จวนอ๋องตงไห่ยามฟ้าเพิ่งจะสางฮูหยินผู้เฒ่าซูก็สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นั่งอยู่ในโถงกลาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลคนพออายุมากขึ้นก็มักจะกังวลง่ายพอกังวลก็นอนไม่หลับช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฮูหยินผู้เฒ่าซูกังวลเรื่องหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงไม่น้อยเลยถึงขั้นไม่อยากแตะน้ำชา ไม่แตะต้องข้าวปลา ร่างกายผอมบางลงไปกว่าก่อนอย่างเห็นได้ชัดเพราะเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ดินแดนทางเหนือกลับไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมาเลยไม่ว่าใครก็ย่อมต้องเป็นกังวลยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนทางเหนือคือสถานที่ที่ตระกูลซูพ่ายแพ้ย่อยยับ ฮูหยินผู้เฒ่าซูกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิม...เอี๊ยด!ประตูโถงกลางถูกผลักเปิดออก ปรากฏร่างของลั่วอวี้จู๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินผู้เฒ่าซู มีข่าวจากดินแดนทางเหนือมาแล้วเจ้าค่ะ!”ตั้งแต่หลี่หลงหลินจากไป ลั่วอวี้จู๋ก็รับหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องราวทุกอย่างทั้งน้อยใหญ่ในจวนดังนั้นข่าวจากดินแดนทางเหนือจึงถูกส่งมาถึงมือของลั่วอวี้จู๋ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าซูปัดเป่าความกังวลก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น มีชีวิตชีวาขึ้นมา ลืมตาขึ้น “เป็นข่าวดีใช่หรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่าซูกังวลจนกลัวไปหมด กลัวว่าจะ
“ต่อให้เสด็จพ่อไม่ให้ข้าไป ข้าก็จะไป!”“อีกอย่าง ข้ารู้ดีว่าเสด็จพ่อจะต้องสนับสนุนข้าอย่างแน่นอน!”ตั้งแต่แรกเริ่ม หลี่หลงหลินก็รู้ว่าฮ่องเต้หวู่ทรงคิดอะไรอยู่ฮ่องเต้หวู่ทรงกรำศึกมาครึ่งชีวิตก็เพื่อที่จะสยบชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือแต่เขาพยายามมาทั้งชีวิต ก็ทำได้เพียงแค่กำหนดแนวรบของทั้งสองฝ่ายไว้ที่เมืองซั่วเป่ยชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือไม่อาจบุกเข้าต้าเซี่ยได้แม้แต่คืบเดียวต้าเซี่ยก็ไม่อาจก้าวข้ามชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือได้แม้แต่จั้งเดียวบัดนี้ ฮ่องเต้หวู่ชราภาพลงมากแล้ว กำลังวังชาก็ถดถอย ไม่อาจยกทัพออกรบด้วยตนเองได้อีกต่อไปดังนั้นชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง รุกรานต้าเซี่ยอยู่บ่อยครั้งต่อให้ฮ่องเต้หวู่กริ้วเพียงใด เขาก็ไม่อาจออกรบด้วยตัวเองได้อีกแล้วดังนั้นเรื่องนี้จึงตกมาอยู่ที่หลี่หลงหลินเขาจะต้องระบายความแค้นนี้แทนฮ่องเต้หวู่ สานต่อปณิธานของฮ่องเต้หวู่ให้สำเร็จ!ดังนั้นหลี่หลงหลินจึงยินดีที่จะรออยู่ที่ดินแดนทางเหนือต่อไปแม้ว่าจางไป่เจิงไม่อยากให้หลี่หลงหลินไปแต่คำสั่งทหารคือเด็ดขาดดั่งภูผายิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หลี่หลงหลินมีตำแหน่
หลี่หลงหลินมองจางไป่เจิงแล้วพูดว่า “แม่ทัพจาง ท่านคิดว่าข้าเอาแต่ดื่มสุราหาความสำราญอยู่ที่นี่ทุกวัน นั่นเป็นเพราะท่านคิดตื้นเขินเกินไป”“ข้านี่กำลังฝึกฝนสมาธิของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของท่านอยู่ต่างหาก”“ทหารที่มีสมาธิแข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอก และยิ่งจะไม่หย่อนยานในวินัยเพียงเพราะข้าดื่มสุราในกระโจมเล็กน้อย!”สีหน้าของจางไป่เจิงเคร่งขรึมลงแล้วพูดว่า “รัชทายาท ท่านหมายความว่า...”หลี่หลงหลินพูดเสียงเรียบว่า “ทหารใต้บังคับบัญชาของท่านยังต้องฝึกฝนอีก”จางไป่เจิงเดือดดาลสุดขีด!นี่มันเห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินกำลังเถียงข้างๆ คูๆ!ยังไม่พูดถึงความผิดของตัวเอง แถมยังโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้เหล่าทหารเสียอย่างนั้นเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของจางไป่เจิงร่วมเป็นร่วมตายกับเขามา เขาย่อมรู้ดีในใจดียิ่งกว่าใครว่าเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องระเบียบวินัยที่เข้มงวด!มิเช่นนั้นแล้วฮ่องเต้หวู่คงไม่มอบหมายหน้าที่พิทักษ์ดินแดนทางเหนือให้แก่เขา จางไป่เจิงแต่พอหลี่หลงหลินเอ่ยถึง กลับถูกมองว่าไร้ค่าโดยสิ้นในฐานะแม่ทัพใหญ่ เขายอมรับไม่ได้!ในไม่ช้า จางไป่เจิงก็ได้สติทั้ง
ได้สร้างคุณูปการที่เป็นประโยชน์แก่ต้าเซี่ยมานับไม่ถ้วน จึงทำให้แสนยานุภาพของต้าเซี่ยพัฒนาไปอย่างรวดเร็วบัดนี้ต้าเซี่ยไม่ใช่ราชสำนักที่อ่อนแอไร้กำลังอีกต่อไป!แตกต่างจากอดีตราวฟ้ากับเหว!หากครั้งนี้ส่งกองทัพไปชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ จะต้องพิชิตชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ครองความเป็นใหญ่ในแดนเหนือได้อย่างแน่นอน!ในโรงเตี๊ยมพลันเกิดความโกลาหล“องค์รัชทายาททรงพระเจริญ!”“องค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“...”บัณฑิตหนุ่มหลายคนดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนหมด แล้วเขวี้ยงจอกแตก “คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีบุคคลเยี่ยงองค์รัชทายาท!”“ในฐานะองค์รัชทายาท แต่กลับไม่ถือตัว นำทัพด้วยตนเอง เพื่อปัดเป่าเภทภัยให้แก่คนทั้งแผ่นดิน!”“วีรบุรุษเช่นนี้หากพวกเราไม่ติดตาม คงตายตาไม่หลับ!”พวกเราจะออกไปผจญยุทธภพไปทำไมกันเล่า“ดื่มสุราจอกนี้แล้ว ก็จะเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าสู่ดินแดนทางเหนือเข้าร่วมกองทัพ!”“หากไม่นำราษฎรทั้งแผ่นดินไว้ในใจ พวกเราฝึกฝนวรยุทธ์ไปจะมีความหมายอันใด?”“หากวรยุทธ์ไม่ได้ใช้เพื่อปกป้องบ้านเมือง วรยุทธ์สูงส่งเพียงใดจะมีประโยชน์อันใด!”“ข้าจะขอติดตามองค์รัชทายาทบุกตะลุยสู่ทะเลทราย ส
เมืองหลวงยามฟ้าเพิ่งจะสาง ราษฎรต่างพากันหลั่งไหลออกมาบนท้องถนน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข“ท่านได้ยินข่าวหรือไม่? องค์รัชทายาทลงมือเพียงครั้งเดียวก็ยึดเมืองซั่วเป่ยกลับคืนมาได้แล้ว!”“แน่นอนอยู่แล้ว! ได้ยินว่าตีทัพแม่ทัพใหญ่ของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจนแตกพ่ายยับเยิน เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง คุกเข่าขอความเมตตาอยู่แทบเท้าขององค์รัชทายาท”“ในอดีตก็คือเขาผู้นี้ที่สังหารตระกูลซูผู้ภักดีทั้งตระกูล ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้ล้างแค้นอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว!”“แต่ว่าแผนการขององค์รัชทายาทในครั้งนี้ช่างอำมหิตยิ่งนัก!”“โยนศพเข้าเมือง จิ๊ๆ...”“กับพวกชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็ควรจะอำมหิตเช่นนี้ ไม่คิดดูบ้างว่าหลายปีมานี้พวกเขาปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไร!”“...”ทั่วทุกตรอกซอกซอย คึกคักเป็นพิเศษล้วนเป็นราษฎรที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอเจอหน้าใครก็เอ่ยถาม “ท่านได้ยินข่าวหรือไม่?” ชั่วขณะหนึ่งในเมืองหลวง หากใครบอกว่าตนเองไม่รู้เรื่องราวอันรุ่งโรจน์ขององค์รัชทายาทก็คงไม่กล้าออกจากบ้านไปไหน!ราษฎรที่ออกมาพูดคุยสัพเพเหระบนท้องถนน หัวข้อสนทนาล้วนไม่พ้นสองคำสำคัญองค์รัชทายาทและฝ่าบาทเพียง
“แม้ว่าเจ้าเก้าจะต้องการขัดเกลาตนเองจริงๆ ก็ไม่ควรเลือกที่จะโจมตีชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ในสายตาของข้า นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้...”“เพราะไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!”แม้แต่แม่ทัพใหญ่จางไป่เจิงก็ทำได้เพียงป้องกันศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพไม่เคยยกทัพออกจากเมืองเพื่อไล่โจมตีชาวต้าเซี่ยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทะเลทรายผืนนั้นเลย กระทั่งที่ตั้งของราชสำนักชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนืออยู่ที่ใดก็ยังไม่ทราบฮองเฮาหลินขมวดคิ้วในหัวของพระนางเต็มไปด้วยภาพของทะเลทรายรกร้าง โหดร้ายลมป่าพัดผ่าน ม้วนฝุ่นทรายสีเหลืองเป็นระลอกพายุทรายที่บ้าคลั่งนั้นราวกับสามารถกลืนกินทุกชีวิตได้ในใจของนางเกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่นานนางก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปฮองเฮาหลินตรัสด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ในเมื่อเจ้าเก้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็อย่าได้แทรกแซงเขาเลยเพคะ...”ฮ่องเต้หวู่ชะงัก ตรัสถาม “อ้ายเฟย เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น?”ฮองเฮาหลินตรัสว่า “หากเจ้าเก้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย เขาจะไม่บุกไปข้างหน้าอย่างบุ่มบ่ามเด็ดขาด เขาไม่ใช่คนที่จะละโมบในความดีความชอบจนไม่ดูตาม้าตาเรือ”“ตอนนี้เขายึดเมืองซั่วเป่ยกลับคื