวต่างมารดาของเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความสนิทสนม กลับทำให้วาดรวีในร่างนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เธออยากหนีออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ อยากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับองค์ชายและเหวิ่นลี่หยา เธอคิดอยากจะถือในศักดิ์ศรียกเลิกงานหมั้นงานแต่งนี้เสียเองก็คงดี แต่ในขณะเดียวกัน เธอรู้ว่าตนเองหนีไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ วาดรวีคือเหวิ่นจือหยู คู่หมั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะหลีกทางให้เหวิ่นลี่หยาที่ดูท่าแล้วอยากได้ตำแหน่งนี้ ก็คงสมใจนางและเฉียนอี้หรงผู้เป็นมารดาที่คอยยุยงให้ลูกสาวแก่งแย่งทุกอย่างจากเหวิ่นจือหยู คอยใส่ร้ายให้คิดอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเหวิ่นจือหยูร้ายกาจ ในขณะที่เหวิ่นลี่หยาสวมบทคุณหนูรองผู้ใสซื่อและอ่อนโยนโดนเธอกระทำ เมื่อกลับถึงจวนด้วยความรู้สึกหน่วงในหัวใจ วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูก็พบว่า ทุกคนในบ้านต่างตกใจที่เธอกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม่นมหลานซินรีบเข้ามาทักด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นสายตาเศร้าของคุณหนู เธอก็เลือกที่จะเงียบไว้ หลังจากที่วาดรวีเข้ามาอยู่ในร่างของเหวิ่นจือหยูทุกสิ่งทุกอย่างก็พลิกผันไปจากที่เคยเป็น แม้กระทั่งเหล่าคนรับใช้ในจวนต่างก็ยังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเหวิ่นจือหยูอย่างชัดเจน คุณหนูเหวิ่นจือหยูผู้เคยเย่อหยิ่ง เต็มไปด้วยความร้ายกาจ ทำให้ผู้คนรอบตัวหวาดกลัว แม้แต่คนรับใช้ใกล้ชิดก็ต้องเดินบนเส้นด้ายด้วยความระมัดระวัง หวาดเกรงว่าจะเผลอทำสิ่งใดผิดพลาดและแล้วถูกลงโทษ จนไม่มีใครที่อยากจะมารับใช้เหวิ่นจือหยูด้วยความเต็มใจเลยสักคนยกเว้นแม่นมหลานซินและอี้เหมยที่คอยดูแลคุณหนูใหญ่มาตลอด คุณหนูเหวิ่นจือหยูมักจะเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้ายใส่คนรับใช้ที่ทำผิดแม้เพียงเล็กน้อย บางครั้งเพียงเพราะอารมณ์หงุดหงิดส่วนตัว นางเคยสั่งให้ลงโทษสาวใช้ที่ทำชาร้อนหกใส่มือของนางโดยไม่ตั้งใจ นางถูกโบยตีอย่างรุนแรงโดยไม่ยอมให้โอกาสอธิบาย ตั้งแต่ฟื้นขึ้นจากอุบัติเหตุครั้งนั้น คุณหนูเหวิ่นจือหยูก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากคุณหนูที่ร้ายกาจ ไร้ความเมตตา กลับกลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและสงบเยือกเย็น เมตตาต่อผู้คนรอบตัว ซึ่งสร้างความประหลาดใจและความงุนงงให้กับคนรับใช้ทุกคน เช่น ยามเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เหวิ่นจือหยูกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ สาวใช้คนหนึ่งทำถาดอาหารหลุดมือจนข้าวของกระจัดกระจายหกเลอะไปทั่วพื้น ด้วยความกลัวเธอรีบคุกเข่าลงและกล่าวเสียงสั่น “คุณหนู ข้าขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” สาวใช้รีบคุกเข่าลงพื้น ใบหน้าซีดเผือดราวกับจะร้องไห้ เธอเตรียมใจรับโทษที่หนักหนา เพราะเหวิ่นจือหยูไม่เคยให้อภัยใครง่ายๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อคุณหนูเพียงยิ้มอ่อนและพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าไม่ถือสา เจ้าคงรีบร้อน เดี๋ยวให้คนมาเก็บกวาดก็พอ” คำตอบของเหวิ่นจือหยูทำให้สาวใช้คนนั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาและเชื่อหูของตัวเอง ในใจของเธอเตรียมรับโทษที่หนักหนาไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำพูดอ่อนโยนและการให้อภัยแทน “คุณหนู ท่านไม่โกรธข้าหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามย้ำด้วยความงุนงง ขณะที่คนรับใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันแอบมองมาด้วยกลัวว่าสาวรับใช้คนนี้จะโดนทำโทษอะไร แต่สิ่งที่ได้ยินทำเอาทุกคนอึ้งไปพร้อมๆกัน เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการให้อภัยอย่างง่ายดายจากคุณหนูผู้ร้ายกาจ เหวิ่นจือหยูส่ายศีรษะเบาๆ “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียทีเดียว เจ้าไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่หรอกหรือ” เหล่าคนรับใช้ต่างพากันมองหน้ากันด้วยความไม่ค่อยแน่ใจว่าตนเองควรจะทำอย่างไรต่อไป บางคนถึงกับเริ่มกระซิบกระซาบกันลับหลัง “คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปจริงๆ...” “ข้าไม่เคยเห็นนางใจดีเช่นนี้มาก่อน…” จากวันที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอยู่ด้วยความรู้สึกกดดัน เหล่าคนรับใช้ค่อยๆ เริ่มปรับตัวและรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้คุณหนูเหวิ่นจือหยูมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีความระแวงเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขายังคงจำภาพของเหวิ่นจือหยูที่โหดร้ายในอดีตได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ความเปลี่ยนแปลงของเหวิ่นจือหยูจะทำให้บรรยากาศในจวนผ่อนคลายลง แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่กล้าปักใจเชื่อว่านิสัยของคุณหนูใหญ่จะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้งคนในจวนและแม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัวเองก็ต่างสงสัย เหวิ่นจวิ้นอี้ บิดาของเหวิ่นจือหยู ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เขาเริ่มจับตามองบุตรสาวคนโตที่เคยดื้อรั้นและเอาแต่ใจ ยิ่งเวลามีเรื่องทะเลาะกับเหวิ่นลี่หยานางยิ่งเอาแต่ใจ มาวันนี้กลับกลายเป็นคนที่สงบเยือกเย็นและเธอก็ยังคงควบคุมอารมณ์ได้ดี มีเมตตาขึ้นได้เพียงข้ามคืน และเริ่มสนใจช่วยงานในครอบครัว "ท่านพ่อ" เสียงเรียกเบาๆ ของเหวิ่นจือหยูดังขึ้นในขณะที่นางเดินเข้ามายังห้องทำงานของบิดา นางยิ้มบางๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหวิ่นจวิ้นอี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในอดีตตั้งแต่ที่เขารับมารดาของเหวิ่นลี่หยามาเป็นอนุภรรยา "เจ้ามีอะไรหรือหยูเอ๋อร์" เขาถามพร้อมกับพยายามซ่อนความสงสัยในน้ำเสียง “ท่านพ่อ ลูกมาคิดดูแล้ว ลูกอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านพ่อบ้าง ท่านพ่อมีอะไรที่ต้องการให้ลูกช่วยหรือไม่เจ้าคะ ลูกไม่อยากอยู่เฉยๆ” เหวิ่นจือหยูพูดด้วยท่าทีตั้งใจจริง นางพูดต่อไปอย่างรอบคอบ “ลูกอาจเคยทำสิ่งที่ไม่ดีมาก่อน แต่ตอนนี้ลูกอยากเริ่มต้นใหม่ ลูกอยากทำให้ตระกูลของเราดีขึ้น ท่านพ่อโปรดเชื่อลูกเถิด” เหวิ่นจวิ้นอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ลูกสาวที่เคยไม่สนใจสิ่งใดนอกจากตัวเองกลับมาพูดเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาพยายามที่จะให้เหวิ่นจือหยูร่ำเรียนและสนใจเรื่องค้าขาย เพื่อที่จะช่วยเขาและเหวิ่นซิ่วเหมย ฮูหยิน ผู้เป็นมารดาของนางดูแลเรื่องการค้า แต่ลูกสาวตัวดีกลับไม่สนใจ พอให้ฝึกการบ้านการเรือนเยี่ยงกุลสตรีเหวิ่นจือหยูก็ดื้อรั้นไม่ยอมฝึก มาครั้งนี้ลูกสาวถึงกับมาเสนอตัวขอช่วยเอง คนเป็นพ่อถึงกับแปลกใจจ้องมองเหวิ่นจือหยูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ และยิ้มอย่างภูมิใจ “ดีแล้ว หากหยูเอ๋อร์คิดได้เช่นนั้น พ่อก็ยินดีมาก” เหวิ่นจวิ้นอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเอ็นดูเล็กน้อยก่อนที่จะเอื้อมมือมาลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ พลางเดินนำลูกสาวเข้าไปเริ่มสอนงาน ในขณะที่คนในจวนค่อยๆ เริ่มยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเหวิ่นจือหยู เหวิ่นลี่หยา น้องสาวผู้มีมารดาเป็นเพียงอนุภรรยา กลับรู้สึกไม่สบายใจ นางเคยเป็นคนโปรดของทุกคนในครอบครัว รวมถึงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แม้เหวิ่นลี่หยาจะทำตัวอ่อนโยนและดูเหมือนเป็นกุลสตรี แต่ในใจลึกๆ นางมีความทะเยอทะยานและไม่พอใจที่ตนต้องอยู่ใต้เงาของพี่สาวมาโดยตลอด ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูรองแต่นางก็เกิดจากเฉียนอี้หรงที่เป็นเพียงแค่อนุภรรยา จึงไม่มีเกียรติเท่าเหวิ่นจือหยู ลูกสาวของฮูหยิน เหวิ่นลี่หยาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในพี่สาวของนางอย่างชัดเจน และแม้ว่าภายนอกนางจะแสร้งทำเป็นยินดี แต่ในใจลึกๆ นางเริ่มรู้สึกอึดอัด เพราะการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของเหวิ่นจือหยูอาจทำให้ตำแหน่งที่นางแอบปรารถนาหลุดมือไป ในตอนเช้าในขณะที่เหวิ่นลี่หยาอยู่ในสวน เธอได้ยินเสียงคนรับใช้สองคนสนทนากันเบาๆ เกี่ยวกับเหวิ่นจือหยู “คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปมากจริงๆ ตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น ข้าแทบไม่เชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน” สาวใช้คนหนึ่งพูด “ใช่ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น คุณหนูใหญ่ใจดีกับพวกเรามากขึ้น ไม่ดุด่าหรือทำร้ายเหมือนก่อน ข้าว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นคงทำให้นางคิดได้” อีกคนเสริม “ถ้าคุณหนูเป็นเช่นนี้ตลอดคงดี เพราะใบหน้าคุณหนูก็งดงามมากเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายมากเลย และยิ่งตอนนี้นายท่านกับฮูหยินกำลังสอนคุณหนูเรื่องค้าขายดูแลกิจการของฮูหยินกับนายท่านต่อ นายท่านดูมีความสุขมากที่คุณหนูสนใจเรื่องนี้” เหวิ่นลี่หยายืนเงียบอยู่หลังพุ่มไม้ นางได้ยินทุกคำพูด ในใจของนางเต็มไปด้วยความหงุดหงิด โกรธแค้น ไม่สบายใจที่ไม่อาจปกปิดได้ นางเคยหวังว่าจะเขี่ยพี่สาวให้พ้นทาง เพื่อที่ตัวนางจะได้กลายเป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แต่เมื่อเหวิ่นจือหยูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นางกลับรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังหลุดลอยไป “ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ ข้าอุตส่าห์ทุบหัวกะจะให้ไม่ฟื้นแล้ว นี่นางกลับตื่นมาเป็นคนที่ดีกว่าเดิมอีก” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจ นางทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อองค์ชาย ทำตัวเป็นกุลสตรีสมบูรณ์แบบที่ทุกคนชื่นชม ใส่ร้ายพี่สาวสารพัด แต่สุดท้ายเหวิ่นจือหยูกลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีและเข้ามาแย่งตำแหน่งที่นางใฝ่ฝันมานานได้อย่างสบาย แม้ว่าพี่สาวจะเป็นคนที่มีนิสัยร้ายกาจและเอาแต่ใจ แต่เพราะเป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากฮูหยิน เหวิ่นจือหยูจึงได้รับทุกอย่างที่ดีที่สุด ทั้งการยอมรับจากครอบครัวและโอกาสในการเป็นคู่หมั้นขององค์ชาย แม้ว่าเหวิ่นลี่หยาจะเป็นที่ชื่นชมของทุกคน แต่ตำแหน่งสำคัญในตระกูลก็ตกเป็นของพี่สาวเสมอ เหมือนกับที่เฉียนอี้หรงมารดาของเธอไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในจวนเลยแม้แต่น้อย เพราะฮูหยิน เหวิ่นซิ่วเหม่ย คุมอำนาจเป็นใหญ่ดูแลทั้งหมดในจวน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหวิ่นลี่หยาพยายามเข้าหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและแสดงให้เห็นว่านางเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเหวิ่นจือหยูผู้เย่อหยิ่งและอารมณ์ร้ายหวังว่าองค์ชายจะมองเห็นว่านางมีคุณสมบัติเหมาะสมยิ่งกว่า แต่เมื่อเหวิ่นจือหยูฟื้นขึ้นมาและเริ่มเปลี่ยนแปลงไป นางกลับกลายเป็นคนใหม่ที่สงบเยือกเย็นและมีเมตตา ซึ่งทำให้เหล่าคนในจวน รวมถึงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเอง ก็ค่อยๆ หันมามองเหวิ่นจือหยูในแง่ดีขึ้น นี่ทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียโอกาสของตัวเองไปทีละน้อย ในเย็นวันนั้น เหวิ่นลี่หยาตัดสินใจไปหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อที่ตำหนักของเขา เพื่อพูดคุยด้วยหวังว่าจะย้ำเตือนพระองค์ว่านางคือผู้หญิงที่ใส่ใจและเหมาะสมที่สุดที่จะอยู่เคียงข้างเขา…เย็นวันนั้น เหวิ่นลี่หยาตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตรงไปยังตำหนักขององค์ชาย หลี่หยวนเจ๋อ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในใจนางหวังเพียงว่า การแสดงออกถึงความใส่ใจและความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม จะทำให้พระองค์เห็นว่านางเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคู่หมั้นอย่างที่องค์ชายเคยหลุดปากอยากเปลี่ยนคู่หมั้นออกมาตอนคุยกัน และเหมาะสมเพียงใดสำหรับตำแหน่งพระชายาเมื่อไปถึงเพียงแต่นางก้าวถึงหน้าประตูตำหนัก เสียงสนทนาภายในขององค์ชายกับท่านกงกงผู้รับใช้ใกล้ชิด ก็สะกิดให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสะท้าน นางหยุดยืนฟังอย่างเงียบเชียบที่หน้าประตูโดยไม่ให้ใครรู้ตัว“องค์ชาย ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูเหวิ่นจือหยูที่ได้รับฟังมา” เสียงของ กงกง ผู้รับใช้ใกล้ชิดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก” หลี่หยวนเจ๋อตอบเสียงเบาที่ฟังดูครุ่นคิด “นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากอุบัติเหตุ ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด แต่ข้ารู้สึกว่าเหวิ่นจือหยูในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างสิ้นเชิง นางสงบและอ่อนโยนขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้นาง”คำว่า “สบายใจ” คำนี้ทำให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสั่นไหว
“พี่จือหยู ข้าขอสารภาพบางอย่างกับท่าน...” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้” วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นชะงักเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา” เหวิ่นลี่หยาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะขยับเข้าใกล้พี่สาว “องค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างไรล่ะ ข้าไม่อยากบอกท่านหรอกนะ แต่ข้าเคยได้ยินองค์ชายพูดกับท่านกงกงหลี่ซือ ท่านอยากฟังไหมว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร” วาดรวีขมวดคิ้วแน่น นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดนี้ แต่ไม่อาจหักห้ามความอยากรู้ได้ “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่ บอกมาให้ชัด” “พระองค์ตรัสว่า แม้ท่านจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ไหน พระองค์ยังคงไม่ชอบท่าน และยังมองว่าท่านเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม”วาดรวีรู้สึกว่าคำพูดนั้นทำให้หัวใจนางกระตุกขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นคนที่มั่นคงและใจเย็นกว่าเหวิ่นจือหยูเดิม แม้จะรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีเจตนา
“ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญองค์ชายไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลฝ่าบาทเพื่อขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นให้เป็นตามที่ท่านต้องการเถิด”เหวิ่นจือหยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “ขะ ข้าต้องการใครเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร”องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยทันที วาดรวีลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพูดต่อ “อ้าว ทำไมองค์ชายถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ แบบนี้น้องลี่หยาของหม่อมฉันก็จะเสียใจแย่เลยนะเพคะ อุตส่าห์วาดหวังไว้ อีกอย่างก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสตรีที่พระองค์ต้องการเป็นคู่หมั้นคงไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นน้องลี่หยาของหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “พี่จือหยู ทำไมท่านพูดเช่นนี้ น้องไม่ได้จะแย่งองค์ชายจากพี่ น้องเสียใจ” เหวิ่นลี่หยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทำเสียงสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับฉายแววพึงพอใจลึกๆ ในใจนั้นแอบดีใจที่เหวิ่นจือหยูผู้หญิงที่เก็บอารมณ์ไม่ได้ ประกาศออกมาชัดเจนต่อหน้าองค์ชายว่าไม่อยากหมั้นหมาย คำพูดนั้นทำให้องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่เหวิ่นจือหยูจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เชิญองค์ชายกับน้องลี่หย
พิธีหมั้นจัดขึ้นในพระราชวังอย่างสมพระเกียรติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราและกลิ่นอายแห่งอำนาจ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงจากทั่วทั้งราชสำนักต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานสำคัญนี้ เหวิ่นจือหยูนั่งเคียงข้างองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ รู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องโถงใหญ่ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อนั่งนิ่งขรึม ราวกับกำแพงน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกซึมผ่านได้ ดวงตาเย็นชาของพระองค์มองทอดไกล ไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนี้ เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับบนบ่า โดยเฉพาะสายตาของเหวิ่นลี่หยาที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่งผ่านความหมายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่เหวิ่นจือหยูผ่านหางตา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความเย็นชาแผ่กระจายออกมาจากร่างสูง ทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เหมือนถูกทิ้งไว้กลางพายุหิมะ พิธีหมั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นตามแผนราชประเพณีที่ถูกกำหนดไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น เหวิ่นลี่หยาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ บรรยากาศเงียบงันลงอย่างกะทันหัน เหวิ่นลี่หยายิ้มหวานและ
“ทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปเช่นนี้” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจอย่างเคียดแค้น ปลายนิ้วจิกลงในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ ความไม่พอใจและความริษยาแล่นพล่านไปทั่วร่างราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวอย่าง เหวิ่นจือหยู จะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ เหวิ่นลี่หยามั่นใจว่านิสัยเกรี้ยวกราดและเอาแต่ใจของพี่สาวจะทำลายโอกาสนี้ไปเอง แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่เพียงแค่การหมั้นหมายสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีพระราชโองการให้เร่งจัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้นอีก ทุกอย่างราวฟ้าผ่าลงมากลางใจ เหวิ่นลี่หยาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ควรเป็นของนางถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา นางเดินวนไปมาภายในเรือนพัก ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อต้องการสะกดกลั้นความคับแค้นใจ “ทำไมถึงต้องเป็นเหวิ่นจือหยู ทำไมนางถึงได้รับทุกอย่าง ทั้งๆ ที่นางไม่สมควรได้รับ เพียงเพราะนางเป็นลูกภริยาเอกเท่านั้นเองหรือ” ความริษยาเกาะกินใจจนใบหน้าที่เคยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นางพึมพำต่อหน้ากระจกบานสูง “นางไม่สมควรได้เป็นพระชายา ไม่สมควรได้ครอบครององค์ชายแม้แต่น้อย” เสียงของนาง
ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ “ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประต
วันที่เหวิ่นจือหยูต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานมาถึงแล้ว ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ทุกคนล้วนตื่นเต้นและยินดีกับคุณหนูใหญ่ คนรับใช้ต่างเร่งรีบเตรียมข้าวของและจัดเตรียมทุกอย่างอย่างลุล่วง ถึงแม้ว่าหลายคนยังคงหวั่นกลัวกับความโมโหร้ายที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูจือหยู แต่ในช่วงหลังพวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่เธอแสดงออกมา ทำให้บรรยากาศในจวนดูอบอุ่นและเป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างยินดีที่ได้เข้ามารับใช้คุณหนูใหญ่ของจวน ในห้องแต่งตัว เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่ สาวใช้สามคนช่วยกันจัดแต่งเส้นผมของนางอย่างพิถีพิถัน พวกนางตกแต่งเครื่องประดับทองคำและหยกบนศีรษะของคุณหนูอย่างประณีต ชุดแต่งงานที่นางสวมเป็นชุดฮั่นฝูสีแดงสดที่งดงามยิ่งนัก ลวดลายหงส์ที่ปักด้วยด้ายทองเปล่งประกายสะท้อนแสง ทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงความสูงส่งของฐานะว่าที่พระชายา เหวิ่นจือหยูมองตัวเองในกระจก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเหวิ่นจือหยูที่เคยมีชื่อเสียงเลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จริงหรือ นางยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายป
แสงตะวันอ่อนยามเช้าทอประกายผ่านม่านผ้าไหมที่พาดยาวในท้องพระโรง ขบวนขันหมากจากตระกูลเหวิ่นเรียงรายเป็นระเบียบ บรรยากาศเคร่งขรึมแต่แฝงความสง่างาม เหวิ่นจือหยูค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างช้าๆ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงขันทีประกาศถึงการมาถึงของเจ้าสาว ในนาทีนั้นเองที่เขาเห็นเหวิ่นจือหยูในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักลายหงส์ทองงดงาม เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงจนวิบวับ ทุกอิริยาบถของนางแสดงถึงความสงบและสง่างาม หลี่หยวนเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดุดตา เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเหวิ่นจือหยูมามากมาย ในแง่ร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากที่เคยรับรู้ “คิดไม่ถึงเลยว่านางจะดูเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของหลี่หยวนเจ๋อ แต่ทันใดนั้น ความไม่พอใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้รักก็กลับมาท่วมท้นในจิตใจ เมื่อถึงเวลาพิธี เสียงขลุ่ยและฆ้องดังขึ้นก้องไปทั่วท้องพระโรง เป็นสัญญาณเริ่มพิธีแต่งงานขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและคุณหนูเหวิ่นจือหยู เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันเฝ้ามองด้วยความชื่นชมในความขลังและความ
เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า