“บัวงาม นี่เอ็งจำแม่มิได้รึ!”
คุณหญิงจันทร์งามทำท่าลมจะจับอีกรอบเมื่อเห็นว่าหลังจากที่บุตรสาวนามว่า ‘บัวงาม’ ล้มป่วยหลังจากข่าวการตายของชายอันเป็นที่รัก นางก็นอนซมไม่ได้สติมาสามวัน จนวันนี้ที่ลูกฟื้นขึ้นมา ดันเกิดอาการความจำเลอะเลือน จนจำแม้กระทั่งมารดาที่เป็นคนเบ่งนางออกมามิได้
“ใครคือบัวงามอ่ะป้า ฉันเหรอ?” ว่าพลางชี้ไปที่ตนเอง คุณหญิงจันทร์งามถึงกับรับไม่ได้เดินหนีไปทางอื่นจนเด็กสาวที่นั่งอยู่รั้งไว้ไม่ทัน นางสาวบีขมวดคิ้วยุ่ง ไม่เข้าใจคุณป้าการละคร แต่กลับสากคอ หิวน้ำเหลือเกิน “นี่ พวกพี่ๆ น่ะ มีน้ำไหม ถ้ามีเอามาให้ฉันที”
“จะ... เจ้าค่ะคุณบัวงาม” ผู้หญิงผมสั้นนุ่งผ้ารัดอกเหล่านั้นมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ยอมเอาน้ำใส่ขันมาให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงไม้สักแต่โดยดี แม้ว่านางสาวบีจะสงสัยในชื่อบัวงามที่หลุดออกมาจนนับคำได้ของทั้งสาวใช้และป้าคนเมื่อกี้ เลยได้แต่มองไปรอบๆ ห้องที่ตนอยู่ เครื่องตบแต่งดูไท๊ยไทย โบราณเสียจนต้องพลั้งปากถามออกไป
“นี่ ฉันอยู่ที่ไหนเหรอ”
“นะ... นี่คุณบัวงามจำกระไรมิได้จริงๆ หรือเจ้าคะ?” นั่นเป็นคำถามที่ดูจะตื่นตระหนกของพวกหล่อน แต่เธอก็พยักหน้ารับตามตรง
“อื้ม จำอะไรไม่ได้เลย” ซะที่ไหน จำได้โคตรแม่นเลยต่างหาก ก่อนหน้านี้เธอตายคาห้องผ่าตัดหลังจากไปศัลยกรรมหน้าอก วิญญาณหลุดออกจากร่าง ก่อนจะถูกคนที่คล้ายยมทูตโยนวิญญาณลงปากเหว
เอาเป็นว่านรกไม่ใช่แบบนี้ ต้องรู้ก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน
“ท่านชื่อบัวงาม เป็นบุตรสาวหลวงศรีจันทร์ มีสามีชื่อขุนแสนคำ แต่หลังจากได้ทราบว่าสามีของท่านตายในการศึก และมาเข้าฝันว่าจักมาเอาชีวิตท่านแลลูกไปอยู่ด้วยในสภาพดาบปักคอ ท่านก็ตรอมใจจนป่วยหนักเจ้าค่ะ”
พรูดดดด
นางสาวบีพ่นน้ำออกมาจนเปรอะเต็มหน้าสาวใช้นางหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่ นี่ยุคอะไร!!”
“อโยธยาเจ้าค่ะ” เด็กสาวแทบลมจับไปอีกรอบเมื่อได้รู้ความจริง งั้นก็ไม่แปลกล่ะที่ป้าคนนั้นจะเล่นละครโศกให้ดู ก็หล่อนอยู่ในร่างลูกสาวเขา แถมยังจำแม่บังเกิดเกล้าตัวเองไม่ได้อีก
นึกว่าจะมีแค่ในนิยายหรือละครไทยนะเนี่ย
นี่ฉันมาเกิดใหม่ในร่างของผู้หญิงยุคกรุงศรีหรือเนี่ย!
“แล้วขุนแสนคำนี่อะไร ทำไมอาฆาตฉันจังเลย” เธอตั้งคำถามถึงผีเฮี้ยน ที่เมื่อตายในสนามรบก็มาเข้าฝันเมียว่าจะเอาไปอยู่ด้วยจนเมียตรอมใจเกือบตายแบบขุนแสนคำ เป็นผัวประสาอะไร เป็นผีก็อยู่ส่วนผี ควรปล่อยวางให้นางบัวงามไปมีผัวใหม่ดิ
“ตอนที่ยังมีชีวิต ขุนแสนคำนั้นรักใคร่ท่านมากเจ้าค่ะ หมั้นหมายตบแต่งกันเรียบร้อย ท่านเองก็รักเขามาก แต่เมื่อสองปีก่อนท่านถูกเกณฑ์ไปรบ ท่านเองก็รอเขามาตลอด... จนตั้งครรภ์” ท้ายประโยคสาวใช้เลิ่กลั่กมองหน้ากันเองไปมา เหมือนรู้สึกว่าเรื่องที่เพิ่งโพล่งออกมาอาจไม่ควรพูด
เดี๋ยวก่อน...
พอถึงประโยคนั้นนางสาวบีจำเป็นต้องเบรกเพื่อทำความเข้าใจกับกราฟชีวิตของนางบัวงามที่ตนเองเข้ามาสิงสู่
สามีไปรบสองปี แต่ตัวเองเพิ่งตั้งท้อง
งี้มันไม่ใช่การนอกใจหรอกเหรอ!!
นางบัวงามนอกใจผัวที่ตบแต่งอยู่ไม่ใช่เหรอวะ คนบ้าอะไรผัวไปรบสองปีเพิ่งมาท้องอ่อนๆ ดูที่ท้องก็ยังไม่ป่องดีด้วย
อะ... อ้าว
สรุปตอนแรกที่คิดว่าผียึดติด มีสิทธิ์อะไรมาเข้าฝันจะไปเอาชีวิตคนอื่นทั้งที่ตัวเองตายไปแล้ว
สรุปคืออีหญิงร่างที่กูสิงอยู่นี่แหละคือคนเลว!!
“แล้วไงต่อพี่ เล่าต่อเลย” ถึงจะอยากขอยาดมมากกว่าก็ตาม คนอื่นเขาเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในร่างนางร้ายเชิ่ดๆ สวยๆ บางคนก็เข้าไปอยู่ในร่างนางเอก แต่นี่ฉันมาอยู่ในร่างของหญิงสองใจที่อาศัยจังหวะเหินห่างกับผัวไปมีซัมติงกับซัมวันจนท้องโต พอผัวตายเป็นผีรู้ว่าเมียนอกใจเลยเข้าฝันจะมาเอาชีวิตไปเป็นการแก้แค้น เออ ดี! แบบนี้จะแก้ไขชีวิตนี้ยังไงดีวะ
“ช่วงนี้ข่าวลือเรื่องผีขุนแสนคำเฮี้ยนกำลังกระฉ่อนไปทั่วพระนครเลยเจ้าค่ะ ว่ากันว่าเขามักจักมาตามหาท่านในช่วงยามสาม ร้องเรียกชื่อจักเอาชีวิตท่านแลลูกในท้องอยู่ทุกค่ำคืน ท่านเองก็ไม่กล้าหลับเพราะจักฝันถึงขุนแสนคำในสภาพน่ากลัวจักมาฆ่าเอาชีวิตอยู่ตลอด จนกระทั่งล้มป่วยไปสามคืนนี่ล่ะเจ้าค่ะ”
นางสาวบีนิ่งฟังแล้วก็เอนเอียงไปเข้าใจทางฝ่ายผี ก็ตายแล้วกลับรู้ว่าเมียตัวเองหักหลังแบบนี้ เป็นใครก็เฮี้ยนอยากเอาชีวิตไปทั้งนั้น
ยังไงก็อยากเจรจาก่อน
“งั้นคืนนี้ฉันจะนอนก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าฉันนะ”
ตกดึกสงัด สภาพเรือนโดยรอบวังเวงอย่าบอกใคร นางสาวบีนั่งอยู่ในห้อง หลังจากอาบน้ำผัดแป้งเรียบร้อยตามครรลองของสาวยุคกรุงศรี แม้จะลำบากไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ ตามประสาคนทำอาชีพหมอผีมีบ้านร่ำรวยจนอาบน้ำด้วยฝักบัวใหญ่ แต่เพราะว่าอดีตเคยอยู่บ้านนา แก้ผ้าอาบน้ำต่างขันกับโอ่งมังกรมาตั้งแต่ยังเด็กเลยไม่ถือว่าเลวร้ายนัก
เธอออกไปสำรวจเรือนภายนอกมาแล้ว ดีกว่านั่งอุดอู้เป็นหญิงป่วยอยู่ในห้อง เหมือนว่าเรือนของแม่สาวบัวงามอะไรนี่จะใหญ่โตโอ่อ่าน่าดู ก็เป็นถึงลูกหลวงที่มีหน้ามีตา มีอำนาจ ไม่แปลกหรอกที่จะมีบ้านเรือนไทยหลังงามเช่นนี้
แต่ยังไม่รู้ที่มาของชายที่มาเป็นชู้เมียชาวบ้าน เห็นทีคงจะต้องสืบต่อไปเรื่อยๆ
ดวงตาของแม่หญิงบัวงามไม่สามารถเห็นภูตผีวิญญาณได้เหมือนอย่างร่างเก่าของนางสาวบีที่มีซิกส์เซ้นต์มาตั้งแต่เกิด สงสัยที่ฝันถึงผัวที่ตายไปแล้ว คงเพราะจิตพิศวาสที่สื่อถึงกันได้ แม่สาวนี่คงมีใจนึกคิดถึงผัวที่ไปรบอยู่บ้างกระมัง
“เอาล่ะ ฉันจะนอนแล้วน้า พ่อผีแสนคำเชิญมาเข้าฝันตามสบาย” ก่อนจะคลุมโปงหญิงสาวโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงดังระดับหนึ่งเป็นเชิงท้าทายวิญญาณเฮี้ยนของนายแสนคำ หมอนั่นคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แม่สาวนี่แหละ เพราะพอฟ้าเริ่มมืดมักรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ หลังอยู่ตลอด บางครั้งก็รู้สึกเหมือนมีใครมามองผ่านช่องบานหน้าต่างอีกด้วย
นางสาวบีไม่สวดมนต์ ถอดสร้อยพระที่มีคนเอามาห้อยคอนางบัวงามออกไปวางไกลๆ ตัว ก่อนที่จะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่ม หลับตาลง ค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนิทราลึกลับ
สิ่งแรกที่พบเจอคือเพลิงกัลป์ พอมองชัดอีกทีคือเสียงเซ็งแซ่ของดาบเหล็ก เสียงฉีกเนื้อเถือหนังด้วยอาวุธ เสียงระเบิด เสียงกรีดร้องของผู้คน
ความฝันนิมิตให้นางสาวบียืนอยู่ท่ามกลางสงคราม ทัศนียภาพสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเป็นภาพกองศพของทหารมากมายนอนจมกองเลือดอยู่ บ้างอวัยวะขาด ศีรษะขาด แขนขาด ลำไส้ไหลเกลื่อนกลาดจากแรงระเบิดหรือคมดาบ มีให้เห็นกันแบบไม่เซ็นเซอร์เลยทีเดียว
ปลายเท้าเล็กเดินตามกองเลือดที่ท่วมท้นไปด้วยซากศพ ปากก็สวดมนต์ไปด้วยเพื่อควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง ยอมรับว่าครั้งแรกเหมือนกันที่ผีเฮี้ยนจนสร้างนิมิตอลังการแบบนี้ได้ แสดงว่าผู้ชายคนนี้ตอนมีชีวิตอยู่น่าจะมีคาถาอาคมพอตัว
แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเผลออาเจียนออกมาใส่ซากศพเหล่านั้น เพราะกลิ่นเลือด กลิ่นน้ำหนองคาวคลุ้งเสมือนอยู่ท่ามกลางสถานที่นั้นจริงๆ
นางสาวบีเห็นผีมาก็เยอะ ปราบผีมาก็แยะ แต่ให้มาให้ศพเห็นเลือดขนาดนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ตึก
ตึก
ตึก
แหมะ... เผละ
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” เขาตอบเพียงเเค่นั้น พลางคลี่ยิ้มบางซ่อนความไม่พึงใจภายใต้รอยยิ้มนั้นไว้ “ข้าได้จัดเรือนรับรองไว้ให้แล้ว ขุนอิน เจ้าพำนักอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่งเถิด จักพอมีเพลาอยู่กับข้าได้หรือไม่่?” ขุนอินยิ้มน้อยๆ เมื่อร่างชายวัยกลางคนชักชวน ดวงตาภายใต้เเว่นกรอบหนาเปี่ยมด้วยไมตรีจิตที่จริงใจ “ครานี้สนามรบหาได้คึกคักไม่ ข้าไม่มีภาระอันใดดอก ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนเอ็งเอง จักมิปล่อยให้เอ็งเผชิญความลำบากนี้โดยลำพังเป็นอันขาด” นางสาวบีเผลอประทับใจกับความสัมพันธ์ของชายทั้งสองจนสายตาวาววับเป็นประกาย อย่างน้อยเเม้ไม่มีใครจริงใจกับขุนเเสนคำเลยเเม้เเต่เมียตนเอง เเต่เขาก็ยังมีมิตรเเท้ที่หาได้ยากยิ่งในช่วงเวลานี้อยู่ หญิงสาวฉีกยิ้มบาง ดูเต็มไปด้วยอารมณที่ดีนักหนา โดยที่ไม่เข้าใจตนเองเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงต้องดีใจไปกับเรื่องดีๆ ของเขา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าภาพเหล่านั้นกำลังอยุ่ในสายตาของหมอหนุ่มในทุกอิริยาบถของเธอ “งั้นข้าขอตัวก่อน เสร็จธุระเเล้ว” ขุนอินโพล่งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ซุกซ่อนความรู้สุกบางอย่างไว้ใต้พรมเเห่งความคิด ขุนเเสนคำในร่างพระยาสิงขรจึงฝากฝังให้ข้าไทประจำเรือนรับรองพาชายหนุ่มไ
“เขา... จะไม่ตายใช่หรือเปล่าจ๊ะ?” เธอถามเสียงแผ่ว ขุนอินยังคงสับสนไม่รู้ว่าหล่อนรู้เรื่องชายผู้นี้ที่บาดเจ็บอยู่ในเรือนได้อย่างไร เขายังคงสับสนหลายๆ อย่างเพราะรู้จักขุนเเสนคำมานาน รวมถึงรู้จักบัวงามในฐานะเมียของเพื่อน เเต่ในตอนนี้หล่อนจับพลัดจับผลูมาเป็นเมียของผู้ที่เราทั้งสองเคารพรัก เเละดูเหมือนท่านจะไว้วางใจในตัวนางให้รู้เรื่องราวทุกอย่างเสียงด้วย ขุนอินเหลือบมองหล่อนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้ากลับลง “ถ้านี่มิใช่กระสุนอาคมเจาะเนื้อหนัง ก็ตอบได้ทันทีว่าไม่... หากแต่ตอนนี้กระผมตอบไม่ได้” พระยาสิงขรเม้มปากแน่น “กระสุนนี้เป็นกระสุนที่ข้าได้มาเพื่อกำจัดผู้มีอวิชาฟันเเทงมิเข้า” ขุนอินไม่ตอบอะไรเมื่อเขาอธิบาย ชายหนุ่มเพียงหยิบเอาใบยาฝานบางแช่น้ำสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนจากดีปลี ขมิ้นอ้อย และรากขันทองพยาบาท ค่อยๆ วางแนบบริเวณแผล แล้วปิดทับด้วยผ้าขาวสะอาด เขาหยิบแหนบเล็กจากปลอก มีปลายงอนคมเหมือนงาช้าง แล้วล้วงลึกลงไปในแผลที่เป็นรูโดนกระสุนฝังในร่างกายของมัน ร่างของไอ้เหล็กกระตุกเบาๆ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รวมถึงนางสาวบีที่เเสดงสีหน้าเหยเกเพราะเป็นการรักษาสดๆ ต่อหน้าโดยที่ไร
ทั้งที่พ่อทำให้แม่ต้องตรอมใจถึงเพียงนั้น ยังจะกล้ามองเขาเป็นลูกที่น่าภูมิใจอีกหรือ? ตลกสิ้นดี เผยธาตุแท้ออกมาเถิด ให้เขาได้เห็น ให้ผู้คนทั้งพระนครได้เห็นว่าพ่อก็เป็นเพียงชายผู้มีจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว มัวเมาในราคะและหลงเชื่อหญิงโง่เง่ามากกว่าคนในครอบครัว ดังที่เคยทำจนชื่อเสียงเสื่อมเสียไปทั้งเมือง พ่อไม่เคยนึกถึงเลยหรือ ว่าตระกูลเราต้องอับอายมากถึงเพียงไหน? เขาเกลียดนัก เกลียดความใจดีเเละเสแสร้งนั่น เกลียดแววตาภาคภูมิใจเวลาที่พ่อมองมาที่เขา ทั้งที่ไม่ต้องการ ใช่... เขาอยากเห็นสีหน้าแบบนี้แหละ หน้าตาเต็มไปด้วยความชิงชัง ริษยา รวมถึงพิษร้ายอย่างความหึงหวง สมแล้วกับหน้ากากของพระยาสิงขรผู้ยิ่งใหญ่ที่เบื้องหลังฟอนเฟะยิ่งกว่ากระไรดี ขอบคุณท่านจริงๆ เจ้าคุณพ่อ... ขอบคุณที่ในที่สุดก็เผยไส้ในให้ลูกได้เห็นเสียที ข้าจะได้ก้าวข้ามท่านโดยไร้ความลังเลอีกต่อไป หนึ่งวันผ่านไป ตกช่วงเย็นใกล้ฟ้ามืด ก็มีเสียงม้าดังเร่งฝีเท้าเข้ามาท่ามกลางความเงียบของเรือนใหญ่ของท่านพระยา บัวงามเปิดม่านเเพรอย่างตื่นเต้น เพราะทันทีที่ขุนเเสนคำส่งข้อความไปถึง ‘ขุนอินเวชะสรรพ์’ หรือหมอหลวงที่เป็นสหายเก่าของขุนเเสนคำ
มิ่งขวัญหลบตัวอยู่ภายในห้องตั้งเเต่ช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง ไม่ยอมออกมาร่วมวงทานข้าวกลางวันกับผู้ใดในเรือน ก็แน่ล่ะ มันเล่นทำเรื่องงามหน้าเอาไว้ถึงขนาดนั้นนี่ นางบัวงามนั่งลงที่สำรับด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ข้อมือของหล่อนยังปรากฏรอยแดงให้เห็นชัดถนัดตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนั้นไอ้เด็กเวรนั่นออกแรงฉุดยื้อเเรงเเค่ไหน และเมื่อถึงเวลาที่คิดว่ายอดหล้าน่าจะสำเร็จโทษความผิด กลับทำท่าทีหนีปัญหา ไม่คิดรับผิดรับชอบอะไรในสิ่งที่ทำเลยสักนิด ก็ขี้ขลาดตาขาวสมกับเป็นมันดี แม้สุดท้ายจะหลงเหลือมันเพียงคนเดียวในโลก บีก็ไม่ได้คิดที่จะแลแม้ปลายหางตา ผู้ชายที่ไหนพอโดนอ่อยเลยเพิ่งมาคลั่ง เเถมยังใช้วิธีคลั่งเเบบบังคับใจอีกฝ่าย นี่มันพฤติกรรมของเด็กน้อยชัดๆ คิดเเล้วยังหงุดหงิดหัวเสียไม่หาย ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เข้าหาบัวงามในร่างนี้ด้วยเจตนาร้าย จะเป็นชายที่นางเคยคว้ามาโดยไร้ความคิด หรือแม้แต่ที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ตาม สุดท้ายล้วนไม่เข้าท่าสักคน รวมถึงขุนแสนคำด้วย หลังจากที่เขาทรมานนายเหล็กอยู่แทบทั้งคืน ดูท่าชายผู้นั้นจะปากหนักไม่ยอมเอ่ยความใดถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลยสักนิด แววตาพร่าเลือนประหนึ่งคนที่พร้อมจะส
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย นางสาวบียกมือเรียวสวยขึ้นกุมขมับ เมื่อเช้าวันต่อมามิ่งขวัญโผล่หัวมาพร้อมกับท่าทางราวกับคนไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน บุรุษหนุ่มหุ่นลีนโผล่หัวเข้ามาหน้าเรือนพระยาทั้งที่ยังสวมเสื้อตัวบางหลวมโพรก ผมเผ้ายุ่งเหยิง แววตาหวานเจือคลั่งจนไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ มิ่งขวัญกำลังยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าหล่อน หน้าเเดงก่ำ เหงื่อผุดพราย หมอนี่เกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นอีกล่ะ? “ฉันคิดถึงหล่อนทั้งคืน... จนแทบจะบ้าคลั่งอยู่เเล้ว” ประโยคเเรกที่หลุดรอดออกมาจากเด็กวัยรุ่นทำเอานางบัวงามยกมือขึ้นทาบอก เเค่คืนเดียวที่ยั่วยวนไปเเบบไม่ได้ตั้งใจผสมอารมณ์เคืองขุ่น กลับได้ผลลัพธ์ที่บ้าบอยิ่งกว่า ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่ กึ่งจะเชื่อว่าตนหลุดมาอยู่ในละครจักรๆ วงศ์ๆ สลับร่างฉับพลันกับหญิงในอดีตซึ่งดูเหมือนจะมีผู้ชายวนเวียนรอบกายไม่หยุดไม่หย่อน เเตกต่างจากก่อนจะตายที่เธอไม่มีใครมาขายขนมจีบให้เลยเเม้เเต่คนเดียว มันก็ดี เเต่ชักเริ่มรำคาญใจ “เจ้ามิ่งมาเรือนนี้แต่เช้าด้วยเหตุใดจ๊ะ” นางเอ่ยราวต้องการปัดรูปประโยคคลั่งไคล้ของเขาออกไปให้พ้นทาง เริ่มเว้นระยะห่างด้วยการถอยหนีอย่างกระอั่กกระอ่วน หากเเต่เด็กหนุ่ม
“พี่ เดี๋ยวฉันจัดการเองดีกว่า” บีเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบโพล่งขึ้นมา ร่างเล็กยังเจ็บขาอยู่เเต่ก็ฝืนใจลุกขึ้น เซไปเล็กน้อยท่ามกลางสายตาที่สั่นไหวเพียงชั่วครู่จากเสี้ยวหน้าดุดัน รอยฝีเท้าเปล่าที่ย่ำลงพื้นไม้ของหล่อนนั้นซวนเซจากอาการบาดเจ็บ หากแต่หนักแน่นพอจะทำให้ความเงียบของเรือนที่มืดเเละสงบอย่างน่ากลัวแตกกระจาย เธอก้าวเข้ามาช้าๆ ดวงตาสบกับดวงตาเดือดดาลของชายพม่าผู้เคยมั่นใจในฝีมือของตนว่าเป็นนักรบอันเกรียงไกร เเต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับทำให้มันเปลี่ยนความคิด นังนี่เป็นใครกันเเน่ ไอ้เหล็กที่นั่งอยู่ต่ำกว่ามองผู้หญิงตัวเล็กเหนือร่างด้วยความฉงนปนเคืองเเค้นยิ่งนัก ขุนแสนคำยังคงไม่พูดอะไร เพียงแต่เหลือบตามองเธอ ก่อนจะหันกลับไปยังไอ้เหล็กอีกครั้ง “มิต้อง” เขาห้ามปรามความอวดเก่งของเมียตนเอง ฝ่ามือหนาดันไหล่เธอออกน้อยๆ “พี่จัดการเอง” พะ... พี่? นางสาวบีเผลอขนลุกให้สรรพนามนั้นเล็กน้อย ก่อนที่ต่อมาจะเข้าใจได้ว่าเขากำลังเล่นละครปาหี่ต่อหน้าไอ้เหล็กอยู่ “มึงมิกลัวความตายงั้นรึ” เขากล่าวเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะที่กรุ่นร้อนราวขี้เถ้าใต้กองไฟที่พร้อมลุกโชนขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น กูจักไม