เจ้าสิบเอ็ดฝางมองไปที่แผ่นหลังของหวังเบียว และสงสัยว่าเขาจำเขาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ได้ยินชื่อของเขาด้วยซ้ำ หรือเขาจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขากันแน่ช่างเถอะ อาจารย์หยูพูดถูก การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเหล่าจางหลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัย ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ขอดูยาที่เซี่ยหลูโม่ให้กับจางเลี่ยเหวิน "โชคดีที่มียานี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ถึงวันนี้"กองทัพมียารักษาแผลและมันเป็นยาดีที่สุด แต่หลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัยแล้ว ก็ยังส่ายหัวและขอให้เซี่ยหลูโม่ออกไปพูดคุยด้วย"ที่ผู้บัญ... ท่านอ๋อง ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว มากสูดก็ยื้อเวลาเจ็ดแปดวัน แต่บอกยากจริงๆ ตัวร่างของเขาไม่มีเนื้อชิ้นดีๆ สักชิ้นเลย และยังมีรอยแดงและมีหนองเต็มไปหมด ถ้าไม่ได้เพราะท่านให้ยาดีๆ กับเขา เขาคงจากไปนานแล้ว""ยานั้นข้ายังมีอยู่ ถ้าให้เขากินตลอดทาง สามารถถ่วงเวลาเป็นหนึ่งเดือนได้ไหม?"หมอทหารส่ายหัว "ไม่ได้ขอรับ ยานี้รักษาหัวใจ สามารถรักษาให้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ่วงอีกหนึ่งเดือนย่อมไม่ได้เลย"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "เจ้าติดตามข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะไปบอก
เซี่ยหลูโม่ไปหาหวังเบียวโดยบอกว่าจะให้หมอทหารมาติดตามเขาไป หวังเบียวตอบรับทันที เพราะมีหมอทหารหลายคนอยู่ในกองทัพจดหมายของหวังเบียวได้ส่งออกไปแล้ว หลังจากคิดหาทางให้ตนเองได้สร้างผลงานมากที่สุดเสร็จแล้ว เขามองดูคนทั้งสิบเอ็ด ก็รู้สึกน่าชื่นชมจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าจางไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ดี เขาก็เริ่มกังวลมากไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นทหารเช่นกัน แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะตัดทิ้งชีซื่อไป แต่ได้เห็นพวกเขากลับมา เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกันไม่มีใครจะไม่ชื่นชมวีรบุรุษ เว้นแต่วีรบุรุษนั้นจะส่งผลต่อสถานะของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าการกลับมาอย่างปลอดภัยของทั้งสิบเอ็ดคนนี้ค มีผลงานของเซี่ยหลูโม่ แต่เขาก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน เพราะถึงยังไงเขาได้ส่งฉีหลินและฝางเทียนสวีไปให้แล้วการที่เขาอยากจะช่วยจางเลี่ยเหวินกลับมามีชีวิต แน่นอนว่ามีแผนแอบแฝงบ้าง จางเลี่ยเหวินเป็นคุณชายรองของจวโหวเซวียนผิง สถานะของเขาในกองทัพยังไม่มั่นคง และต้องการการสนับสนุนจากตะกูลใหญ่ๆ พวกนั้นด้วยแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางจะเป็นสมาชิกของชีซื่อด้วยน้องสาวสามได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านและแต่งงานใหม่แล้ว ท่านพี่ชา
ทันทีที่แม่นมเดินออกไป ซ่งซีซีกล่าวว่า "ท่านอ๋องไปเมืองซีม่อนเพื่อเจรจาหาเรื่องสายลับคนที่ชื่อชีซื่อกับชาวแคว้นซา ชีซื่อเป็นสายลับกองทัพของเราที่หลบหนีจากการถูกจับตัว ในช่วงสงครามเขตหนานเจียง เขาได้ส่งข่าวกรองไปยังกองทัพของเราตลอด แต่เขาถูกจับตัวไปเมื่อไม่นานก่อน ชาวแคว้นซาอยากใช้เขามาแลกเมืองซีม่อน"เมื่อซ่งซีซีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็หายใจถี่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงรอให้นางพูดต่อ"ดังนั้นฮ่องเต้จึงส่งท่านอ๋องไปซีม่อน เมื่อพูดต่อหน้าคือไปเจรจาบน แต่จริงๆ แล้วไปช่วยตัวประกันลับหลัง ตอนนี้ได้ช่วยชีซื่อกลับถึงซีม่อน และทางนั้นบอกว่าเขาก็คือจางเลี่ยเหวิน คุณชายรองของพวกเจ้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านอ๋องใช้นกพิราบบินส่งจดหมายให้นำหมอมหัศจรรย์ดันและฮูหยินน้อยรองไป จะออกเดินทางคืนนี้ รอช้าไม่ได้เลย""แม่เจ้า คุณพระช่วย" ฮูหยินโหวเซวียนผิงตัวสั่นไปหมด นางได้ยินมาว่าบุตรชายของตนเองยังไม่ตายแต่ก็กำลังจะตาย นางก็ทุกข์ใจมาก "ข้าไป ข้าขอไปด้วย"ซื่อจื่อโหวเซวียนผิงพยุงแม่ของเขาไว้ "ท่านแม่อย่าไป ข้าไป ข้าจะติดตามน้องสะใภ้ไป"เสียงของเขาสำลัก"ข้าก็ไปด้วย" เสียงของโหวเซวียนผิงสั่นเล็กน้อย เขายิ้ม
เสิ่นว่านจือเคาะประตูร้านขายยาเย่าหวังตอนดึก หมอมหัศจรรย์ดันอาศัยอยู่บนชั้นสองของร้านขายยาเย่าหวังหมอมหัศจรรย์ดันเข้านอนแล้ว เขาเป็นคนเข้านอนเร็วและตื่นเช้าอยู่เสมอ เมื่อเสิ่นว่านจือมาหา เขานอนหลับไปเกือบครั่งชั่วยามแล้วหมอมหัศจรรย์ก็อารมณ์เสียหลังจากถูกปลุกให้ตื่นเช่นกัน ลูกศิษย์ของเขารายงานว่าเป็นเสิ่นว่านจือจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาหา เขาสวมเสื้อผ้าและจ้องมองไปที่เสิ่นว่านจือ "ทางที่ดีอย่ามีเรื่องเร่งด่วน ข้าไม่ออกไปพบคนไข้"เสิ่นว่านจือยกมือไหว้ "มารบกวนหมอมหัศจรรย์แล้ว แต่ท่านอ๋องส่งจดหมายมา ให้ซีซีเชิญหมอมหัศจรรย์ไปซีหนิงด้วยกันเพื่อช่วยจางเลี่ยเหวิน""จางเลี่ยเหวิน?" หมอมหัศจรรย์ดันสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนึกถึงคุณชายรองที่เสียชีวิตของจวนโหวเซวียนผิง เขาไม่ลังเลรีบสั่งว่า "หลานเชวี่ย จินเชวี่ย เก็บข้าวของติดตามไป เอายาที่ดีที่สุดไปด้วย เข็มทองด้วย และก็..."เขาหยุดชั่วคราว แสดงความเจ็บปวดใจเล็กน้อย "นำโสมพันปีนั้นติดตัวไปด้วย"เป็นหมอเลยทำอะไรได้เร็ว หมอมหัศจรรย์ดันมาถึงจวนเป่ยหมิงอ๋องก่อนซ่งซีซีและนั่งรออยู่ที่นั่นก่อนที่ซ่งซีซีจะออกเดินทาง นางก็หยิบจดหมายนกพิราบไปให้แม
รถม้าสั่นและถนนหลวงไม่ราบรื่น บวกกับต้องเดินทางเร่งรีบแบบนี้ สำหรับหลี่จิ้งแล้วมันทรมานจริงๆหลังจากเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ซ่งซีซีก็เห็นว่าใบหน้าของนางซีดและเอามือปิดหน้าอกราวกับอยากจะอาเจียน นางถามว่า "เมารถม้าหรือเปล่า จะให้คนขับเดินช้าหน่อยไหม""ไม่ ไม่ ไม่จำเป็นต้องช้า" หลี่จิ้งโบกมือ "เอาเร็วที่สุด ข้าอยากจะให้ม้าตัวนี้มีปีกสามารถบินไปที่ซีหนิงด้วยซ้ำ ท่านพระชายาอย่ามองว่าข้าอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วข้าไม่กลับความยากลำบาก""ก็ได้" ซ่งซีซีหยิบสัมภาระออกมาแล้วนำผลไม้แห้งที่เป่าจูเตรียมไว้ออกมา เมื่อพบว่ามีลูกพลัมแห้ง จึงพูดว่า "รีบอมไว้ลูกหนึ่ง มันจะสบายหน่อย""ขอบคุณ!" หลี่จิ้งหยิบมันลูกหนึ่งใส่ปาก รสเค็มและเปรี้ยวกระจายอยู่ในปากซึ่งช่วยขจัดอาการคลื่นไส้ได้ไปบ้างทางด้านซีม่อน เซี่ยหลูโม่สั่งคนดัดแปลงรถม้าให้ รถจึงรองรับจางเลี่ยเหวินให้นอนได้ และมีการวางเบาะนุ่มๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการกระแทกหมอทหารก็นั่งอยู่ในรถม้ากับเขา และพัดลมให้เขา จากนั้นตรวจสอบสถานการณ์ได้ตลอดเวลาส่วนคนที่เหลือ หวังเบียวได้เตรียมม้าที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาหวังเบียวไม่ปรากฏตัวมาตลอด พอรู้ว่าพวกเขาจ
ระหว่างทางทุกคนต่างเป็นกังลวมากจริงๆจางเลี่ยเหวินไข้สูงไม่เคยลดเลย หมอทหารนำเตาสำหรับต้มยาและถุงยามาด้วย และให้ยาลดไข้และขจัดแผลเน่า แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเลยยาจากหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่มีผลกับเขาเท่าไรแล้ว แต่เมื่อเทียบกับสมุนไพรพวกนั้นงั้นก็ยังมีผลกว่าจางเลี่ยเหวินตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงหลายครั้ง และต้องถามทุกครั้งว่า "นี่คือดินแดนของเราหรือเปล่า?"หลังจากได้รับคำตอบว่าใช่ รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาก็ยังคงสลบต่อไปหมอทหารบอกว่าหากยังมีไข้เช่นนี้ต่อไปจะมีผลเสียต่อสมองของเขา แล้วเป็นเรื่องปกติที่เขาขี้ลืมต่อมา เซี่ยหลูโม่ก็ให้จางต้าจ้วงจูงม้าของเขาไปด้วย ส่วนเขาก็ขึ้นรถม้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขาแม้ว่าตอนที่เขาอยู่สภาพมึนงง เซี่ยหลูโม่ก็จับมือเขาเบาๆ และพูดคุยกับเขา บอกว่าเขตหนานเจียงสวยงามแค่ไหน เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขาให้ฟัง และบอกว่าภรรยาของเขากำลังเดินทางมาหา อีกไม่นานพวกเขาจะเจอหน้ากัน เขาสามารถเจอภรรยาของตนเองได้แล้วเมื่อใดก็ตามที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ การหายใจของจางเลี่ยเหวินจะราบรื่นขึ้น และเขาจะลืมตาขึ้น ลึกๆ ในดวงตามีแสงสว่าง ไม่ได้ว่างเปล่าอีกเขาพยายา
อาจารย์หยูและจางต้าจ้วงนอนอยู่บนรถม้า และมีที่นอนนุ่มๆ ปูอยู่บนตัวพวกเขา ทุกคนวางจางเลี่ยเหวินลงไป ส่วนจางเลี่ยเหวินและอาจารย์หยูก็ยื่นมือออกมาคนละข้างเพื่อจับจางเลี่ยเหวินไว้การพนันครั้งใหญ่เริ่มแล้ว ออกเดินทางเลยเนื่องจากในรถมีคนอยู่สามคนแล้ว เพื่อเร่งความเร็ว หมอทหารจึงต้องลงรถด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์หยูจะหยุดรถทันทีเพื่อให้หมอทหารขึ้นมาข้างในรถม้านั้นร้อนจัด ทั้งสองคนถูกคลุมด้วยเบาะนุ่มๆ จางเลี่ยเหวินยังนอนอยู่ข้างบนด้วย ไม่นานนักเสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งผมเปียกเช่นกัน มันทั้งเหนียวและคัน แต่กลับเกาไม่ได้ มันทรมานอย่างยิ่งคนขับรถข้างนอกก็เปิดม่านให้ลมผ่านบ้างแต่ไม่สามารถเปิดนานเกินไป คนเป็นไข้จะโดนลมไม่ได้ม้าถูกเฆี่ยนแรงและความเร็วก็เพิ่มขึ้น เมื่อเดินบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มันก็โซเซและกระแทกอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อทั้งสองคนพัวพันกับแขนของพวกเขา ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อจางเลี่ยเหวินอาจารย์หยูจะตรวจชีพจรให้เขาเป็นครั้งคราว ตราบใดที่ชีพจรยังเต้นอยู่ เขาก็รู้สึกสบายใจหน่อยในเวลาเดียวกัน กุ้นเอ๋อร์ได้พาหมอมหัศจรรย์ดันและคนอื่นๆ ไปที่ซีหนิง พ
หมอมหัศจรรย์ดันถูกอุ้มขึ้นบนหลังม้า และถูกแบกไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และตาพร่ามัว เมื่อเขาตั้งสติ เขาก็ถูกวางตัวลงและยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของจางเลี่ยเหวินแล้วเขาหันกลับไปเพื่อดูว่าใครเป็นคนอุ้มเขา แต่กลับได้ยินเสียงเร่งด่วนของเซี่ยหลูโม่ "ท่านลุงดัน รีบๆ ดูเขาหน่อย"สายตาที่คาดหวังและน้ำตาคลอเบ้ากำลังจ้องมองหมอมหัศจรรย์ดัน เขาคือหมอมหัศจรรย์ดัน และเขามาแล้วคนสิบคนคุกเข่าลงและสำลักสะอื้น "ได้โปรดขอให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยชีวิตเขาด้วย"จินเชวี่ยเข้ามาพร้อมกล่องยาบนหลังของเขาแล้ว และหมอมหัศจรรย์ดันไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร เขาแค่มองดูอาการของจางเลี่ยเหวิน ก็รู้ว่าสิ่งแรกในตอนนี้คือการรักษาลมหายใจของเขาให้คงที่เขาหยิบโสมพันปีออกมา ปอกออกมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้เซี่ยหลูโม่ "บีบสักหน่อย"เซี่ยหลูโม่รับมันมาบีบด้วยมือของเขา และโสมที่แข็งเป็นชิ้นก็แตกออก และหมอมหัศจรรย์ดันรีบยัดมันเข้าไปในปากของจางเลี่ยเหวินโสมอายุพันปีสามารถยกยื้อชีวิตได้ดีจริงๆ แต่ก็ได้แต่ยื้อลมหายใจของเขาได้เท่านั้นจินเชวี่ยยื่นกระเป๋าเข็มให้ หมอมหัศจรรย์ดันหยิบเข็มออกมาและสั่งคนให้ถอดเสื้อผ้าของ
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร