สิ่งนี้ทําให้กงเฉินนึกถึงจูบเมื่อกี้นี้ และดวงตาของเขาก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลินจืออี้ถูกมองจนหนังศีรษะชา เงยหน้ามองเขาตามสัญชาตญาณกงเฉินกวาดสายตาไปที่ใบหน้าของเธอ และในที่สุดก็ตกลงบนริมฝีปากที่แดงก่ำของเธอ เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่หลงเหลืออยู่บนริมฝีปากของเขา ทําให้ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้นลงอย่างช่วยไม่ได้“ปากของเธอสามารถหยุดได้ภายใต้สถานการณ์เดียวเท่านั้น”เมื่อไอร้อนพ่นออกมา หลินจืออี้เข้าใจความหมายของเขาทันที ไม่คิดมากก็คงเป็นไปไม่ได้แต่ในเวลานี้ สมองของเธอพลันหมุนไป และดวงตาของเธอถูกแทนที่ด้วยความโกรธ"อาโกหกฉัน! อาไม่ได้ดื่มเหล้า ในปากของอาไม่มีกลิ่นเหล้าเลย”“เรียนฉลาดแล้วนี่ แต่ว่า... สายไปแล้ว"กงเฉินก้มลงมองตําแหน่งที่เขายืนอยู่หลินจืออี้เพิ่งพบว่าเมื่อกี้เขาอาศัยช่วงชุลมุนเข้าบ้านไปก่อนแล้ว กว่าเธอจะตั้งสติได้ เขาก็ปิดประตูอย่างเชื่องช้าแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไล่เขาออกไปอีกครั้ง“สารเลว!”หลินจื้ออี้คว้ากุญแจบนตู้แล้วปาเข้าไปอย่างโมโห ไม่คิดว่าจะโดนไหล่ของเขาพอดีกงเฉินขมวดคิ้ว ไหล่ที่ถูกกระแทกยุบลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับสัญชาตญาณของร่างกายปกป้องตัวเองหลิ
ภายใต้การนําทางของกงเฉิน ปฏิกิริยาของหลินจืออี้ช่างน่าอายจริงๆ เธอกลืนน้ำลายไปหลายรอบแล้วกงเฉินยกริมฝีปากล่าง กวาดตามองเธอเบาๆ “ยังต้องสอนอีกไหม?”เมื่อได้ยินเสียง หลินจืออี้ก็ดึงสติกลับมาทันที แสร้งทําเป็นสงบแล้วพูดว่า “ไม่ต้อง อาเล็กเป็นคนไข้ ฉันควรเคารพคนแก่และรักเด็ก”“ไม่ได้ให้เธออธิบาย” กงเฉินหรี่ตาหลินจืออี้เม้มปาก ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออกอย่างรวดเร็วภายใต้เสื้อเชิร์ตที่เคร่งขรึม มีรูปร่างที่ไม่ค่อยห้ามใจของผู้ชายซ่อนอยู่กล้ามเนื้อมั่นคงและสมส่วน กล้ามเนื้อหน้าท้องชัดเจนแต่ไม่เกินจริง ขายาวและเอวบาง เข็มขัดติดอยู่บนเส้นซิกแพ็คพอดี ทําให้คนจินตนาการไปไกลหลินจืออี้หายใจเข้า แล้วรีบละสายตาออกไป กงเฉินกลับโน้มตัวเข้ามา“เสื้อเชิร์ตถอดเร็วขนาดนี้ ยังเคยถอดของใครอีก?” ใบหน้าเขาไม่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกําลังถามเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งแต่หลินจืออี้กลับรู้สึกว่าลมหายใจที่ตัวเองหายใจออกนั้นค่อนข้างเย็นเยือกเธอกระซิบว่า "ไม่มีใครทั้งนั้น"เขาทําเหมือนไม่ได้ยิน “กงเยี่ยน?”"ไม่มี! นอกจาก...” อาหลินจืออี้รีบหุบปาก แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป"นอกจากใคร"
ทําไมเขาไม่พูด?สมองของหลินจืออี้สับสนวุ่นวายไปหมด ตอนนั้นการเปลี่ยนแปลงของกงเยี่ยน ต่อมาก็เป็นความเงียบของกงเฉินเยี่ยนที่ผ่านไปยังไง้ร่องรอยตกลงอะไรคือเรื่องจริง อะไรเป็นเรื่องเท็จ?เธอมองบาดแผลที่ตัดสลับกัน เม้มปากถามหยั่งเชิงว่า “อาเล็ก คุณท่านลงโทษอาด้วยกฎตระกูลบ่อยไหมคะ?”“ฉันไม่ได้โง่” กงเฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“แล้วอาจะถูกลงโทษกฎตระกูลในกรณีไหนเหรอ?”“เวลาที่คนอื่นไม่ใช้สมอง”“……”คนอื่นที่ว่าคือ หลินจืออี้ดังนั้น จิ้งจอกเฒ่าที่ฉลาดอย่างกงเฉินจะต้องรู้วิธีปกป้องตัวเองอย่างแน่นอนแล้วทําไมเขาถึง...กําลังคิดอยู่ กงเฉินก็เอียงศีรษะ “หลินจืออี้”“หืม?”“จับพอหรือยัง?”เมื่อได้ยินดังนั้น หลินจืออี้ก็ดึงสติกลับมาทันที จึงพบว่ามือของตัวเองกําลังลูบหลังกงเฉินอยู่ตลอดเธอหดมือกลับอย่างรวดเร็ว ก้มหน้ามองหายาในกล่องยาอย่างกระอักกระอ่วน"คือว่า... ถึงแม้ว่าจะมีเลือดออก แต่ก็แตกแค่นิดเดียว ฉันจะทายาให้อา แต่ฉันไม่มีแผ่นสก๊อตเทปแบบมืออาชีพแบบนั้นหรอกนะคะ”“กระเป๋าเสื้อโค้ทของฉันมี” กงเฉินกล่าวเสียงเรียบหลินจืออี๋นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หยิบเสื้อนอกบนโซฟาขึ้นมา แล้วหยิบแผ่นสก๊
หลินจืออี้ตะลึงงัน แต่สติสัมปชัญญะดึงเธอกลับสู่ความเป็นจริงอย่างรวดเร็วเธอกับกงเฉิน?เป็นไปไม่ได้!ตอนนี้ระหว่างพวกเขาไม่มีลูก ไม่มีการบังคับแต่งงาน ไม่มีอะไรทั้งนั้นมีแต่ความเกลียดชังสิ่งที่สําคัญที่สุดคือ... ซ่งหว่านชิวไม่ได้พาลูกหนีหลินจืออี้สะดุ้งโหยง ราวกับถูกลากจากฤดูร้อนที่ร้อนระอุเข้าสู่ฤดูหนาวที่หนาวจัด ทุกรูขุมขนสั่นระริกเธอเม้มปาก “อาเล็ก คําพูดนี้เก็บไว้ให้ผู้หญิงของอาฟังเถอะ”“ฉันช่วยพันแผลให้อา มีเวลาไปเยี่ยมผู้หญิงของอาบ่อยๆ ด้วยล่ะ”พบลูกน้อยซือเฉินของอาเป็นครั้งสุดท้ายบางทีเธออาจจะกลายเป็นคนเลือดเย็นไปแล้วเมื่อเธอรู้ว่าซ่งหว่านชิวอยากเสียลูกไป นอกจากตกใจเล็กน้อยแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด และก็ไม่เคยคิดที่จะแจ้งให้กงเฉินรู้ด้วยถ้าเขาห้ามก็ไม่มีความหมายแล้วเด็กปีศาจแบบนั้นควรกลายเป็นแอ่งเลือดและไปที่ท่อระบายน้ำนิสัยไม่ดีของเขาเลียนแบบซ่งหว่านชิวมาเกือบหมดทั้งนั้น อาศัยสุขภาพของตัวเองไม่ดี มักจะแกล้งซิงซิงอยู่เสมอมีครั้งหนึ่งถึงขั้นใช้หนังสติ๊กยิงไปที่ตาของซิงซิง โชคดีที่ซิงซิงย่อตัวลงถึงหลบหนีไปได้หลังจากนั้น เขากลับยิ้มและพูดว่า "ละค
เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ได้ยินหลินจืออี้พูดถึง ก็สงสัยอาการป่วยของซ่งหว่านชิวมาก“ใช่ค่ะ คุณซ่ง คุณเป็นโรคอะไรหรือคะ? ถ้าโรคติดเชื้อที่ระบาดในช่วงนี้ก็ไม่น่าจะหายเร็วขนาดนี้นี่”“คุณหน้าตาสดใส ดูไม่ออกเลยว่าไม่สบายตรงไหน”ดวงตาของซ่งหว่านชิวตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าเธอก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่สงบ“ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แค่เป็นหวัดเล็กๆ เป็นคุณชายสามที่ทํางานหนักเกินไป กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ก็เลยเฝ้าฉันอยู่ตลอดเท่านั้นเอง”“เฝ้าคุณตลอดเลยเหรอ?” หลินจืออี้มองซ่งหว่านชิวอย่างลังเลซ่งหว่านชิวได้ยินก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันใด รีบเดินไปตรงหน้าหลินจืออี้ ลูบสร้อยคอที่คออย่างไม่ได้ตั้งใจ“ใช่ เขาตามใจข้ามากเกินไป ทนไม่ได้ที่จะเห็นฉันรู้สึกอึดอัดแม้แต่เล็กน้อย อิจฉาเหรอ? งั้นเธอก็รีบหาแฟนสักคนสิ แต่ความรักที่คุณชายสามมีต่อฉันนั้นไม่เหมือนใครนะ”น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลเสมอ แต่สายตาที่หันหลังให้กับทุกคนมองหลินจืออี้กลับเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยราวกับว่ากําลังพูดว่า หลินจืออี้ เธออิจฉาไม่ได้ กงเฉินรักฉันเท่านั้นเมื่อได้ยิน เพื่อนร่วมงานต่างก็อิจฉาและโห่ร้องมีเพียงหลินจืออี้ที่หั
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พนักงานของร้านกาแฟก็ถือถุงเคาะประตูเข้ามาด้วยความสุภาพ เพื่อนร่วมงานจึงส่งกาแฟแก้วแรกให้ซ่งหว่านชิว“คุณซ่ง คุณลองชิมดูก่อนนะคะ เมล็ดกาแฟร้านนี้ไม่เลวเลย”ซ่งหว่านชิวมองกาแฟที่ใส่น้ำแข็งครึ่งแก้วตรงหน้า หายใจติดขัด ในหางตาหลินจืออี้รับกาแฟมาแล้ว ดื่มเข้าไปคําหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน“อืม อร่อยจริงๆ”ซ่งหว่านชิวทําได้เพียงจิบเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง กลบปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนลงไป “อร่อยจริงๆ ด้วยค่ะ”เพื่อนร่วมงานที่ไม่คุ้นเคยกับการเสแสร้งของเธอพูดแปลกๆ ว่า "คุณซ่ง แค่จิบคําเล็กๆ แบบนี้เหรอคะ? คุณไม่ชอบกาแฟที่เราเลือกใช่ไหมคะ?”ภาพลักษณ์สาธารณะของซ่งหว่านชิวนั้นสง่างามและใจกว้าง เข้ากับคนง่าย เธออาศัยภาพลักษณ์นี้ทําให้ได้รับความชอบใจจากชาวเน็ตนับไม่ถ้วนชาติที่แล้ว เธอก็อาศัยพวกชาวเน็ตที่ไม่รู้ความจริงเหล่านั้นมาทําสงครามความคิดเห็นของผู้คน จนไม่ว่าตระกูลกงหรือผู้คน ต่างก็ยืนอยู่ข้างเธอตอนนี้ ถ้าเธอกล้าแสดงออกว่าไม่ชอบสักนิด ก็ไม่ต้องให้หลินจืออี้พูดมาก ในออฟฟิศมีคนใส่สีตีไข่กระจายออกไปแน่ในที่สุดซ่งหว่านชิวก็คํานึงถึงฐานะของตัวเอง หยิบกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ร
หลินจืออี้เดาเด็กอาจไม่ใช่กงเฉินดังนั้นเธอจึงถามหลิ่วเหอเกี่ยวกับเพื่อนเพศตรงข้ามที่อยู่ข้างกายซ่งหว่านชิวเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าแต่เมื่อเห็นซ่งหว่านชิวมีท่าทีหวาดกลัวขนาดนั้น หลินจืออี้ยิ่งเชื่อมั่นในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้นสี่วันต่อมา แม้ว่าซ่งหว่านชิวจะแต่งหน้าอย่างประณีตทุกวัน แต่จู่ๆ ก็หายไปชั่วขณะหนึ่งหลินจืออี้มักจะเห็นเธอซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของและบ่นพึมพําด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งตามที่หมอบอก ดูเหมือนว่าการแท้งของยาครั้งนี้ของเธอล้มเหลวแล้วซ่งหว่านชิวฝืนยืดเวลาไปอีกสองวัน ใบหน้าของเธอแทบจะปิดด้วยบลัชออนไม่ได้แล้ว จึงหาข้ออ้างไปโรงพยาบาลหลินจืออี้หาข้ออ้างส่งของ แล้วตามซ่งหว่านชิวออกไปด้วยซ่งหว่านชิวไปหาหมอที่สั่งยาให้เธอก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ เธอยังคงเลือกช่วงเที่ยงที่มีคนน้อยที่สุดเพียงแต่เธอรับโทรศัพท์ก่อนเข้าห้องทํางานและยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม"ว่าไงนะ? แน่ใจเหรอ? ฉันรู้แล้ว”ซ่งหว่านชิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ววางสายไป ทันทีที่วางโทรศัพท์ลง เธอก็หันมองไปรอบๆโชคดีที่หลินจืออี้หลบได้ทันเวลา มิฉะนั้นคงถูกซ่งหว่านชิวจับได้แล้วเธอรออย
หมอหลี่กําลังเตรียมตรวจคนไข้ตอนบ่ายอยู่ แต่สีหน้ากลับเครียดมากมีหมอคนอื่นๆ เดินผ่านมาและมองไปที่เธอ"หมอหลี่ ทําไมตอนเที่ยงไม่ไปกินข้าวล่ะ? แล้วก็ไม่เห็นคุณพักผ่อนอยู่ในห้องตรวจ ไปไหนมาเหรอคะ?”หมอหลี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด ของในมือตกลงบนพื้น ยิ้มอย่างเคอะเขิน “ไปเตรียมการผ่าตัดมาน่ะ”“การผ่าตัดเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องให้คุณไปเตรียมตัวล่วงหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”การทําแท้งแบบไม่เจ็บปวดในสังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นการผ่าตัดสำคัญอะไรผู้ป่วยเขากลัวน่ะ เลยคุยกับเธอหน่อย” หมอหลี่ยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาหมออีกคนหนึ่งก็ไม่สงสัย พยักหน้าแล้วเดินจากไปหลินจืออี้ก็ออกจากฝูงชนไปเช่นกัน เธอไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว รีบไล่ตามไปยังทิศทางที่ซ่งหว่านชิวจากไปซ่งหว่านชิวรู้สึกไม่สบาย เดินไม่เร็ว นานขนาดนี้เพิ่งเดินออกจากตึกตรวจคนไข้เพื่อยืนยันความคิดในใจ หลินจืออี้จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแต่ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าใกล้ ผู้ชายคนหนึ่งก็พุ่งออกมาคว้าแขนซ่งหว่านชิวแล้วดึงไปด้านข้างการแต่งตัวของผู้ชายเป็นเอกลักษณ์มาก เสื้อหนังและกางเกงหนัง ดูเหมือนการแต่งตัวแบบมืออาชีพของมอ
หลินจืออี้ใช้โทรศัพท์มือถือเรียกแท็กซี่ แต่เมื่อตอนกลางวันเรียกแท็กซี่ก็อยู่ที่ปากทาง พอร้อนใจจึงลืมเปลี่ยนจุดขึ้นรถ กว่าเธอจะรู้ตัว คนขับรถก็รับออเดอร์แล้วเธอทําได้แค่อดทนต่อความเจ็บปวดและเดินไปที่สี่แยกระยะทางสั้นๆ แต่เธอกลับเดินอย่างทรมานมากในขณะนี้เอง เสิ่นเยียนก็เดินออกมาจากสตูดิโอพอดีเธอตะโกนเรียก “เสิ่นเยียน เธอ......ช่วยประคองฉันไปที่สี่แยกข้างหน้าได้ไหม”ปกติเสิ่นเยียนชอบแกล้งทําเป็นสนิทกับเธอมากที่สุด ตอนนี้ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เสียเปล่าสิแต่เธอยังพูดไม่ทันจบ เสิ่นเยียนก็จ้องเท้าเธอแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ จืออี้ แม่ฉันบอกว่าเจ็บเอวตอนทํางานตอนบ่าย ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาล ช่วยเธอไม่ได้จริงๆ ฉันไปก่อนนะ”ใบหน้าของเสิ่นเยียนดูเหมือนลําบากใจ แต่ดวงตากลับซ่อนรอยยิ้มไว้ถ้าหลินจืออีหกล้มจนหน้าคว่ำต้องสนุกแน่ๆ เธอจะถ่ายรูปไว้แล้วโพสต์ลงเว็บของโรงเรียนแน่ให้พวกผู้ชายที่ชื่นชอบเธอดูความน่าอับอายของเทพธิดาในฝันอย่างเธอซะเพียงแค่คิด เสิ่นเยียนก็ปรับโทรศัพท์เป็นโหมดกล้องแล้วหลินจืออี้ไม่ได้พูดอะไรอีก ตั้งใจจะเดินต่อไปด้วยตัวเองเธอเพิ่งหันหลัง รถหรูสีดําก็จอดอยู่ข้างทางแล
คนขับรถรีบจอดรถที่ริมถนนทันที แล้วมองไปข้างหน้าไม่กล้าเบือนสายตาหมอกสีขาวพุ่งออกมาจากริมฝีปากของกงเฉิน เขาพูดเบาๆ ว่า "ฉันเคยเตือนเธอว่าอย่าได้คืบจะเอาศอก สิ่งที่เธออยากได้ก็ได้แล้ว"“ลงจากรถซะ คนขับรถของบ้านเธอก็ติดตามมาตลอดทางแล้ว”คําพูดของกงเฉินทําให้ซ่งหว่านชิวตื่นตระหนกอีกครั้งเพราะเธอบอกกงเฉินว่าคนขับรถมีธุระมาไม่ได้แล้ว ถึงให้เขามารับเธอตอนนี้พอถูกเปิดโปงมันก็เหมือนกับตบหน้าเธออย่างแรงแก้มของเธอแสบร้อนและเจ็บปวด แต่เมื่อเธอคิดถึงต้องลงจากรถแบบนี้ เธอไม่ยอมหรอก!เธอไม่เชื่อว่ากงเฉินจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเธอเลยแม้ว่าจะไม่มีความรู้สึก แต่ก็ควรจะมีความปรารถนาบ้างสิถึงจะถูกเธอสู้หลินจืออี้ไม่ได้ตรงไหนกัน!พอคิดแบบนี้เธอก็กอดกงเฉินอย่างแรงจนน้ำตาจะไหล และมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาโดยไม่คํานึงถึงภาพลักษณ์“คุณชายสาม อย่าทํากับฉันแบบนี้เลย ฉันรักเธอนะคะ”ดวงตาทั้งคู่ของกงเฉินไม่มีอุณหภูมิเลยแม้แต่น้อย เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขากวาดผ่านเฉินจิ่นที่นั่งข้างคนขับเบาๆ เฉินจิ่นพยักหน้าและลงจากรถอย่างรวดเร็ว เปิดประตูด้านหลังโดยตรงและเชิญซ่งหว่านชิวลงจากรถไม่ว่าซ่งหว่า
ภายในรถซ่งหว่านชิวเห็นหลินจืออี้มานานแล้ว และจงใจฉวยโอกาสจูบกงเฉินต่อหน้าหลินจืออี้เธอต้องการให้หลินจืออี้เห็นอย่างชัดเจนว่าการขึ้นเตียงไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอต่างหากที่เป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่กงเฉินเลือกแต่ก่อนที่จูบของเธอจะกระทบแก้มของกงเฉิน เขาก็ยกแขนขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ซ่งหว่านชิวเข้ามาใกล้ซ่งหว่านชิวอึ้งไปหลายวินาที จากนั้นก็แสดงสีหน้าคับอกคับใจ “คุณชายสาม คุณเป็นอะไรไปหรือคะ”กงเฉินดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เช็ดแขนเสื้อที่ถูไปมาของเธอ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า "สีลิปสติกไม่เหมาะกับเธอ"ทันใดนั้นใบหน้าของซ่งหว่านชิวก็ซีดลง เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว มือจับกระโปรงไว้แน่นกงเฉินเหล่ตามองเธอ “จะตื่นตระหนกไปทำไมกัน?”ซ่งหว่านชิวเหมือนตกใจกลัว จงใจบังคับตัวเองให้ผ่อนคลาย“เปล่าค่ะ อาจเป็นเพราะกินอาหารว่างยามบ่ายมากเกินไป กระเพาะอาหารจึงไม่ค่อยสบาย ถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ฉันก็ต้องการคบค้าสมาคมสักหน่อยน่ะค่ะ”"อ้อ? ฉันยังนึกว่าเป็นฉันที่ต้องคบค้าสมาคมกับเพื่อนร่วมงานของเธอซะอีก”กงเฉินโยนกระดาษทิชชู่ลงในถังขยะ น้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่ก็เพียงพอที่จะบีบอัดพื้นที่ในรถจนซ่งหว่าน
คนขับรถมองไปที่โทรศัพท์ "งั้นผมจะพาคุณผ่านชุมชนไป แต่ถึงแม้ว่าไฟแดงจะน้อยลงไปได้หน่อย แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะถึงภายในครึ่งชั่วโมงนะ"“ลองดูหน่อยนะพี่”ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วคนขับรถยังถือว่าเก่งพอสมควรอยู่ ครึ่งชั่วโมงก็พาหลินจืออี้ไปส่งที่สี่แยกแถวสตูดิโอแต่หลังจากหลินจืออี้ลงจากรถแล้ว ก็มองไปที่ข้อเท้าที่บวมแดงของตัวเอง เธอพลันขมวดคิ้วเธอไม่สามารถรับประกันได้ว่าซ่งหว่านชิวจะนึกถึงอะไรหลังจากเห็นข้อเท้าของเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมสําหรับการบาดเจ็บของตัวเองคิดไปคิดมา เธอก็เห็นแปลงดอกไม้ซีเมนต์ที่อยู่ข้างๆ เธอตัดสินใจเอาข้อเท้าที่บวมแดงไปถูกับข้างบนโดยตรง ความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจทําให้เธอนั่งอยู่บนพื้นและเหงื่อออกทั้งตัวเธอกําหมัดแน่น อดกลั้นความเจ็บปวดแล้วกดโทรออกหาเสิ่นเยียนตอนนี้เธอยังต้องการพยานอีกคนนั่นก็คือเสิ่นเยียนคนที่ส่งข่าวให้ซ่งหว่านชิวต้องเป็นเธอแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงเหมาะสมที่จะเป็นพยานเสิ่นเยียนรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “จืออี้เหรอ? เธออยู่ที่ไหนล่ะ? คุณซ่งเอาของว่างมาไม่น้อยเลย”“เสิ่นเยียน เธอรีบมาช่วยฉันหน่อย ฉันหกล้ม เดินไ
หลินจืออี้ไม่กล้าอยู่นานเกินไป แน่ใจว่าไม่มีใครมา เธอก็รีบมุดออกไป กําลังจะวิ่งก็เจ็บข้อเท้าอย่างรุนแรงเธอกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วเดินไปที่ริมทะเลสาบเทียม มองดูโทรศัพท์ เธอนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ยื่นออกไปเกือบครึ่งตัวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้แต่เนื่องจากแช่นานเกินไป จึงเปิดเครื่องไม่ได้แล้วคงต้องไปหาที่ซ่อมโทรศัพท์ก่อนเธอพยุงตัวขึ้นมา อยากหาที่ซ่อมโทรศัพท์อย่างรีบร้อนแต่เพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียว ข้อเท้าก็เจ็บแปลบ ทําให้เธอต้องนั่งยองๆ ด้วยความเจ็บปวดหลินจืออี้เปิดขากางเกงออก จึงพบว่าตัวเองเมื่อกี้ข้อเท้าแพลง แล้วนั่งยองๆ อยู่หลังพงหญ้าด้วยท่าที่อึดอัดมาก ทําให้ข้อเท้าได้รับแรงมากขึ้น บวมขึ้นมาทันทีแต่เธอไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไปเธอทําได้แค่เดินกะโผลกกะเผลกออกจากโรงพยาบาลอย่างอดทน กลัวว่าจะเจอซ่งหว่านชิว เธอจงใจเดินข้ามประตูด้านข้างหลังจากออกจากโรงพยาบาล เธอก็ไม่ได้รีบหาที่ซ่อมโทรศัพท์ แต่ตรงไปที่ร้านขายโทรศัพท์ที่ใกล้ที่สุด ซื้อโทรศัพท์ที่เหมือนกันและใส่เคสโทรศัพท์อันเก่าหลังจากเปิดเครื่องก็เป็นไปตามที่เธอคาดไว้ซ่งหว่านชิวโทรหาเธอสิบครั้งและยังมีไลน์อีกสิบกว่าข้อความ
แต่เนื่องจากความตื่นตระหนก ข้อเท้าเธอเคล็ดในขณะที่เหยียบหญ้าอ่อนๆ โทรศัพท์จึงตกลงไปตามทางลาดเอียงและลื่นลงไปในทะเลสาบเทียมเธอไม่มีเวลาเก็บโทรศัพท์ รีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็วอีกด้านหนึ่ง ด้วยความที่ผู้ชายต้องการปกป้องซ่งหว่านชิว ดังนั้นเขาจึงเดินไปถึงหลังพุ่มไม้ช้าไปก้าวหนึ่งแมวจรตัวหนึ่งกระโดดออกมาเลียอุ้งเท้าชายคนนั้นหันไปกอดซ่งหว่านชิวด้วยสีหน้าอยากทําต่อ “ก็แค่แมวจร”แต่เมื่อเขาเข้าใกล้ซ่งหว่านชิว กลับถูกเธอผลักออกอย่างรังเกียจ“เลิกเล่นได้แล้ว ฉันไม่สบายจริงๆ”พูดจบ ชายคนนั้นก็ถอดเสื้อหนังของตัวเองออกทันทีและคลุมลงบนเสื้อนอกของซ่งหว่านชิวซ่งหว่านชิวกลับจ้องแมวจรที่เลียกรงเล็บตัวนั้นเขม็ง หรี่ตามองแล้วพูดว่า “ไม่สิ ฉันมักจะรู้สึกว่ามีคนอยู่”ชายคนนั้นยักไหล่ "คุณตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปก่อน"ซ่งหว่านชิวไม่สนใจ เธอปัดมือของชายคนนั้นออก เดินไปข้างๆ แมวจรและเตะมันแมวจรคล่องแคล่วว่องไว ร้องอย่างรีบร้อนแล้วก็วิ่งหนีไปซ่งหว่านชิวยืนอยู่ที่ที่แมวจรนอนอยู่เมื่อกี้และมองไปรอบๆ จนกระทั่งเธอเห็นกิ่งไม้ที่หักพื้นผิวที่ตัดแตกต่างจากกิ่งก้านที่อยู่รอบๆเธอพูดอย่างลุ
หลินจืออี้ตกใจกับท่าทีของผู้ชาย แต่ที่ตกใจยิ่งกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง“ลูกไม่มีแล้วก็ไม่มีเถอะ ในใจผมไม่มีใครสําคัญไปกว่าคุณหรอก”พูดจบ ชายคนนั้นก็จับใบหน้าของซ่งหว่านชิวไว้ เช็ดนิ้วที่หางตาของเธอ แล้วจูบลงไปโดยไม่พูดอะไรซ่งหว่านชิวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะผลักชายคนนั้นออกไป"นายบ้าไปแล้วเหรอ? ที่นี่คือโรงพยาบาล ถ้ามีคนเห็นล่ะ?”“คุณไม่ชอบเหรอ?”ท่วงทํานองของผู้ชายเปลี่ยนไป ดูอันธพาลเป็นพิเศษมือของเขาที่วางอยู่บนใบหน้าของซ่งหว่านชิวไม่ได้คลายออก แต่จูบเธออย่างเผด็จการอีกครั้งโดยไม่คํานึงถึงความโกรธของซ่งหว่านชิวในตอนนั้น ซ่งหว่านชิวยังคงดิ้นรน แต่หลังจากผ่านไปสิบวินาที เธอก็กอดชายคนนั้นและทั้งสองก็แลกจูบกันซ้ำยังส่งเสียงจ๊วบๆหลินจืออี้ยืนงงอยู่หลายวินาที รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกฉากนี้เอาไว้เสียดายที่ข้างหน้าเป็นกิ่งไม้ที่แตกปลาย ถ่ายภาพยังไงก็โดนบัง เธอทําได้แค่ปรับมุมไปเรื่อยๆ แล้วใช้มือแกะกิ่งไม้ที่ค่อนข้างนุ่มออกภาพในโทรศัพท์ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะรูปร่างของผู้ชายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆด้านหลังเสื้อหนังของผู้ชายมีหัวนกอินทรีขนาดใหญ่ ดูตัวย่อด้านล่าง ดูเหมือนจะเ
หมอหลี่กําลังเตรียมตรวจคนไข้ตอนบ่ายอยู่ แต่สีหน้ากลับเครียดมากมีหมอคนอื่นๆ เดินผ่านมาและมองไปที่เธอ"หมอหลี่ ทําไมตอนเที่ยงไม่ไปกินข้าวล่ะ? แล้วก็ไม่เห็นคุณพักผ่อนอยู่ในห้องตรวจ ไปไหนมาเหรอคะ?”หมอหลี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด ของในมือตกลงบนพื้น ยิ้มอย่างเคอะเขิน “ไปเตรียมการผ่าตัดมาน่ะ”“การผ่าตัดเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องให้คุณไปเตรียมตัวล่วงหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”การทําแท้งแบบไม่เจ็บปวดในสังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นการผ่าตัดสำคัญอะไรผู้ป่วยเขากลัวน่ะ เลยคุยกับเธอหน่อย” หมอหลี่ยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาหมออีกคนหนึ่งก็ไม่สงสัย พยักหน้าแล้วเดินจากไปหลินจืออี้ก็ออกจากฝูงชนไปเช่นกัน เธอไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว รีบไล่ตามไปยังทิศทางที่ซ่งหว่านชิวจากไปซ่งหว่านชิวรู้สึกไม่สบาย เดินไม่เร็ว นานขนาดนี้เพิ่งเดินออกจากตึกตรวจคนไข้เพื่อยืนยันความคิดในใจ หลินจืออี้จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแต่ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าใกล้ ผู้ชายคนหนึ่งก็พุ่งออกมาคว้าแขนซ่งหว่านชิวแล้วดึงไปด้านข้างการแต่งตัวของผู้ชายเป็นเอกลักษณ์มาก เสื้อหนังและกางเกงหนัง ดูเหมือนการแต่งตัวแบบมืออาชีพของมอ
หลินจืออี้เดาเด็กอาจไม่ใช่กงเฉินดังนั้นเธอจึงถามหลิ่วเหอเกี่ยวกับเพื่อนเพศตรงข้ามที่อยู่ข้างกายซ่งหว่านชิวเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าแต่เมื่อเห็นซ่งหว่านชิวมีท่าทีหวาดกลัวขนาดนั้น หลินจืออี้ยิ่งเชื่อมั่นในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้นสี่วันต่อมา แม้ว่าซ่งหว่านชิวจะแต่งหน้าอย่างประณีตทุกวัน แต่จู่ๆ ก็หายไปชั่วขณะหนึ่งหลินจืออี้มักจะเห็นเธอซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของและบ่นพึมพําด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งตามที่หมอบอก ดูเหมือนว่าการแท้งของยาครั้งนี้ของเธอล้มเหลวแล้วซ่งหว่านชิวฝืนยืดเวลาไปอีกสองวัน ใบหน้าของเธอแทบจะปิดด้วยบลัชออนไม่ได้แล้ว จึงหาข้ออ้างไปโรงพยาบาลหลินจืออี้หาข้ออ้างส่งของ แล้วตามซ่งหว่านชิวออกไปด้วยซ่งหว่านชิวไปหาหมอที่สั่งยาให้เธอก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ เธอยังคงเลือกช่วงเที่ยงที่มีคนน้อยที่สุดเพียงแต่เธอรับโทรศัพท์ก่อนเข้าห้องทํางานและยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม"ว่าไงนะ? แน่ใจเหรอ? ฉันรู้แล้ว”ซ่งหว่านชิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ววางสายไป ทันทีที่วางโทรศัพท์ลง เธอก็หันมองไปรอบๆโชคดีที่หลินจืออี้หลบได้ทันเวลา มิฉะนั้นคงถูกซ่งหว่านชิวจับได้แล้วเธอรออย