เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่
เขาไม่พูดพร่ำ โยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย "เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึก ลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสน การ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา "ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก" "ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น" พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอ ลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้า มือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออก ชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำ ไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อน มันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ... ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีก ลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรง ในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่ เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว "ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก..." "เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน" "อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..." เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะลุเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่กวาดมามองเธอด้วยแววหมันไส้ ระแวง และขุ่นเคือง ลาริสาก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองใคร เธอกำเสื้อใหม่แน่นในมือ ลุกขึ้นเงียบ ๆ เดินหลบออกไปที่มุมห้องเพื่อเปลี่ยนชุด โดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เธอรู้ดีว่า... ในที่แห่งนี้ ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีความปรานี มีแต่ความริษยา ความอยากเอาตัวรอด และความเกลียดชังที่รอจะเหยียบย่ำคนที่อ่อนแอกว่า ลาริสาเปลี่ยนชุดเสร็จ ก่อนจะหยิบถาดเครื่องดื่ม เดินออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างเงียบงัน เธอเพียงก้มหน้า และเดินตรงไปข้างหน้า อย่างคนที่รู้ดีว่า... ในที่แห่งนี้ เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหนทางชีวิตของตัวเองได้อีกแล้ว .................... สำนักงานใหญ่ ซาเลียน อินโนเวชั่น ห้องประชุมชั้นบนสุดเงียบสงบ มีเพียงแสงแดดบ่ายที่ส่องลอดม่านบาง ๆ เข้ามา สะท้อนแผ่นไม้ขัดมันของโต๊ะยาว ภานุวัฒน์ผลักประตูเข้าไป สูทสีดำเข้ารูปบนร่างสูงโปร่งยิ่งขับให้เขาดูเฉียบขาดเย็นชา แต่ในแววตาสีฟ้าคู่นั้น ก็แฝงแววที่อ่อนลงเมื่อพบคนสองคนที่นั่งรออยู่ ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ ผู้บริหารหนุ่มที่นั่งไขว่ห้าง ใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมลึกที่อ่านใจคนได้อย่างเฉียบขาด และคีรณัฐ พีราทร เสาหลักเบื้องหลังการบริหาร ที่มีรอยยิ้มมุมปากทว่าดวงตาไม่เคยวางใจอะไรง่าย ๆ "กลับมาแล้วเหรอ" ธีภพเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ ไม่อ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำสั้น ๆ ภานุวัฒน์เดินเข้ามา ก้าวเท้าแน่วแน่สมกับคนที่ฝ่ามรสุมชีวิตมาไม่น้อย เขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ "ขอโทษที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ง..." "...มีธุระสำคัญที่เลี่ยงไม่ได้" คำพูดกระชับ หนักแน่น ตรงไปตรงมา อย่างที่คนแบบเขาจะพูดกับคนที่เขาให้เกียรติ ธีภพหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ที่มีทั้งความเข้าใจและความรู้ทัน "ไม่ต้องเสียเวลาขอโทษ" เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ ดวงตาคมกริบไม่ละจากใบหน้าอีกฝ่าย "แค่ยังมีชีวิตกลับมาให้เจอ...ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว" คีรณัฐลอบยิ้มที่มุมปาก พลิกแฟ้มเอกสารในมือเล่นเบา ๆ "แต่ถ้ามีปัญหาอะไร..." เขาพูดพลางเหลือบตามองภานุวัฒน์ตรง ๆ "...อย่าโง่แบกคนเดียว นายยังมีพวกเรา" คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่ทุกรอยคำมีน้ำหนักหนักหน่วง ภานุวัฒน์ยืนนิ่ง แผ่นหลังตรง ใบหน้าเย็นเฉียบ แต่ในดวงตาสีฟ้าลึกคู่นั้น มีประกายบางอย่างไหวผ่านชั่ววินาที รับรู้ถึงมิตรภาพที่ไม่มีคำสาบาน แต่เหนียวแน่นยิ่งกว่าโลหะใด ๆ "ขอบใจ" เพียงคำเดียว หนักแน่น ไม่ฟุ่มเฟือย ธีภพปรายตามอง ก่อนโยนแฟ้มเอกสารมาให้ "ถ้าอย่างนั้น..." "ก่อนที่ฉันจะบินไปใช้ชีวิตแต่งงานยาว ๆ ช่วยดูโลกใบนี้แทนฉันด้วยแล้วกัน" เสียงพูดเหมือนเล่น แต่ดวงตาเป็นจริงเป็นจัง ดั่งมอบบางสิ่งที่สำคัญยิ่งให้ฝากฝัง ภานุวัฒน์รับแฟ้มมา เงียบ ๆ เขารู้ดีว่าเบื้องหลังคำพูดสบาย ๆ เหล่านั้น... มีสายสัมพันธ์ที่ผูกไว้ด้วยเลือด เหงื่อ และความเชื่อมั่นที่ผ่านการทดสอบแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ... ย้อนไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อน เมืองชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา ในวันที่ชีวิตของภานุวัฒน์ถูกพรากแทบไม่เหลืออะไร มีเพียงเขากับพ่อที่หลบหนีออกมาได้ ด้วยชีวิตที่เกือบสังเวยไปแล้ว อเมริกา บ้านเกิดพ่อของภานุวัฒน์ กลายเป็นที่พักพิงสุดท้าย ที่อำนาจของรัฐมนตรีวิศรุตเอื้อมไปไม่ถึง ที่นั่น พ่อของเขาก่อตั้งบริษัทเล็ก ๆ ขึ้นมา บริษัทขายชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่แทบไม่มีใครเหลียวแล แขวนอยู่บนเส้นด้ายที่พร้อมขาดได้ทุกเมื่อ เงินทุนขาดแคลน คู่ค้าไม่มั่นใจ และลูกชายคนเดียว...แบกรับความแค้นในอกโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะพยุงบริษัทเล็ก ๆ นั้นไปได้ถึงเมื่อไหร่ แล้ววันหนึ่ง ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ ก็ปรากฏตัว เด็กหนุ่มไทยผู้มีแววตาเฉียบคมเกินวัย นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่เหมือนโชคชะตาส่งมาในวันที่โลกทั้งใบมืดมิด ธีภพไม่ได้เพียงแค่เสนอแนวทาง เขา "เห็น" สิ่งที่คนทั้งโลกไม่เห็น เขาเข้ามานั่งวิเคราะห์บัญชีทีละบรรทัด เขาไล่ดูเครือข่ายธุรกิจแบบที่ผู้บริหารเก๋า ๆ ยังไม่เคยทำ ภานุวัฒน์จำได้ดี... ในค่ำคืนนับไม่ถ้วนที่พวกเขานั่งล้อมโต๊ะไม้ผุ ๆ วางแผนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากบริษัทที่แทบไร้ตัวตน ค่อย ๆ เติบโต...แผ่ขยายเครือข่ายไปตามเมืองต่าง ๆ ยอดขายพุ่งขึ้น หุ้นส่วนใหญ่เริ่มหันกลับมา บริษัทเล็ก ๆ ที่เคยเกือบล้มละลาย ค่อย ๆ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งในตลาดเทคโนโลยีระดับภูมิภาค และจากวันนั้นเป็นต้นมา... บริษัทนั้นก็กลายเป็น เสาหลักที่พวกเขาใช้ตั้ง "ซาเลียน อินโนเวชั่น" ในประเทศไทย บริษัทที่มีทั้งทุน ความมั่นคง และกำลังเสริมที่มองไม่เห็น ซึ่งเบื้องหลังทั้งหมดคือแรงผลักดันจากมิตรภาพที่ก่อตัวในวันที่เขาแทบไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ... ปัจจุบัน ณ ห้องประชุม ภานุวัฒน์กำแฟ้มเอกสารในมือแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะแหงนหน้าขึ้น สบตาธีภพตรง ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะไม่จำเป็น ในสายตาของผู้ชายอย่างพวกเขา... มีบางสัญญาที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่ผูกแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ บนโลกนี้“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห