“ทะ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หืม?” บุรุษไม่เอ่ยเพียงอย่างเดียว ยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองอย่างจงใจ
“ขะ ข้าไม่แน่ใจ...”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ข้า ข้าคิดว่าท่านจะทำให้ข้าเป็นภรรยาของท่าน”
“เจ้าเข้าใจถูก”
“แล้วเหตุใดจึงต้องให้ข้าอ้าขาเช่นนี้เจ้าคะ”
“หึหึ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”
บุรุษหยั่งเชิงสตรีตัวน้อย แม้นางจะเพิ่งอายุสิบหกปีในวันนี้ หากแต่สงสัยเสียจริงว่าในเรื่องธรรมชาติของการสืบพันธ์ นางไม่รู้จริงๆ หรือ?
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ทว่าคำตอบกลับเป็นเสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อย และนัยน์ตากลมแสนใสซื่อ
“อ่า เจ้านี่ช่าง... ไร้เดียงสาเสียจริง เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้อง ‘ทำให้เจ้ารู้’ หลายอย่างเลยล่ะ”
“ข้ายินดีรับการสั่งสอนจากท่าน ทว่าโปรดท่านช่วยปล่อยข้า...!”
“มิได้ สิ่งนี้ต้องทำ เจ้าถึงจะรู้” จบถ้อยคำนั้น เรียวลิ้นสากก็ลากเลียตั้งแต่ด้านล่างขึ้นด้านบน ทำเอาสตรีตัวน้อยร้องเสียงหลงกับสัมผัสไม่คุ้นชิน จนก่อให้เกิดอารมณ์วาบหวามที่มิอาจควบคุมได้ง่าย
...อึก ตะ ตรงนั้นมัน...
ฟางเหนียงไม่รู้มาก่อนเลยว่าที่ตรงนั้นมันทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ด้วย เรียวลิ้นที่ปาดเลียตามรอยแยกกลีบกายของนางแล้วบดขยี้จุดอ่อนไหว ทำเอาฟางเหนียงเผลอกลั้นหายใจไปหลายรอบ
เรียวลิ้นสากช่างร้ายกาจเหลือเกิน มันไม่เพียงแต่สัมผัสที่ภายนอกเท่านั้น แต่กลับรุกล้ำเข้าไปด้านในสร้างความรัญจวนใจเหลือเกิน ความอุ่นร้อนของกายสตรีโอบรักเรียวลิ้นของบุรุษเอาไว้แน่น
...อ่า หวาน น้ำหวานๆ นี่ข้าดูดเลียทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้...
สตรีตัวน้อยสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งนางถดถอยสะโพกหนีลิ้นร้ายกาจ มันก็ยิ่งตามติดนางไม่ต่างไปจากเงา เรียวขาที่พยายามหุบเข้าหากันถูกจับอ้าออกกว้างอย่างง่ายดาย สิ่งที่จินหมิงเยว่อนุญาตให้นางทำได้มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือการร้องครวญคราง
แต่ฟางเหนียงกลับเขินอายและมีสติเกินกว่าที่จะส่งเสียงน่าอายเช่นนั้น นางอดทนอดกลั้นเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว บางครั้งก็เผลอกลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ มารู้ตัวอีกทีก็ต้องรีบโกยอากาศเข้าปอด
ลิ้นสากจ้วงแทงเข้าไปด้านในซ้ำ แม้จะเป็นครั้งแรกของนางแต่จินหมิงเยว่กลับไม่อ่อนโยนสักเท่าใดนัก นั่นก็เพราะว่าบุรุษเองก็แทบจะคลั่งแล้วเช่นกัน!
สัญชาตญาณดิบเถื่อนของบุรุษถูกเผยออกมาทีละนิด!!
จนในที่สุดฟางเหนียงก็สุขสม แต่นางก็ยังคงเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมออกมา ปลดปล่อยน้ำสีใสไหลเต็มปากบุรุษ เขาดูดเลียอย่างหื่นกระหายจนได้ยินเสียงน่าอาย
“เจ้านี่ช่างดื้อดึงเสียจริง อย่าได้อดกลั้น มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะกัดลิ้นตนเองได้” บุรุษเอ่ยเสียงดุ ก่อนจะถอนใบหน้าคมคายออกจากกายสตรี แลบลิ้นเลียน้ำกามที่ติดริมฝีปากก่อนจะปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ
ฟางเหนียงตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ไม่ทันบุรุษร่างกำยำที่ตามไปคว้าเอวบางแล้วลากให้มาอยู่ใต้อาณัติตามเดิม
“อย่าทำให้ข้าโกรธ เหนียงเอ๋อร์”
“ข้ากลัว ฮึก ข้ากลัวแล้ว”
แม้ในยามแรกนางจะยินยอมพร้อมเป็นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนี้ หากแต่นางยังเยาว์วัยอีกทั้งยังไม่ประสีประสา จะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาโดยฉับพลันมิใช่เรื่องแปลก
“ชู่ว” จินหมิงเยว่โน้มกายทาบทับบนร่างของนาง ก่อนจะพรมจูบทั่วดวงหน้าหวานเพื่อปลอบประโลมคนขวัญอ่อน “ข้ามิได้จะสังหารเจ้า ข้าปรารถนาเจ้ามาตลอดจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หืม”
สตรีตัวน้อยร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา บุรุษพรมจูบซับน้ำตาให้นาง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าผู้นี้จะอ่อนโยนกับเจ้า...”
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่จินหมิงเยว่มอบจูบหวานๆ ให้กับนางเพื่อปลอบขวัญ หว่านล้อมให้นางโอนอ่อนยอมตกเป็นของตนเอง อารมณ์วาบหวามที่บุรุษมอบให้ทำให้ฟางเหนียงมิอาจคุมสติได้อยู่ นางพยายามควบคุมมันแล้วแต่ช่างยากเย็น จินหมิงเยว่มีชั้นเชิงในการหว่านล้อมให้ร่างกายของนางตกเป็นทาสกามของเขาเหลือเกิน
กว่าจะรู้ตัวอาภรณ์ของบุรุษก็ถูกจับโยนไปปลายเตียง แล้วจ่อแก่นกายอยู่หน้าปากทางช่องรักนุ่มนิ่มของนาง ดวงหน้าหวานฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันนั้นจินหมิงเยว่ก็กดแก่นกายของตนเองเข้าไปด้านใน
กึด!
“อ่า” บุรุษถึงกับหลุดครางเสียงกระเส่า ด้วยความต่างของร่างกาย รวมถึงรู้ว่านางยังครองพรหมจรรย์ บุรุษก็รู้แล้วว่าภายในของนางต้องรัดแน่นมากเพียงใด ทว่าความคิดนั้นเทียบมิได้เลยกับความจริงที่กำลังเผชิญอยู่ มันช่าง...
...อ่า แน่นเหลือเกิน...
“ฮึก ท่าน ไม่ อึก มะ เมตตาข้า ได้โปรด!”
“ชู่ว! เจ้าอย่าเกร็ง”
จินหมิงเยว่ถอนแก่นกายออกอย่างเชื่องช้า มันทำให้ฟางเหนียงคิดเข้าข้างตนเองว่าบุรุษคงจะใจอ่อนยอมให้นางแล้ว แต่ยามต่อมากลับต้องร้องเสียงหลง เมื่อสะโพกแกร่งกดกระแทกความแข็งแกร่งเข้ามาด้านในอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ค่อนข้างหนักหน่วงกว่าเดิม
“อ๊า เจ็บ ฮึก!”
“เหนียงเอ๋อร์ ผ่อนคลายเสีย…!!”
บุรุษเอ่ยเสียงต่ำ หางที่เก็บเอาไว้ถูกปล่อยออกมาเนื่องจากมิอาจวบคุมพลังได้ จิ้งจอกที่กำลังลุ่มหลงมัวเมาในกายของสตรีผู้นี้
สองแขนสอดเข้าใต้แผ่นหลังเล็ก แล้วโอบกอดนางแนบลำตัว รับรู้ได้ถึงหัวใจเต้นระรัวและร่างกายที่สั่นระริกของนาง
...ข้าอยากตอกกระแทกเข้าไปในกายเจ้าแรงๆ เหลือเกิน!...
ทุกสิ่งอย่างที่ฟางเหนียงกระตุ้นกำหนัดของบุรุษได้ดีเกินไป ทั้งกลิ่นเลือดที่ริมฝีปากของนาง กลิ่นกายหอมๆ กลิ่นเหงื่อของนางมันช่างรัญจวนใจ เสียงหวานที่ร้องออกมาเมื่อครู่ด้วยความเจ็บปวดเองก็ช่างน่าฟังเหลือเกิน
“อะ เอาออก ฮึก เอาออกไป!” สองมือเล็กๆ ทุบตีหัวไหล่หนาเต็มแรง มันไม่สร้างความเจ็บให้กับบุรุษเท่าใดนัก มีเพียงความรำคาญเท่านั้น
กึด!
“อื้อ!” ฟางเหนียงหลั่งน้ำตาเป็นสาย นางรู้สึกเจ็บกลางลำตัวราวกับร่างกายจะฉีกออกจากกัน สิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาภายในกายของนางนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน นางอยากเอามันออกไปเดี๋ยวนี้!
“ปล่อยข้า ฮึก เอาออกไป!”
“เมียของข้า ช่างขี้โวยวายยิ่งนัก”
กึด!
“อื้อ!”
จินหมิงเยว่ไม่คิดที่จะถอย พยายามกดแก่นกายลงไปแต่ก็เข้าไปได้แค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น กลิ่นคาวเลือดจากใจกลางลำตัวของนางทำเอาเลือดภายในกายบุรุษสูบฉีดพล่าน
การทำให้นางเลือดออกก็มิใช่เรื่องแย่ ทว่ายิ่งยืดเยื้อนางจะยิ่งทรมานเสียเปล่า เช่นนั้นแล้ว...
กึด!!
“กรี๊ด!”
บุรุษกดความแข็งแกร่งของตนเองเข้าไปในกายสตรีรวดเร็ว ความอุ่นร้อนภายในครอบครองแก่นกายของเขา ตอดหนึบเสียจนจินหมิงเยว่แทบคลั่ง กระนั้นช่องรักนุ่มนิ่มของนางก็ยังครอบครองแก่นกายของบุรุษได้ไม่สุดลำเสียที
มือเล็กจิกลงบนแผ่นหลังกว้าง ขูดจนเกิดเป็นรอยเล็บชัดเจน นางมิได้ตั้งใจทำร้ายบุรุษ หากแต่ความเจ็บปวดทำให้นางเผลอจิกเล็บลงไป แล้วโอบกอดบุรุษแนบแน่น
“เด็กดี”
“ฮึก ฮือ”
“ชู่ว ไม่ร้อง เจ็บแค่ชั่วครู่ ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า” ริมฝีปากหยักพรมจูบดวงหน้าหวานแล้วปลอบโยนนาง แม้ว่าสตรีตัวน้อยจะส่ายหน้าไปมาแล้วร่ำไห้ก็ตาม หากแต่จินหมิงเยว่กลับเผยรอยยิ้ม
ไม่ว่านางจะกระทำสิ่งใด เหตุใดบุรุษจึงรู้สึกเอ็นดูถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าจิ้งจอกตนนี้อาจจะวิกลจริตไปเสียแล้ว
จินหมิงเยว่เก็บหางทั้งเก้าของตนเองก่อนจะขับเคลื่อนแก่นกายเข้าออกอย่างเชื่องช้า ถือว่ายังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง ฟางเหนียงร้องเสียงหลงแล้วโอบกอดบุรุษแน่น ความเจ็บปวดกลางลำตัวยากเกินจะรับไหว ใบหน้าคมคายก้มลงบดจูบอย่างอ่อนหวานราวกับปลอบประโลมนาง ดูดดื่มเรียวลิ้นเล็กเข้าไปในปากของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย แล้วดูดกลีบปากอวบอิ่มติดปาก ออกแรงขบเบาๆ ตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จินหมิงเยว่อยากที่จะกลืนกินนางไปทั้งตัวเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ ยิ่งดวงตาคู่งามจ้องมองบุรุษอย่างหวาดหวั่น เลือดในกายบุรุษสูบฉีดพล่านไปทั่วทั้งร่าง
ในที่สุดก็ได้ครอบครองนาง!!
สตรีตัวน้อยรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอมอันแข็งแกร่งที่พยายามสอดแทรกเข้ามาในร่างกายของนาง มันช่างใหญ่โตยิ่งนัก ราวกับจะทะลุทะลวงช่องท้องของนาง ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งส่งผลให้ช่องรักของนางตอดลำแก่นของบุรุษแนบแน่น
“อ๊า!” เสียงหวานหลุดร้องเสียงน่าอาย เมื่ออยู่ดีๆ จินหมิงเยว่ก็ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ซุกเข้าที่ลำคอขาวระหง ทั่งดอมดมและฝากฝังรอยรักเป็นจ้ำๆ ราวกับกลีบของดอกเหมยกุ้ย[1]
แรงขับเคลื่อนของร่างกายบุรุษช่างหนักหน่วงเหลือเกิน คล้ายกับจะกระแทกให้ร่างของนางแหลกสลาย จากความเจ็บปวดมลายหายไปกลายเป็นความรู้สึกอันน่าสับสน ภายในช่วงท้องของนางก่อเกิดอารมณ์บางอย่างวูบวาบขึ้นมา คล้ายกับจะทรมาน หากแต่กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจ
ฟางเหนียงไม่รู้มาก่อนเลยว่าการร่วมรักจะให้ความรู้สึกเช่นนี้ นางนั้นต่ำต้อยไร้การศึกษา สตรีขุนนางหลายคนจะได้รับการศึกษาในเรื่องของค่ำคืนวสันต์ การปรนนิบัติสามีบนเตียง หากแต่ฟางเหนียงนางไม่แม้แต่จะได้แตะต้องตำราปกขาว ตื่นเช้ามาในวันคล้ายวันเกิด ที่ไม่ต่างจากวันธรรมดา ก็ถูกจับแต่งงานในอาภรณ์แสนล้ำค่าเสียแล้ว
เรียวลิ้นสากแลบลิ้นเลียติ่งหูแล้วลากเลียไปทั่วทั้งใบหู ขณะตอกกระแทกความกำยำเข้าไป แก่นกายบุรุษผงาดขึ้นใกล้สุขสมเต็มทน ทว่าร่างบอบบางกระตุกสุขสมไปก่อนหน้า สองแขนโอบกอดร่างบุรุษแนบแน่น ในขณะเดียวกันนั้นจินหมิงเยว่ยิ่งโหมกระหน่ำแก่นกายของตนเองอย่างรุนแรงและสุขสมตามนางมาติดๆ
“แฮ่ก แฮ่ก!” ฟางเหนียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ร่างบอบบางยังคงสั่นระริกจากการฝืนกำลัง
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นแพรวพราวทั่วเรือนร่าง ในสายตาของจิ้งจอกตัวร้ายมันช่างน่าดูชม ราวกับน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์หยดลงบนร่าง เชิญชวนให้บุรุษได้เชยชิม หรืออาจจะราวกับอัญมณีประกายแสงบริสุทธิ์อันหาที่ใดเปรียบมิได้
“เด็กดี” พรมจูบดวงหน้าหวานไม่นึกรังเกียจเหงื่อของสตรี ก่อนจะดึงแก่นกายออก
ฟางเหนียงจึงดีใจที่บุรุษเมตตานาง หากแต่ต่อมาก็แทบกัดลิ้นตนเองเมื่อบุรุษจับขาของนางพาดบ่าข้างหนึ่ง แล้วเริ่มเด้งสะโพกโถมใส่ร่างของนางอีกครั้ง
ริมฝีปากพรมจูบทั่วเท้าของนางอย่างไม่นึกรังเกียจ แล้วอ้าปากกัดจนเลือดซึมออกมา ก่อนจะดูดเลือดของนางราวกับสัตว์ร้าย สตรีตัวน้อยคิดต่อต้านแต่มิอาจทัดทานบุรุษได้เลย
ทรวงอกกระเพื่อมไปตามแรงกระแทกอันดุเดือด สองมือยื่นออกไปกอบกุมมันอย่างย่ามใจ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเหยียดขาตรง ตอกกระแทกแก่นกายอย่างรุนแรง
“อ๊า อ๊า!!” สตรีแสนไร้เดียงสา บัดนี้ทำได้เพียงร้องครางเสียงหวาน แม้นางจะพยายามเม้มปากอดกลั้นเสียงนั้น แต่สัมผัสของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้กระตุ้นกำหนัดของนางเหลือเกิน
จินหมิงเยว่ไม่ปล่อยค่ำคืนนั้นให้ผ่านล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่าแม้แต่หนึ่งจิบน้ำชาเดียว ทั้งค่ำคืนนั้นจับร่างบอบบางพลิกคว่ำพลิกหงาย เคี่ยวกรำนางตลอดทั้งคืน
[1] เหมยกุ้ย = ดอกกุหลาบ
บทที่ 36รักผู้ใดมากกว่า“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้ามีนามว่าจินหมิงอัน เป็นบุตรชายของพวกท่านในชาติภพหนึ่ง”แม้จะเป็นเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้ว จากในห้วงแห่งความฝัน หากทว่าก็อดที่จะตกใจมิได้ที่อยู่ดีๆ ก็มีบุตรชายเติบโตอย่างงดงามเช่นนี้แล้ว“ท่านพ่ออาจจะจำข้ามิได้ ทว่าท่านแม่...” ดวงตาของจินหมิงอันนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ท่านจำข้าได้หรือไม่?”“ขออภัย ข้า...”“อ่า เป็นเช่นนั้น...” บุรุษหยักหน้าอย่างเชื่องช้า รู้ดีที่สุดว่านางคงไม่มีทางจำได้ หากแต่ยังคงคาดหวังจินหมิงอันเมื่อครั้นสูญเสียมารดานั้น ก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น เขายังสูงแค่เพียงอกของมารดาแต่กลับต้องขึ้นเป็นผู้นำดินแดน แบกรับความกดดัน แบกรับความเศร้าเสียใจจากการสูญเสียมารดาอย่างไม่มีวันหวนกลับมา เขาก็แค่...เด็กน้อยผู้หนึ่งที่คิดถึงไออุ่นของมารดาเท่านั้นเองช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาแม้มิได้อยู่ผู้เดียว มีท่านลุงซึ่งเป็นเทพอยู่บ
บทที่ 35ฝันเสมือนจริงฟางเหนียงรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่อยู่ภายในกายของนาง ความแข็งแกร่งของบุรุษเพศที่แทบจะทะลุทะลวงช่วงท้องของนาง ความเจ็บปวดที่ถูกทำลายเยื่อพรหมจรรย์เมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านในฉับพลัน นางเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง กลัวว่าจะเอื้อนเสียงอันน่าอายออกมาทว่ายิ่งบุรุษเร่งกระหน่ำเอวระรัว ราวกับมิอาจต้านทานมันได้จึงเผลอร้องครางเสียงหวาน นางยกมือขึ้นปิดปากด้วยความอับอาย แต่ก็ถูกจินหมิงเยว่คว้าข้อมือเล็กทั้งสองข้าขึ้นตรึงเหนือหัว พร้อมทั้งถาโถมสะโพกใส่นางไม่ยั้ง ราวกับเรียกร้องให้นางร้องครางออกมาดังๆ“อ๊ะ อ๊ะ ท่านพี่ อึก”“ข้าชอบเสียงของเจ้า ร้องสิ ร้องออกมาดังๆ”“อื้อ อ๊า นะ เหนียงเอ๋อร์ อาย อึก อายเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าจะช่วยมิให้เจ้าร้องออกมาชั่วคราว” เอ่ยจบก็ประกบริมฝีปากดูดกลืนเสียงหวานลงคอไป เพื่อช่วยมิให้นางครวญคราง แม้ว่าบุรุษจะชอบเสียงหวานครางกระเส่าก็ตามเร
บทที่ 34คืนวสันต์หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว จินหมิงเยว่ก็เทียวมาเที่ยวเล่นที่จวนสกุลฟางทุกครั้งที่มีเวลา กระทั่งถึงคราวผลัดเปลี่ยนอำนาจ ไท่จื่อได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ งานของจินหมิงเยว่ก็หนักขึ้นกว่าเก่าแต่ก็เป็นเกียรติกับวศ์ตระกูลวันหนึ่งจินหมิงเยว่มาหาฟางเหนียงเฉกเช่นที่ผ่านมา พูดคุยและดื่มน้ำชากับนางไม่ต่างไปจากวันอื่น ทว่าข่าวดีก็คือทั้งสองสกุลตกลงวันแต่งงานของพวกเขาได้แล้วงานแต่งงานของทั้งสองนั้นจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ผู้คนต่างเข้ามาร่วมยินดี เพราะคนทั้งคู่ต่างเป็นที่รักของคนในเมืองยามนั้นเองบุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในงานเลี้ยงมงคล บุรุษรูปงามจนน่าตกละลึง งดงามเสียจนราวกับไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ ฟางเหนียงเผลอจ้องมองอย่างเสียมารยาท เมื่อเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ก่อนจะสะบัดความคิดนั้นทิ้งไป หากเป็นคนที่นางเคยเจอไม่มีทางที่จะจำมิได้เป็นแน่ ก็รูปร่างหน้าตาโดดเด่นถึงเพียงนี้“อะแฮ่ม!” จินหมิงเยว่กระแอ่มไอ เมื่อเห็นฟางเหนียงจ้องมองบุรุษรู
บทที่ 33ให้โอกาสข้าได้หรือไม่จวนสกุลจินนี่เป็นครั้งแรกที่จินหมิงเยว่พิถีพิถันในการเลือกชุดที่จะสวมใส่ในวันนี้ กว่าจะออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจินหมิงเยว่ก็เตรียมตัวที่จะออกจากจวน หากแต่ทหารในสังกัดของไท่จื่อก็ได้มารายงานบางอย่างให้กับบุรุษ จินหมิงเยว่ขมวดคิ้ว ใบหน้าเคร่งเครียด...เหตุใดต้องเป็นตอนนี้ด้วย!...ท้ายที่สุดบุรุษก็รีบเดินทางไปยังพระราชวัง!ไท่จื่อเรียกจินหมิงเยว่มาอย่างกะทันหัน เนื่องจากได้รับข่าวจากทหารเฝ้ายามว่าพบเจอกับโจรป่าดักซุ่มจากการสอดแนมพบว่าพวกมันเตรียมที่จะบุกเข้าไปในเมืองหลวง ปั่นป่วนงานเทศกาลหยวนซีที่กำลังครึกครื้นไปด้วยอิสตรี อีกทั้งยังวางแผนที่จะลักพาตัวพวกนางได้ ได้ยินเช่นนั้นจินหมิงเยว่ก็มิอาจนิ่งเฉยได้ เพราะผู้ที่อาจจะถูกลักพาตัวอาจจะมีฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย ได้แต่หวังว่านางจะไม่รอเขาและไปเที่ยวงานเทศกาลอย่างสนุกสนานจินหมิ
บทที่ 32เฝ้ารอวันต่อมา ณ จวนสกุลฟางงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฟางเหนียงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทว่าฟางเหนียงเป็นสตรีน่าเอ็นดู และมีจิตใจดีและอ่อนโยนกับคนรอบข้างเสมอผู้คนต่างมาร่วมงานเลี้ยงนี้พร้อมกับของขวัญมากมาย นางได้รับความรักมากมายเหลือเกิน กระทั่งจินหมิงเยว่เดินเข้ามาในงานซึ่งส่วนใหญ่มีแต่สหายของฟางเหนียง“เหนียงเหนียง นั่นคือใครน่ะ?”“เขาช่างรูปงามเหลือเกิน”“นั่นมันบุตรชายสกุลจินมิใช่หรือ?”ฟางเหนียงหันไปมองผู้มาใหม่ ก่อนจะละจากทุกคนแล้วเดินไปต้อนรับจินหมิงเยว่ โดยมีสาวใช้ประคองเนื่องจากข้อเท้าของนางยังไม่หายดีสตรีตัวน้อยเตรียมที่จะคำนับบุรุษหากแต่จินหมิงเยว่กลับดึงเก้าอี้มาไว้ที่ด้านหลังของนางแล้วประคองให้นั่งลง พลางเอ่ยเสียงเบาอย่างเอาใจใส่“นั่งเถิด เจ้าบาดเจ็บอยู่ พิธีรีตองอะไรข้าไม่ถือสาหรอก อย่างไรก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว” บุรุ
บทที่ 31แรกพบสบตาหลังจากนั้นไห่ไท่หยางก็พานางไปยังพระราชวัง ก่อนที่บุรุษจะเดินหนีหายไป…ระหว่างที่ดำเนินการสำเร็จโทษนางนั้น ฟางเหนียงก็ได้ร่ายอาคมเพียงผู้เดียวเงียบๆ ยามนั้นท้องฟ้าแปรเปลึคล้ายกับจะเกิดพายุลูกใหญ่ ผู้คนต่างคิดว่ามันคือลางร้ายในที่สุดฟางเหนียงก็ร่ายอาคมสำเร็จ ลูกแก้วจิ้งจอกกำลังสูญสลายไปจากกายของนาง ความเจ็บปวดจากพิษงูที่แล่นพล่านอยู่ในร่างกายของนางชัดเจนขึ้นเรื่อย งูยักษ์ที่รู้สึกได้จึงเปิดเผยตัวตนกระโจนเข้าไปหมายจะแย่งลูกแก้วจิ้งจอก แต่ก็ถูกไห่ไท่หยางใช้ธนูอาบยาพิษพิเศษ เพื่อกำจัดปีศาจงูโดยเฉพาะยิ่งเข้าที่กลางหัวงูยักษ์ในร่างมนุษย์กลับคืนร่างเดิมสร้างความตกตะลึงให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไห่ไท่หยางไม่รอช้ารีบเข้าทูลต่อฝ่าบาทและไท่จื่อเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนี้ที่เขาทำไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นละครตบตา!!คืนก่อนมีบุคคลปริศนาบุกเข้ามาที่ห้องของไห่ไท่หยาง บุรุษเสียท่าให้มันจนโดนจับตัว ในตอนที่คิดว่าคงหมดหนทางแล้วกลับเจอกับบุ
บทที่ 30ข้ารักท่านเจ้าค่ะ“นางปีศาจร้าย!!”“คืนลูกชายข้ามา!!”ยามนั้นเองงูตัวหนึ่งอาศัยความวุ่นวายกลบกลิ่นอายของตนเองแล้วฉกเข้าที่ขาของนาง ฟางเหนียงตกใจอีกทั้งความเจ็บปวดด้านข้างจากขาไปทั่วทั้งร่าง คล้ายกับร่างของนางกำลังจะเป็นอัมพาต อิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของนางเสื่อมคลายลง มนุษย์กรูกันเข้ามาทำร้ายนางจนท้ายที่สุดก็ปางตาย…ร่างบอบบางนอนรวยรินหายใจหอบหมดสภาพของปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ผู้ครอบครองลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล แต่กลับไม่ใช้ป้องกันตนเอง เอาแต่เห็นอกเห็นใจมนุษย์ที่ทำร้ายตนเองจนท้ายที่สุดก็มีสภาพเช่นนี้…ช่างน่าขันเสียจริง แม่นางจิ้งจอก…บุรุษผู้หนึ่งในหมู่ชาวบ้านได้ห้ามทุกคน ในตอนแรกก็ไม่มีใครยอม พยายามทำร้ายนางเอาให้ถึงตาย ทว่าบุรุษผู้นั้นก็ได้เอ่ยว่าควรให้นางรับโทษกับทางการ เสียบหัวประจานที่กำแพงเมือง ด้วยเหตุนั้นพวกมนุษย์จึงยินยอมและพานางกลับไปยังหมู่บ้านสติของฟางเหนียงเลือ
บทที่ 29ปีศาจร้ายของมนุษย์“ท่านแม่ เหตุใดจึงตัวร้อนเช่นนี้?” จินหมิงอันร้อนรนใจยิ่งนัก ไม่เคยเลยที่จะเห็นมารดาในสภาพเช่นนี้ โดยส่วนใหญ่นางจะเข้มแข็งทว่าอ่อนโยนและใจดีเสมอ แม้บ้างครั้งจะน่ากลัวเวลาดุตนก็ตามฝ่ามือใหญ่ของบุตรสัมผัสผิวกายของมารดาด้วยความร้อนรนใจ ครั้นก่อนหน้ามีฮวาอิน ทว่านางลาคลอดไปหลายเดือนแล้ว เขาควรทำอย่างไรดี?“ตัวร้อนหรือ? ข้าขอเสียมารยาท” ไห่ไท่หยางขยับเข้ามาใกล้และถือวิสาสะสัมผัสหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา “นางไม่สบาย”“ไม่สบายหรือ เป็นอย่างไร ถึงแก่ชีวิตหรือไม่?”จินหมิงอันไม่รู้เลย แม้ในวัยเยาว์จะเคยไม่สบายอยู่บ้างแต่ก็นานมากแล้ว ส่วนมารดาก็ไม่เคยเจ็บปวดให้ได้เห็น มีทั้งลูกแก้วจิ้งจอกช่วยฟื้นฟู และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์“หากได้รับการรักษาก็ไม่ถึงชีวิต”ในสมัยนี้นั้นผู้คนล้มตายด้วยไข้หวัดธรรมดานั้นมีอยู่มาก เนื่องจากยาที่มิได้ดีหากมิใช่ยาดีจริงๆ ซึ่งมีราคาแพง อีกทั้งสมุนไพรยังเป็
บทที่ 28ตัวตนที่แท้จริงของนางจินหมิงอันนางไม่เป็นห่วงเท่าใดนัก เพราะรู้จากไห่ไท่หยางว่าบุตรชายของตนนั้นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ศูนย์รวมพลังของดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้ อีกทั้งภายในตัวของบุตรชายนั้นมีลูกแก้วจิ้งจอกอันสมบูรณ์ ไม่นานก็คงฟื้นตัวได้แต่กับตนเองนั้นแม้จะมีลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล หากแต่มิใช่ลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งเป็นพลังต้นกำเนิดของนาง ไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่อาศัยร่างของนาง การมีลูกแก้วจิ้งจอกทำให้นางทนความเจ็บปวดได้ ขนาดนางมีลูกแก้วจิ้งจอกยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าหากนางไม่มีมันจะเจ็บปวดเจียนตายที่ขนาดไหนหากเป็นบาดแผลธรรมดาลูกแก้วจิ้งจอกก็สามารถรักษาให้นางหายได้ในชั่วพริบตา หากแต่มันเป็นแผลที่เกิดจากปีศาจ อีกทั้งร่างกายของนางแต่เดิมทีแล้วนั้นเป็นเพียงมนุษย์ มันจึงค่อนข้างใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูฟางเหนียงบอกทางบุรุษมายังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดมานางเคยหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความทรงจำยากลืมเลือน นางเคยแช่อยู่ที่นี่พร้อมกับร่