" พี่ใหญ่ ท่านจะพาข้าไปอยู่ที่จวนของท่านรึ"
" ก็ใช่หน่ะสิ จวนของพี่ใหญ่เจ้ากว้างขวางไม่น้อยไปกว่าจวนของเยี่ยนเฉิง เจ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมบอกพี่ชายคนนี้ได้เลย"
" พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากไปอยู่ที่จวนของท่าน"
" ทำไมหล่ะ หรือว่าเจ้ายังอาลัยอาวรณ์เยี่ยนเฉิงอยู่ เหยียนเอ๋อ เขาทำกับเจ้าถึงเพียงนี้เจ้ายังอยากกลับไปอยู่กับเขาอีกรึ"
" ไม่ใช่ ข้าไม่มีทางกลับไปหรอก เขาไม่สนใจข้า ผลักข้าลงน้ำด้วยมือของเขาเองทั้งที่รู้ว่าข้าว่ายน้ำไม่เป็น ยังสั่งห้ามบ่าวไพร่ช่วยข้าขึ้นมาอีก เขาจงใจให้ข้าตายเหตุใดข้าถึงต้องกลับไปหาเขาด้วย ข้าไม่ได้โง่ขนาดไม่รักตัวเองหรอกนะ"
" เหยียนเอ๋อ ข้ารู้ว่าเจ้ารักเยี่ยนเฉิงมาหลายปี อยู่ดีๆจะตัดใจให้เลิกรักมันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจะทำใจได้"
" อืม ถึงข้าจะรักเขา แต่อีกไม่นานมันจะกลายเป็นอดีต รักได้ก็เลิกรักได้เช่นกัน พี่ใหญ่ที่ข้าบอกว่าไม่อยากไปพักที่จวนของท่าน เพราะไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องนี้ ข้าไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจรวมทั้งเรื่องที่ข้าหย่ากับเขาด้วย"
" จริงด้วย ข้าลืมไปว่าตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ที่จวน หากพวกท่านรู้เรื่องต้องเป็นกังวลมากแน่ งั้นเจ้าไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมก่อน รอให้ท่านทั้งสองกลับไปก่อนแล้วค่อยย้ายไปพักที่จวนของข้า"
" อืม"
โจวเยี่ยนเฉิงเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องของซูซินเหยียน ตั้งแต่แต่งงานกับนางมาเขาพึ่งมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งแรก มองดูห้องที่ว่างเปล่า ใจของเขาพลันรู้สึกหน่วงแปลกๆ สายตามองไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา เขาเดินไปหยิบขึ้นมาดู เป็นหนังสือหย่า เขาสัญญากับบิดามารดาไว้แล้วไม่ว่ายังไงก็จะมีนางเป็นฮูหยินแค่คนเดียว ถึงนางไม่อยู่ก็ไม่มีใครมาแทนที่นางได้ ส่วนถานลี่หลินถึงเขาจะรักนางและได้นางเป็นภรรยาแล้ว แต่นางก็เป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียง หากจะยกย่องนางด้วยฐานะของนางเป็นมากสุดก็ได้แค่อนุเท่านั้น ตอนนี้เขากำลังสร้างผลงานเป็นที่จับตาดูของทุกคนในราชสำนัก หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หรือมีคนรู้ว่าเขาแต่งงานได้ไม่ถึง10วันก็ต้องหย่า ผู้คนจะนินทาหัวเราะเยาะขนาดไหน ย่อมมีผลต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่ได้ หย่าไม่ได้ เขาต้องรักษาภาพลักษณ์ แคว่กแคว่ก เขาฉีกหนังสือหย่าทิ้งแล้วเดินออกจากห้องไป
" สือหลาง เจ้าไปสืบมา ว่าซินเหยียนไปอยู่ที่ไหน"
" ไม่ใช่นางอยู่ที่จวนของคุณชายตงหยางหรือขอรับ "
" เป็นไปไม่ได้ บิดามารดาของนางยังไม่ได้กลับ ตอนนี้ยังพักอยู่ที่นั่น นางไม่มีทางให้บิดามารดารู้เรื่องนี้หรอก "
ใช่ อย่างน้อยก็น่าจะอีกสักพัก
" ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"
ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มีวี่แวว ไม่รู้ว่าซูซินเหยียนไปพักอยู่ที่ใด โจวเยี่ยนเฉิงยกเหล้าขึ้นดื่ม
" ข้าหาจนทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วแต่ก็ไม่มีเบาะแสของนางเลย เป็นไปได้ไหมขอรับว่านางอาจออกจากเมืองหลวงไปแล้ว"
" เจ้าแน่ใจว่าหาดีแล้ว โรงเตี๊ยมทุกแห่งค้นดูแล้วหรือยัง"
" นายท่าน ข้าเพียงแค่สอบถามไม่ได้ค้นขอรับ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น อยู่ดีๆไปค้นมั่วซั่ว ผิดกฏหมายนะขอรับ"
" ถ้าอย่างงั้นนางก็คงอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่ก็โรงเตี๊ยมสักที่ ตงหยางต้องติดสินบนเจ้าของที่พักไว้แน่ว่าห้ามเปิดเผย เจ้าให้คนไปเฝ้าหน้าโรงเตี๊ยมทุกแห่ง ต้องมีวันนึงที่นางออกมา ไม่ก็ตงหยางต้องไปหานาง"
" ขอรับ"
ถานลี่หลินแอบฟังอยู่หน้าประตู พอสือหลางจะเดินออกมา นางก็รีบเดินหลบไป เจ็บใจนัก ตั้งแต่ซูซินเหยียนจากไป โจวเยี่ยนเฉิงก็เอาแต่ดื่มเหล้าไม่สนใจนาง หมกมุ่นอยู่กับการตามหาซูซินเหยียน นางปรับสีหน้าก่อนเดินเข้าไปหาเขา
" นายท่าน ข้าเอาขนมมาให้เจ้าค่ะข้าทำเองใหม่ๆเลย"
" ขอบใจ เเต่ข้าต้องไปทำงานไม่มีเวลากินเจ้ากินเถอะ"
เห็นนางทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะหยิบขนมในจานขึ้นมากัดกินไปคำหนึ่ง
" อืม อร่อยมาก แต่ข้าไม่ค่อยชอบของหวาน ข้าต้องไปทำงานก่อน ช่วงเย็นกลับมาจะพาไปเดินเล่นที่ตลาด เห็นเจ้าบ่นว่าอยากได้ชาดทาปากไม่ใช่เหรอ"
" ท่านจะซื้อให้ข้าเหรอเจ้าคะ"
" อืม รอข้ากลับมาจะพาไป"
" เจ้าค่ะ ข้าจะรอท่าน"
เขาลูบหัวนางอ่อนโยน แล้วเดินออกจากห้องไป
" คุณหนูขอรับ นี่เป็นของที่เมิ่งกุ้ยเฟยพระราชทานให้ขอรับ ทรงฝากคุณชายตงหยางมาให้ท่าน เพื่อใส่ไปร่วมงานเลี้ยงในวัง คุณชายให้ข้านำมาให้ท่านแทน"
" เหตุใดคุณชายถึงไม่นำมาให้คุณหนูเองหล่ะ"
" คุณชายมีภารกิจต้องไปสืบคดีที่นอกเมืองยังไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด เลยให้ข้านำมาให้คุณหนูแทน"
" อืม ขอบใจเจ้ามาก"
ซูซินหยวนพยักหน้ายิ้มให้บ่าวรับใช้ของพี่ชาย ซูตงหยางพี่ชายของนางเป็นหัวหน้ากองปราบ ต้องออกไปสืบคดีบ่อยครั้ง บางครั้งไปนานหลายเดือนก็มี ครั้งนี้ไม่รู้จะไปนานขนาดไหน
" จริงสิขอรับคุณหนูข้าเกือบลืมไป นายท่านกับฮูหยินฝากข้ามาบอกท่าน ว่าพรุ่งนี้จะเดินทางกลับผิงอันแล้วขอรับ"
" ฝากบอกพวกท่านด้วยว่าให้รอข้าก่อน ข้าจะไปส่งพวกท่าน"
" ขอรับคุณหนู"
" คุณหนูเปิดหีบดูสิเจ้าคะ ว่าเมิ่งกุ้ยเฟยมอบอะไรให้ท่าน"
ซูซินเหยียนเปิดหีบไม้ออกดู ก็เห็นชุดสีขาวสลับชมพูอ่อนประดับด้วยดิ้นทอง ปักลายดอกเหมย ดูเรียบง่ายแต่สวยหรู
" ว้าวชุดงามมากเจ้าค่ะ เมิ่งกุ้ยเฟยคงอยากให้ท่านใส่ชุดนี้ไปร่วมงานชมบุพผาที่ใกล้จะถึงแน่ๆ คุณหนู ท่านลองใส่ดูเลยสิเจ้าคะว่าพอดีกับท่านไหม"
ลู่หนิงช่วยซูซินเหยียนใส่
" งามมากเจ้าค่ะ เหมาะกับคุณหนูที่สุด แต่ข้ารู้สึกว่ามันจะแน่นๆไปหน่อยไหมเจ้าคะหากหลวมกว่านี้หน่อยจะได้ไม่อึดอัด"
" ข้าอึดอัดมาก ชุดคับไปหน่อย ต้องเป็นเพราะข้าอ้วนขึ้นแน่ๆเลย"
" ใครว่าหล่ะเจ้าคะ เมื่อก่อนคุณหนูอยู่สถานศึกษา ท่านผอมไปเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ท่านแค่อวบอิ่มขึ้นมา ดูมีน้ำมีนวลดีออกเจ้าค่ะ "
ซูซินเหยียนมองดูตัวเองในกระจกเงา แก้มของนางป่องๆ แขนขาของนางก็ดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น โดยเฉพาะตรงหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ครั้งสุดท้ายที่เจอเมิ่งกุ้ยเฟยก็เมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นนางยังเรียนอยู่ในสำนักศึกษา เมิ่งกุ้ยเฟยไปเที่ยวทะเลสาปตงไห่กับฮ่องเต้ ขากลับเลยแวะไปหามารดาของนางและยังไปหานางที่สำนักศึกษาด้วย ตอนนั้นนางยังผอมๆอยู่เลย งานแต่งของนางเมิ่งกุ้ยเฟยป่วยเลยไม่ได้มา แต่ให้คนนำของขวัญมาให้มากมายชุดที่นางใส่อยู่นี่ก็คงกะขนาดจากหุ่นของนางเมื่อสองปีก่อน แล้วบอกช่างตัดเย็บ ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้ พอนางสวมใส่แล้วก็เลยดูคับแน่นไปหน่อย ไม่สิ แน่นมากเลยแหละ
" ข้าว่าไปให้ร้านแก้ให้ดีกว่าเจ้าค่ะ จะได้ใส่สบาย ยังมีเวลาอีกสามวันกว่าจะถึงงานเลี้ยงชมบุพผา"
" อืม งั้นรีบเอาไปตอนนี้เลยจะได้แก้เสร็จเร็วๆ ยิ่งใกล้วันงานร้านตัดเย็บคงต้องวุ่นวายมากแน่"
สตรีหลายคนล้วนต้องเข้าร้านไปตัดเย็บชุดใหม่กันทั้งนั้น น้อยคนที่จะเลือกซื้อแบบที่ตัดเย็บไว้แล้ว หลังเปลี่ยนชุดออก นางกับลู่หนิงจึงไปที่ร้านฝูหลง ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าขนาดใหญ่ขึ้นชื่อของเมืองหลวง มีช่างฝีมือดีหลายคน ทั้งนางสนมในวังและเหล่าฮูหยินคุณหนูจากจวนสูงศักดิ์ต่างก็เลือกใช้บริการร้านนี้
ป๋อเหวินมองดูหน้าซูซินเหยียน เขามีท่าทีครุ่นคิดหนัก ซูซินเหยียนรู้จักเขาดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนมากๆ เขารักสงบ ป่าเขาคือบ้านของเขา" กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันกับพี่เหวินทรงทราบดีในพระมหากรุณาธิคุณ แต่พี่เหวินไม่ชอบชีวิตวุ่นวายในเมือง เขาเคยชินกับการอยู่ที่บ้านป่า ที่นั่นสงบและดูปลอดภัยสำหรับเขา เรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวัง ทุกคนต่างรู้ดี วันนี้เป็นฮองเฮาแต่วันหน้าใครจะรับรองได้ ว่าอาจจะมีสนมคนใดคิดทำร้ายเอาชีวิตเขาอีก ไม่ก็อาจพุ่งเป้ามาที่ลูกของหม่อมฉัน อีกอย่าง พระองค์ก็เห็นว่าเขาหน้าตาเป็นแบบนี้ ถ้าเข้าวังต้องมีคนนินทาหัวเราะเยาะเขา รังเกียจเขา มองเขาด้วยสายตาสมเพช แม้พระองค์จะออกรับสั่งว่าห้ามใครพูดถึงเขาในทางไม่ดี ห้ามล้อเลียนเขา แต่ลับหลังหล่ะ ใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ถูกดูหมิ่น ขอพระองค์โปรดเมตตาด้วยเพคะ หม่อมฉันกับพี่เหวินเพียงต้องการใช้ชีวิตที่สงบสุขในบ้านป่า"หย่งเค่อคิดตาม เห็นด้วยกับคำพูดของซูซินเหยียน" ท่านเองก็อยู่ที่นี่เถอะ หากอยากไปหาข้ากับเหยียนเอ๋อก็ไปได้ทุกเมื่อ"ป๋อเหวินบอกกับเมิ่งกุ้ยเฟย นางน้ำตาไหลเข้าไปโอบกอดป๋อเหวินแน่นหลายเดือนผ่านไป ป๋อเหวิน
" แต่องครักษ์เสื้อทอง เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของฮองเฮา เรื่องนี้"ซูตงหยางไม่กล้าพูดต่อ มองดูหน้าของฮ่องเต้ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หากมีการสอบสวนจริงๆ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ดันไปพัวพันกับฮองเฮาอีก เขาพอจะมองเรื่องราวออก ฮองเฮาอิจฉาริษยาเมิ่งกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ จึงส่งคนไปลอบสังหาร ตอนที่นางเดินทางไปปินเฉิงและเพื่อให้เนียน จึงต้องทำร้ายฮ่องเต้ด้วยแล้วยังไม่พอ คิดจะกำจัดให้สิ้นซาก กลัวว่าโอรสของเมิ่งกุ้ยเฟยจะมีโอกาสกลับมา แล้วจะแย่งตำแหน่งรัชทายาทกับโอรสของตัวเอง จึงส่งองครักษ์เสื้อทองไปตามหาจนพบ และจัดการสังหารทิ้ง แต่สวรรค์ก็ให้ป๋อเหวินยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นคนอัปลักษณ์ตาบอดข้างนึงเมิ่งกุ้ยเฟยคุกเข่าลงร้องไห้" เจ้าจะทำอะไรลุกขึ้น"" ไม่เพคะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงเมตตาโปรดคืนความเป็นธรรมให้ข้ากับลูกด้วย องครักษ์เสื้อทองเป็นองครักษ์ของฮองเฮา ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ฮองเฮาใช้อำนาจในทางที่ผิด คิดกำจัดหม่อมฉันกับลูก หม่อมฉันคิดว่าเหตุการณ์ลอบสังหารที่ปินเฉิงในครั้งนั้น ก็คงเป็นคำสั่งของฮองเฮา"" เจ้าลุกขึ้นก่อน เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง จะคืนความเป็นธรรมให้เจ้ากับล
" เวลานี้สองคนนั่นอยู่ที่ไหน พวกเขาสบายดีไหม"" พวกเขา จากไปตั้งนานแล้ว"" เจ้าว่าอะไรนะ จากไป หมายความว่าพวกเขา"" พวกเขาจากไป ตั้งแต่ข้าได้เพียงสี่ปีเท่านั้น"เพราะปกป้องเขา บิดามารดาของเขาถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแสนสาหัสในครั้งนั้นอีก" เกิดอะไรขึ้น เจ้าเล่าให้ข้าฟังที"" ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาอยากรู้เรื่องของข้าทำไม ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่อยากเล่าถึงอดีตอีก มันโหดร้ายแสนสาหัสสำหรับข้าข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก"" อย่างงั้นเจ้าก็ยิ่งต้องเล่าให้ข้าฟัง"" ฝ่าบาทเพคะ ให้หม่อมฉันพูดกับเขาเอง"" อา อาเหวิน"ป๋อเหวินขมวดคิ้วจ้องมองเมิ่งกุ้ยเฟย ที่เรียกชื่อเขาน้ำตาไหลพราก" คนที่เจ้าเรียกเขาว่าพ่อแม่ พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ข้าเอง"ไม่เพียงป๋อเหวินที่ตกตะลึง แต่ทุกคนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน" เสี่ยวชุ่ยเป็นนางกำนัลคนสนิทของข้า ส่วนป๋อซื่อหานเป็นองครักษ์ของข้า ชื่อเสี่ยวชุ่ยกับป๋อซื่อหาน เป็นชื่อเดิมของพวกเขา แต่ตอนอยู่ในวังข้าเป็นคนตั้งชื่อให้พวกเขาใหม่ว่าชุ่ยเสียกับจ้านเกอ"เมิ่งกุ้ยเฟยมองหน้าหย่งเค่อ หย่งเค่อพยักหน้าให้ นางจึงเริ่มเล่าต่อ"เมื่อ20ปีก่อนข้ากับฝ่าบาทเ
ไม่ใช่แค่บิดามารดานาง แต่ยังมีฮ่องเต้กับเมิ่งกุ้ยเฟยอีก หากมีราชโองการสั่งให้เขาแยกจากนาง หรือใช้อำนาจมาทำให้เขากับนางต้องพลัดพรากกัน คนอย่างเขาจะทำอย่างไรได้ เขารู้ว่านางพูดจริง หากเขาไม่ไปนางก็จะไม่ไปแน่ ถ้าเป็นอย่างงั้นบิดามารดาของนางรวมทั้งเมิ่งกุ้ยเฟย ก็จะตามมาถึงที่นี่ แล้วอาจทำให้ทุกคนในหมู่บ้านเดือดร้อน เพื่อบีบบังคับเขาให้ไปจากนางก็ได้ เขาดูออกว่านางเองก็คิดถึงบิดามารดาของนางเหมือนกัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงนางเข้ามากอด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากเขาต้องถูกบีบคับให้แยกจากนางเขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงมีทางเดียว คือความตายนางจ้องมองหน้าเขา เดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่" ท่านไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรเลอะเทอะ ท่านพ่อท่านแม่ข้าพวกท่านเป็นคนใจดีมีเหตุผล พวกท่านเคารพในการตัดสินใจของข้า ชีวิตของข้า ข้ากำหนดเองแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยว เชื่อใจข้าเถอะ"เดินทางอยู่แรมเดือนในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง รถม้าจอดลงหน้าจวน ทันทีที่ซูตงหยางก้าวลงมา บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูก็แสดงสีหน้าดีใจ คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปข้างในอีกคนรีบเปิดประตู ก้าวผ่านประตูได้ไม่กี่ก้าวซูหานกับซูเหม่ยฟางก็รีบ
ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมาจากศาลกงผิง ป๋อเหวินก็พานางไปหาหมอ หลังจากตรวจดูก็พบว่านางตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว อีกสามวันจะมีการประหารถานลี่หลิน หลังจากนั้นพี่ชายของนางก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อปิดคดียามโฉ่ว เจ้าหน้าที่สองคนถูกล็อคคอจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบ โจวเยี่ยนเฉิงกับสือหลางลากสองคนเข้าไปมุมหนึ่ง ก่อนจะสวมชุดของเจ้าหน้าที่ออกมา พากันเดินเข้าไปในคุก จุดไฟรมควันสลบ ไม่นานเจ้าหน้าที่สิบคนก็หมดสติ โจวเยี่ยนเฉิงรีบเอากุญแจจากเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่เก้าอี้ รีบไปไขประตูให้ถานลี่หลิน นางเห็นโจวเยี่ยนเฉิงก็ดีใจ รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาช่วยนางพอประตูเปิดออกนางก็โผเข้ากอดเขา เขาดันตัวนางออก" รีบไป"" เฮ้ เดี๋ยวก่อน ช่วยข้าด้วยสิ นะ ขอร้องหล่ะข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ ให้ข้าทำอะไรก็ยอมช่วยข้าออกไปที ข้าไม่อยากถูกประหาร"โจวเยี่ยนเฉิงลังเล ก่อนจะโยนกุญแจให้" เจ้าเปิดออกมาเองเถอะ จะหนีรอดหรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเจ้า"พูดจบก็จูงมือถานลี่หลินวิ่งออกไป แสงแดดเช้าวันใหม่สาดแสงเจิดจ้า โจวเยี่ยนเฉิงบังคับม้าให้หยุดเเล้วลงจากหลังม้า สือหลางที่ขับรถม้าก็บังคับม้าให้หยุดเช่นกัน ถานลี่หลินเ
" บังอาจ เจ้ากล้าลบหลู่พวกข้า เห็นทีว่าต้องจับเจ้าเข้าเครื่องทรมาน เจ้าถึงจะยอมสารภาพ"หม่าซิวหยวนตะคอกเสียงดัง ถานลี่หลินสะดุ้งตกใจ ตราบใดที่นางไม่ยอมรับ พวกเขาก็เอาผิดนางไม่ได้หรอก" จริงหรือเท็จเจ้ารู้ดีแก่ใจ ถุงเงินกับจดหมายนั่นข้าค้นเจอในห้องพักสมุนโจรคนหนึ่ง โชคดีที่แม้ผ่านมาหลายปีก็ยังอยู่ ต้องขอบคุณเจ้าด้วยนะ ที่เป็นคนชอบสะสมของเก่า โดยเฉพาะจดหมายนัดพบและสิ่งของอื่นๆ ทำให้ข้าสาวไปถึงตัวผู้บงการได้อีกหลายคนเลยทีเดียว"ซูตงหยางมองไปที่เซียวหมิง ถานลี่หลินหันควับไปมองด้วยสายตาเคียดแค้น ก็ว่าอยู่ว่าหลักฐานมาจากไหน โง่เขลาที่สุด ทำไมหยางไป๋ถึงได้มีลูกน้องโง่ๆแบบนี้ สะสมอะไรไม่สะสม ดันสะสมหลักฐานไว้ฆ่าตัวเอง" มาถึงขนาดนี้แล้วยอมรับผิดเถอะ ยังไงเจ้าก็หนีไม่พ้น""ยอมรับอะไรข้าไม่ผิด เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า"" ข้าใส้ร้ายเจ้ารึ เจ้าก็รู้ดีว่าข้าพูดความจริงข้ายังจำได้ว่าพี่ใหญ่ถามเจ้า ว่ามีความแค้นอะไรกับพวกเขาถึงต้องฆ่าทิ้งให้หมดด้วยทั้งที่แค่ปล้นอย่างเดียวก็พอ เจ้าบอกว่าสองคนนั้นดูถูกเหยียดหยามเจ้า เห็นว่าเจ้าเป็นแค่สาวใช้ต่ำต้อย จึงขัดขวางความรักของเจ้ากับบุตรชายของเขา หากพวกเขาตายไปเจ้