เหยียนหลัวหวางก้าวเดินออกมาด้านนอกด้วยดวงตาแดงระเรื่อ สองมือโอบประคองก้อนเเสงกลมๆ อย่างทะนุถนอม หากรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าเทพจอมอันธพาลนั่นจะมาเยือน เขาคงพาอิ๋งอิ๋งน้อยไปซ่อนให้ไกลแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียนางให้แก่อีกฝ่ายเช่นนี้
ยิ่งคิดผู้ปกครองแดนนรกภูมิยิ่งยากจะทำใจ และในขณะที่กำลังจมอยู่กับความโศกานั่นเอง บุคคลในชุดดำและขาวคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ พร้อมเสียงทักทายแสดงความเคารพจากผู้มาใหม่
“คารวะเหยียนหลัวหวาง”
“เฮ่ยเสี่ยวอู่ เฮ่ยเสี่ยวฉาง” เหยียนหลัวหวางขานชื่อสองยมทูตตรงหน้า “พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว จงนำนางไปเกิดใหม่ที่เดียวกับตี้จวินโดยเร็วเถิด ชักช้าไปเวลาบนโลกมนุษย์จะทำให้คลาดเคลื่อนกัน”
เห็นสีหน้าสองยมทูตมีความงุนงง เหยียนหลัวหวางพลันนึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่เพิ่งมาถึงยังไม่รู้เรื่องราว จึงบอกเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ ก่อนจะตัดใจส่งลูกเเสงก้อนกลมในมือให้เฮ่ยเสี่ยวฉางรับไป จากนั้นพญายมราชจึงหมุนกายเดินกลับห้องทำงานตนเองทั้งน้ำตา เขาทำใจไปส่งนางด้วยตนเองไม่ได้จริงๆ
‘โธ่...อิ๋งอิ๋งน้อยของข้า’
เฮ่ยเสี่ยวอู่มองก้อนกลมที่สว่างเรื่อบนมือเฮ่ยเสี่ยวฉาง ก่อนจะมองหน้าสบตากันอย่างไร้คำพูดอยู่ครู่หนึ่ง บางทีเทพเจ้าบนสวรรค์ก็พิเรนทร์เสียยิ่งกว่ามนุษย์ ดูเอาเถอะ ขนาดเจ้ากระบองเพชรต้นไม้จากโลกมนุษย์ธรรมดาๆ ยังสามารถกลายมาเป็นคู่วาสนาของเทพบรรพกาลได้เลย เวรกรรม...
เวรกรรมของเจ้ากระบองเพชรต้นนี้น่ะนะ...
“พวกเรารีบไปกันเถอะ เวลาบนโลกมนุษย์นั้นเดินเร็วกว่าทางยมโลกมากนัก” เฮ่ยเสี่ยวอู่บอกสหายร่วมงาน รีบส่งไปเกิดให้ไวที่สุดจะดีกว่า เพราะยามนี้เจ้าลูกแสงกลมๆ ในมือพวกเขา ถือเป็นสิ่งเรียกหาภัยมาสู่ตัวได้อย่างดีเยี่ยม หากเกิดเหตุหรือมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาแล้วละก็ ตี้จวินผู้นั้นคงไม่ละเว้นพวกเขาทั้งสองเป็นแน่
สองยมทูตนำเจ้าก้อนแสงน้อยๆ ว่าที่คู่วาสนาของเทพบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่มายังด้านนอก บริเวณที่ต่อเเถวดื่มน้ำเเกงยายเมิ่ง พลางสอดส่ายสายตาหาสะพานที่ต้องการ
เท่าที่เหยียนหลัวหวางบอกกับพวกเขา ตามบทเเล้วตี้จวินจะลงไปเกิดเป็นคุณชายน้อยตระกูลคหบดีใหญ่ ด้วยความร่ำรวยเป็นเหตุทำให้ถูกปล้นฆ่ายกตระกูล ทว่าโชคดีที่ปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์ผ่านไปพบ และได้ช่วยเหลือพร้อมรับคุณชายเป็นศิษย์ของตนเอง เมื่อเติบใหญ่เขาฝึกวิชาสำเร็จจึงออกเดินทางตามหาศัตรูที่ฆ่าล้างสกุลตนเพื่อแก้แค้น
ส่วนวิญญาณกระบองเพชรน้อยจะถูกส่งไปเกิดเป็นบุตรสาวของตัวการใหญ่ ทั้งสองคนพบหน้าและตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เมื่อความรักล้ำลึกจนยากจะตัดใจ ความจริงกลับปรากฏขึ้นบีบคั้น บิดาของอีกฝ่ายคือศัตรูที่ต้องชำระแค้นให้ได้ ทว่าผู้ที่ขวางหน้าศัตรูอยู่นั้นคือสตรีที่เขารักสุดชีวิต
ทางด้านหญิงสาวเองก็จนใจไม่น้อย เพราะไม่อาจปล่อยให้คนรักสังหารผู้ให้กำเนิด นางจึงจำต้องขวางทางดาบชายหนุ่มทั้งน้ำตา แต่เมื่ออาวุธถูกฟาดฟันออกไปแล้วย่อมไม่อาจรั้งกลับคืน และเมื่อนางสิ้นชีพลงเขาก็จมอยู่กับความรักที่ไม่สมหวังไปตลอดชีวิต
‘อืม...บทละครคราวนี้ซื่อมิ่งเขียนได้ดียิ่งนัก อย่างน้อยก็ดีกว่าคราวเหยียนหลัวหวางที่ถูกวางบทให้เป็นขันทีแอบหลงรักผู้เป็นนาย โดยไท่จื่อที่เขาหลงรักก็คือองค์เง็กเซียนที่ลงมาเผชิญด่านเคราะห์พร้อมกันนั่นเอง’
แน่นอนว่าสิ่งที่เฮ่ยเสี่ยวอู่กับเฮ่ยเสี่ยวฉางไม่รู้ก็คือ เทพชะตาซื่อมิ่งผู้น่าสงสารนั้นต้องถูกกระชากคอบังคับให้เขียนอยู่สามราตรีเต็มๆ เพื่อที่จะให้ได้บทละครเรียบง่ายและตรงใจท่านเทพจอมวายร้าย...
เฮ่ยเสี่ยวฉางยืนนิ่งต่อเเถวสะพานอนิจจังเพื่อรอที่จะนำเจ้าก้อนแสงในมือไปส่ง ส่วนเฮ่ยเสี่ยวอู่นั้นยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อนร่วมงานคอยสังเกตรอบด้านอย่างไม่ไว้ใจ เพราะอะไรกันนะ ทำไมวันนี้เขาถึงมีความรู้สึกว่าหางตามันกระตุกแปลกๆ ชอบกล
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่แถวก็เคลื่อนมาจนถึงเฮ่ยเสี่ยวอู่ ยมทูตชุดดำยื่นมือมารับลูกแสงจากมือคนข้างหลัง เฮ่ยเสี่ยวฉางเองก็กำลังจะส่งวิญญาณดวงสำคัญให้เพื่อนร่วมงาน ทว่าฉับพลันนั้นกลับมีแรงกระเเทกจากด้านหลังมาชนถูกเขาอย่างแรง
“เหวอ...”
เสียงร้องอุทานตกใจดังขึ้น พร้อมกับร่างในรูปลักษณ์ชราของเฮ่ยเสี่ยวฉางเซถลาไปด้านหน้า เจ้าก้อนเเสงที่ถืออยู่ในมือก็กระเด็นไกลไปในอากาศ พุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับสะพานที่พวกเขาต้องส่งเจ้าวิญญาณไร้ลักษณ์นี่ข้ามไป ทั้งคู่เงยใบหน้าขึ้นมองตามสิ่งที่กระเด็นลอยไปกลางอากาศดวงตาไม่กะพริบ ถ้าหากทำคู่วาสนาตี้จวินผู้ชั่วร้ายนั่นสูญหาย พวกเขาต้องถูกเทพจอมอันธพาลนั่นทุบตีจนตายเป็นแน่!
เฮ่ยเสี่ยวฉางเเละเฮ่ยเสี่ยวอู่ต่างคิดตรงกันในใจโดยไม่ต้องนัดหมาย ดังนั้นร่างหนึ่งขาวหนึ่งดำจึงกระโดดตัวลอยเข้าหาเจ้าลูกแสงกลางอากาศทันที โดยเฉพาะเฮ่ยเสี่ยวอู่นั้นแทบไม่ได้มองดูเพื่อนร่วมงานแม้แต่น้อย เขาลอยตัวยื่นมือเพื่อคว้าเจ้าก้อนแสงที่อยู่ตรงหน้า พลางแสดงท่าทางโล่งอกโล่งใจเมื่อเห็นว่าของสำคัญยังอยู่ดี ทว่า...
โป๊ก!
ตุ้บ!
เฮ่ยเสี่ยวฉางที่กระโดดตามมาติดๆ พลันพุ่งร่างเอาหัวโหม่งใส่เพื่อนร่วมงานอย่างหยุดไม่อยู่ ก่อนจะพากันร่วงหงายหลังก้นกระเเทกพื้น เจ็บจนหน้าตาเหยเก
“เฮ่ยเสี่ยวฉาง ไอ้เจ้ายมทูตเซ่อซ่า นี่เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไรกัน!”
เฮ่ยเสี่ยวอู่ร้องตวาดด่าอีกคนอย่างเหลืออด หลังจากถูกสหายกระโดดเอาหัวพุ่งปะทะกลางอากาศ จนร่วงหล่นก้นกระแทกพื้น นอนแอ้งแม้งหมดสภาพ ท่ามกลางสายตาของเหล่าวิญญาณในบริเวณนั้น
ในขณะเดียวกันเฮ่ยเสี่ยวฉางเองก็ร้องโอดโอย เจ้าตัวพยายามลุกจากพื้นด้วยท่าทีทุลักทุเล ก่อนจะปัดเศษดินออกจากก้นน้อยๆ ของตนเอง พลางบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก
“ก็ข้าเป็นห่วงวิญญาณกระบองเพชรน้อยนี่นา เจ้านั่นแหละ รู้ว่าข้าจะพุ่งมาเหตุใดจึงไม่หลบกันเล่า”
เฮ่ยเสี่ยวอู่ฟังแล้วถลึงดวงตาโปนแทบหลุดออกจากเบ้า เจ้าเพื่อนร่วมงานที่เเสนโง่เง่าเกินบรรยายนี่ เขาถูกอีกฝ่ายชนจากด้านหลังจะไปมองเห็นได้อย่างไร ที่สำคัญอีกฝ่ายยังคิดจะให้ผู้ถูกชนเป็นคนหลบอีกอย่างนั้นหรือ ไอ้เจ้ายมทูตไร้หัวคิดเอ๊ย ต้องถูกจับให้เป็นคู่หูกับยมทูตไร้สมองเช่นนี้ช่างเป็นอะไรที่โชคร้ายจนเปรียบไม่ได้เลยทีเดียว
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเป็นสีดำสนิท หยาดฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายราวม่านน้ำตก เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะสลับกับสายลมที่กรรโชกแรง หยูหนิงในร่างลูกสุนัขจิ้งจอกกำลังยืนหอบหายใจหนักหน่วง ด้านหลังของร่างเล็กคือผาหินอันไร้หนทางให้หลบหนี ส่วนเบื้องหน้ามีเจ้าสัตว์ร้ายลำตัวยาวเหยียดกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดุร้ายสายลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างเล็กจ้อยที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่สะท้านสะเทือนหัวใจ หยูหนิงอดที่จะร้องครางเสียงแผ่วออกมาไม่ได้ ทว่าน่าเสียดายนัก ท่าทางอันน่าสงสารที่แสดงออกนั้น ไม่สามารถเรียกความเห็นใจจากเจ้าอสรพิษตรงหน้าได้แม้แต่น้อย มันยังคงจ้องมองเธอประหนึ่งเหยื่ออันโอชะ ลิ้นสีแดงแลบตวัดผ่านจมูกเปียกชื้นราวกับต้องการชิมรสชาติเจ้าตัวน้อยตรงหน้า เห็นอย่างนี้หยูหนิงอยากจะบอกกับมันเสียเหลือเกินว่าพี่ชาย ถึงนายจะกินฉันลงไปก็ไม่ทำให้อิ่มท้องได้หรอกนะ แถมกระดูกอาจจะไปติดซอกฟันเอาเสียเปล่าๆมองการจากไปของครอบครัวตัวเองในชาตินี้ หยูหนิงก็อดนึกสะท้อนในใจไม่ได้ แม้จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงไม่นาน แต่ความผูกพันย่อมเริ่มก่อตัว ความอาลัยมีหรือจะไม่มีได้ คิดไปเธอพลันเร
ปลายเดือนหกสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาด ในหุบเขามังกรฟ้าที่เงียบสงบมีเพียงจวินเทียนเฮ่อที่พักอาศัย หลายปีก่อนหน้านี้อาหม่าที่ติดตามเขาได้ถึงแก่กรรมไปตามวัย ทำให้ที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาพำนักอาศัย วิชาที่อาจารย์สอนสั่งมานับเป็นเลิศหาใดเปรียบ จวบจนทุกวันนี้ตัวเขาคล้ายจะหยุดอายุขัยไว้ที่วัยยี่สิบกว่าปีเท่านั้นดวงตาคู่เรียวเหม่อมองฝ่าสายฝนที่บดบังทัศนวิสัย เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นเป็นบางเวลา จวินเทียนเฮ่อบอกกับตัวเองท่ามกลางความเงียบงันว่า การเฝ้ารอคอยบางครั้งก็เนิ่นนานชวนให้รู้สึกว่ายากจะทานทนเสียจริง“เสี่ยวฉาง นี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันแน่” หยูหนิงก้าวเดินตามสองยมทูตไปในความมืดอย่างไม่รู้ทิศทาง ช่วงหลายวันมานี้เฮ่ยเสี่ยวอู่กับเฮ่ยเสี่ยวฉางเอาแต่ซุบซิบกันตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยกันปิดบังจนทำให้เธอเกิดความรู้สึกกังวลอย่างประหลาด ในใจก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆเฮ่ยเสี่ยวฉางก้าวนำด้วยรอยยิ้มสดชื่น มุมปากโค้งเป็นแนวกว้างอย่างอารมณ์ดี หลังจากคิดหาหนทางอยู่เป็นนาน ในที่สุดพวกตนก็พบวิธีดีๆ ที่จะทำให้ด่านเคราะห์ของตี้จวินผ่านพ้นไปได้ ในขณะที่สหายกำลังอยู่ในความเบิกบาน เฮ่ยเสี่ยวอู่ก
แดนสวรรค์...นอกจากเทพซื่อมิ่งแล้วยังมีอีกหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวอยู่ ซึ่งก็หาใช่ผู้ใดใครอื่น แต่เป็นประมุขสวรรค์นายของเขานั่นเอง เง็กเซียนมองเรื่องราวที่จบลงด้วยดีอย่างไม่พอใจ เจ้าเอ้อร์หลางนั่นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ตนอุตส่าห์ชักนำให้มาพบกับมารดามนุษย์ของตี้จวินแล้วแท้ๆ แต่กลับจัดการไม่ได้แม้แต่วิญญาณต้นไม้ธรรมดาดวงหนึ่ง“หากเจ้าวิญญาณต้นไม้นั่นมีอันเป็นไป ตี้จวินก็จะไม่มีทางผ่านด่านเคราะห์ เขารับคำสาบานไปแล้วย่อมไม่กล้าตระบัดสัตย์กลับคืนแดนเทพ ข้าก็จะไม่ต้องมีตัวหายนะเป็นหนามยอกอก เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับถูกเจ้าเอ้อร์หลางทำเสียหายได้ น่าโมโหนัก น่าโมโหที่สุด” ผู้ปกครองแดนสวรรค์บ่นพึมพำสบถกับตนเองลั่นตำหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองผู้ใต้บังคับบัญชาเซียนรับใช้หลายนางพากันก้มหน้าลงต่ำ แม้แต่ผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา พวกเขาล้วนรู้นิสัยไร้เหตุผลของเจ้านายดี จึงไม่มีใครคิดอยากวุ่นวาย ดูท่านเทพเอ้อร์หลางเป็นตัวอย่างก็น่าจะเข้าใจ เพราะเพียงแค่ความเห็นไม่ลงรอยยังถูกโยนข้อหาใส่ ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรมอยู่บนโลกมนุษย์เลยเทพซื่อ
หยูหนิงที่หนีออกมานั้นกำลังมืดแปดด้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเพิ่งจะหลบหนีออกมาจากเขตอาคมของนักพรตได้อย่างง่ายดาย ในหัวมีเพียงคำพูดของไป๋เฟิ่งที่ร้องเตือนให้ซ่อนตัวเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะไม่ทำตาม ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าการชำระวิญญาณที่นักพรตนั่นเอ่ยถึง จะเป็นการส่งไปเกิดใหม่หรือทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายกันแน่ร่างเล็กทะยานไปในอากาศ ดวงตากลมหรี่ลงครุ่นคิด สุดท้ายก็มุ่งหน้าไปทางเรือนมู่ตานที่คุ้นเคย “ที่ที่อันตรายคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เธอยังคงเชื่อมั่นในประโยคนี้ ความมั่นใจจึงล้นปรี่อีกครั้งยามกระโดดข้ามผ่านขอบหน้าต่างเข้าสู่ห้องนอนของเจ้าของเรือน ยังไม่ได้พูดคุยกับคนที่สู้อุตส่าห์ติดตามมาแม้แต่คำเดียว แล้วใครเล่าจะยอมจากไปโดยไม่คิดขัดขืน“ยังไม่ได้คุยกันสักคำ ใครจะยอมทำตามเล่า นักพรตบ้า”เทพซื่อมิ่งได้ยินวาจาพึมพำความในใจก็นึกขบขันจนหัวร่องอหงาย นางต้นไม้นี่ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ บอกว่ามาเพื่อบุรุษก็ทำดั่งพูดจริงๆ ไม่มัวมานั่งอายขวยเขิน มุ่งตรงหาเป้าหมายอย่างแน่วแน่ แม้แต่ในยามคับขันก็ยังไม่ลืมเหตุผลของตน สตรีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนักกับท่านเทพอันธพาลคิ้วเรียวยาวถูกเจ้าขอ
เมื่อยามค่ำมาเยือนภายในบ้านสกุลจวินเงียบสงบไร้เสียงอึกทึก ทว่านั่นเป็นเพียงมุมมองในด้านของมนุษย์เท่านั้น เพราะในมุมมองโลกที่สามเวลานี้มีสองดวงวิญญาณกำลังเคลื่อนที่ตามกันไม่ห่างโดยมีสตรีเป็นผู้นำ ดวงวิญญาณของหญิงสาวก็คือหยูหนิงนั่นเอง และแน่นอนว่าวิญญาณบุรุษที่อยู่ด้านหลังย่อมเป็นไป๋เฟิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย“หยูหนิงหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าบอกว่ามีวิธีช่วยให้ข้าสมหวัง”ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นไหว ดวงตาเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกจับจูงโดยคนข้างหน้าไม่กะพริบ วิญญาณไม่มีเลือดเนื้อและร่างกายจึงไร้ความรู้สึก ทว่ามือที่ถูกเกาะกุมนั้นกลับมีความอบอุ่นไปจนถึงจิตใจ“ใช่แล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีของเจ้าเลยรู้หรือไม่” เสียงใสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีครั้งแรกที่หยูหนิงเอ่ยปากเรื่องช่วยเหลืออีกฝ่าย เธอยังคิดว่าคงต้องรอจนสองยมทูตกลับมา ไหนเลยจะบังเอิญมีเรื่องโชคดีเข้ามาก่อน เห็นไป๋เฟิ่งมีสีหน้างงงวยหยูหนิงจึงอมยิ้มพลางอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดที่แท้เมื่อสามวันก่อนบุตรชายของลูกผู้น้องญาติห่างๆ นายท่านจวินได้เดินทางจากบ้านเดิมมาขอพักพิงชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบเป็นจิ้นซื่อที่จะถึงในปีนี้ ไป๋เฟิ่
เวลาผ่านไปหลายวันภายในบ้านสกุลจวินยังคงเงียบสงบ เนื่องจากหลิวซีเยี่ยนได้รับคำแนะนำจากท่านนักพรตให้หยุดเรื่องพิธีดูตัวเอาไว้ก่อน จึงไม่มีเหตุผลให้วิญญาณร้ายต้องปรากฏตัวมาไล่ตัดวาสนาดอกท้อหญิงสาวเหล่านั้น อีกทั้งสองยมทูตเองก็ยังไม่สามารถปลีกตัวมาหาได้ ทำให้หยูหนิงในตอนนี้มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งเสวนากับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา‘ไป๋เฟิ่ง’ คือนามของผู้มาใหม่ วิญญาณบัณฑิตหนุ่มผู้สิ้นชีพลงในวัยเพียงแค่ยี่สิบปี ซึ่งแฝงตนมากับโต๊ะเขียนหนังสือไม้สลักเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่นายท่านจวินเพิ่งจะได้มาครอบครอง ไป๋เฟิ่งเองก็ได้เล่าถึงสาเหตุที่ตนเองต้องมาผูกติดอยู่กับโต๊ะตัวนี้ให้หยูหนิงฟังอย่างละเอียดแต่เดิมยามเป็นมนุษย์ไป๋เฟิ่งเกิดในสกุลไป๋ที่เป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่แห่งต้าเหลียว บรรพบุรุษของเขาทุกรุ่นล้วนแต่รับราชการ อุทิศตนเพื่อบ้านเมืองมาตลอด เมื่อมาถึงยุคสมัยของตัวไป๋เฟิ่งก็ยังมีพี่ชายที่เป็นความหวังของบ้าน ทว่าก่อนวันสอบเพียงไม่กี่วัน ไป๋มู่ผู้เป็นพี่ชายก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนเพราะไม่อาจทนมองบิดามารดาผู้เฒ่าจมอยู่กับความผิดหวัง ไป๋เฟิ่งที่เดิมร่างกายอ่อนแอจึงตัดสินใจสืบทอดเจต