Mag-log inเมื่อหญิงสาวล้มลงอาเจียน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใหญ่ดังขึ้นอย่างหนักแน่น พร้อมกับเสียงเลือดที่หยดลงมาตามทางของร่างนั้นกำลังตรงมาทางหล่อนอย่างเชื่องช้าเป็นจังหวะขนหัวลุก เสียงเหยียบอวัยวะแหลกเหลวของพวกทหารดังจนนึกภาพตามได้
เอาเข้าแล้วไง หรือเราไม่ควรเอาตัวเองไปท้าผีเฮี้ยนสมัยโบราณแบบนี้วะ
นางสาวบีคิดได้แบบนั้นก็สายไปแล้ว ข้อมือเล็กถูกกระชากขึ้นจนลอยเคว้งกลางอากาศแต่ไม่รู้สึกเจ็บ ภาพตรงหน้านั้นชวนให้ตกตะลึง
ชายตัวใหญ่สูงราวๆ 190 เซนติเมตร ตัวใหญ่กำยำมาก สวมใส่โจงกระเบนเปรอะเลือด ดวงตาสีดำทมิฬไม่มีนัยน์ตาขาวกำลังจ้องมองร่างของเธอที่ห้อยต่องแต่งกลางอากาศอย่างเคียดแค้น ตามร่างกายมีบาดแผลเหวอะหลายจุด รวมถึงดาบขนาดใหญ่ที่ปักคอเกือบขาดวิ่น
‘หลับลงแล้วหรือ... อีหญิงชั่ว’ เสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้ลอดผ่านปาก แต่ลอดผ่านอวัยวะกล่องเสียงที่ลอดมาทางช่วงลำคอที่หวิดเกือบขาด เสียงนั้นอู้อี้ดูหลอนน่ากลัวมากๆ ‘มึงอย่าเผลอดวงตกเชียว... กูจักตามเอาชีวิตมึงกับเด็กในท้องมึงมาเป็นบริวารกู... อีแพศยา!!’
อย่างหลอน นี่ต้องตายด้วยความแค้นขนาดไหน ถึงได้อยากเอาชีวิตทั้งเมียที่รักและลูกที่ไม่ใช่ลูกตัวเองไปอยู่ด้วยขนาดนี้
แต่ด่ากันขนาดนี้ เอาดาบที่ปักคอมาแทงหนูเลยยังเจ็บน้อยกว่า
“ระ... เราคุยกันดีๆ ได้ไหมพี่ผี” เสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเสียงของร่างที่ชื่อว่าบัวงาม แต่การใช้คำพูดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขุนแสนคำไม่ใช่คนโง่ตั้งแต่มีชีวิตอยู่แล้ว อีกอย่างเขารู้จักนังหญิงนั่นดีกว่าใคร เขากลอกตามองหญิงสาวตรงหน้า เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ดวงจิตของบัวงาม จึงรีบปล่อยร่างนั้นหล่นลงพื้นทันที
ตุบ!
“โอ้ยแม่!!” จะปล่อยลงก็บอกกันก่อนสิไอ้ผีนี่
‘มึงเป็นใคร’
เมื่อปล่อยร่างนั้นลงพื้น ผีขุนแสนคำถามขึ้นมา เขานึกสงสัยนักว่าทำไมดวงจิตของผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในร่างของเมียใจชั่วของเขา
“จะให้บอกชื่อร่างที่มาสิงหรือบอกชื่อจริง?” หมั่นไส้ความเป็นผียังเต๊ะท่าบาตรใหญ่เลยยียวนไปที อย่าคิดว่าอีบีคนนี้จะไม่กล้ากวนประสาทผีนะ
‘คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงหรือไร อีผีเร่ร่อน บอกชื่อมาเสีย... ก่อนที่กูจักจับมึงมาเป็นบริวารอีกตัว’
จบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักลอยเคว้งอยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นผีที่มีพลังวิญญาณมาก ถึงขนาดจับผีเร่ร่อนมาเป็นพวกได้เลยหรือนี่
“บี หนูชื่อบี! แล้วก็ไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วย” เป็นวิญญาณเฉยๆ
เอ้ะ หรือมันก็เหมือนๆ กันวะ?
‘เช่นใดผีเร่ร่อนจึงมาสิงสู่ร่างกายอีบัวงาม มันตายไปแล้วหรือ!’ สิ้นคำถามส่อแววพยาบาทนั้น นางสาวบีเองก็หยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่
“ไม่มั่นใจ หรือตายแล้วแหละ” ก็ถ้าตามที่เรียนมาเมื่อกายหยาบมีวิญญาณอื่นมาสิงสู่ได้ แสดงว่าจิตในร่างก็ต้องหลุดออกจากกายหยาบแล้วใช่ไหมนะ
‘ยังมิทันได้ชดใช้บาปกรรม ก็ตายห่าเสียแล้วหรือ’ ร่างกำยำที่มีรังสีความเฮี้ยนอยู่มากยืนครุ่นคิด ขุนแสนคำเชื่อว่าวิญญาณนังหญิงชั่วนั่นยังไปไหนได้ไม่ไกล เมื่อยังมีชีวิตเขาเอ็นดูนางรักใคร่นางมาก พร่ำบ่นอยากมีลูกทุกวันคืน แม้สุดท้ายจะได้ไปรบโดนพรากจากเมียอันเป็นที่รัก เขายังคงเขียนจดหมายส่งมาให้หล่อนผ่านทหารให้ควบม้ากลับไปที่พระนครเสมอ
เมื่อโดนฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในสงคราม วิญญาณที่หลุดออกจากร่างล่องลอยกลับมาในที่ที่ยังมีห่วง นั่นคือเรือนหอของสองเรา หารู้ไม่ว่าเขากลับเห็นเมียที่เขารักยิ่งกว่าดวงใจกำลังเสพสังวาสกับชายอื่น บางวันก็พาชายมากชู้หลายตามากินบนเรือน
ยิ่งรู้ยิ่งแค้น กว่าข่าวที่ว่าเขาตายในสนามรบและประสบผลพ่ายแพ้ศัตรูกลับมา เมียรักของเขาก็กลายเป็นหญิงทรามมากผัว ตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าลูกเป็นของใครต่อใคร
เมื่อข่าวมาถึงหูนาง หญิงสาวเองก็รู้ว่าตนเองตั้งท้อง เมื่อรับรู้ว่าหาพ่อเด็กไม่ได้จึงร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา วิญญาณขุนแสนคำสันนิษฐานว่าถ้าเกิดเขารอดและกลับมาจากไปรบ อีหญิงชั่วนี่คงจะเอาลูกที่ไม่ใช่ลูกของเขามาสวมรอยให้เขารับเป็นพ่อเด็กเป็นแน่ นี่ถ้าไม่ตายห่ากลางสงคราม คงไม่มีวันได้รู้จิตรู้ใจเมียชั่วของตนเอง
ขุนแสนคำเริ่มกระหายอำนาจเพื่ออยากลากวิญญาณของสองแม่ลูกมาลงนรก เพราะความอาฆาตแค้นจึงเผลอพาลไปสู่บุตรในครรภ์นั้นด้วย เขารวบรวมภูตผีเร่ร่อนที่ฤทธิ์เดชด้อยกว่ามาเป็นบริวารเหมือนสมัยที่ยังมีชีวิตได้ร่ำเรียนคาถาอาคมนะลงของมาบ้าง พร้อมกับตามหลอกหลอนนังบัวงามจนหล่อนจับไข้หัวโกร๋น
น่าจะตายเพราะพิษไข้ที่เขาตามหลอกหลอนกระมัง อ่อนแอขี้แพ้เหลือเกิน ผีขุนแสนคำยังไม่สาแก่ใจนัก ที่เขาคิดไว้คือต้องการบันดาลโทสะจับเธอและบุตรมาเป็นบริวารและทำให้รู้สึกเหมือนดั่งอยู่ในนรกต่างหาก
แต่สิ่งที่ได้กลับมา ร่างของหญิงใจชั่วนั้นมีวิญญาณเร่ร่อนของหญิงเทื้อนางหนึ่งเข้ามาในร่าง
เช่นนี้แล้วแผนการแก้แค้นของผีจะสำเร็จได้อย่างไร
‘มึงทำให้แผนแก้แค้นของกูพัง... จักสั่งเสียกระไรก็ว่ามา’ เมื่อเขาเป็นผีที่มีพละกำลังมากอยู่แล้ว การมองผีเร่ร่อนตรงหน้าก็เหมือนกับมองเด็กอมมือที่ริจะชิงร่างคนอื่นเพื่อกลับมามีชีวิต แต่หารู้ไม่ว่าร่างกายนี้มีเขาเป็นเจ้าชีวิต นับว่านังผีเร่ร่อนตนนี้โชคร้ายเอง
ขุนแสนคำดึงดาบที่ปักที่คอออกมาจนเลือดทะลักกระเซ็นเปรอะหน้านางสาวบีที่นั่งมองภาพอภินิหารผีหัวขาด ศีรษะของขุนแสนคำห้อยต่องแต่ง เปิดเผยอวัยวะภายในคอที่เต้นหนึบๆ พร้อมกับคมดาบที่จ่อที่คอหอยหล่อน
“ดะ... เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งตีความไปเองสิพี่ว่าฉันไม่มีประโยชน์!” กลัวก็กลัวแต่ใจมันสู้ ผีหัวขาดก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเห็น แต่ที่กลัวเพราะจิตสังหารหมอนี่มันรุนแรงมากจนจะอาเจียนต่างหาก คือกะจะฆ่าเธอจริงๆ เพื่อที่จะเอาร่างของผู้หญิงคนนี้ลงนรกไปด้วยกัน
แต่ไหนๆ ก็ได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว เธอก็ไม่อยากตายง่ายๆ อ่ะ!
คมดาบนั้นชะงักนิ่ง ผีขุนแสนคำหรี่ตามองนางบัวงามที่ภายในไม่ใช่นางบัวงามตรงหน้า ‘งั้นว่ามา... ว่ามึงมีประโยชน์กระไรกับกู’
“ให้เดาคือพี่ไม่รู้ใช่ไหมว่านางบัวงามเนี่ยเธอมีชู้เป็นใคร แล้วพ่อของเด็กในท้องเป็นใคร”
‘...’
“ฉันสืบให้ได้นะ อีกอย่างรอฉันคลอดเด็กก่อนไหม จะได้รู้ว่าหน้าเหมือนใคร” นี่ถวายตัวสุดๆ เลยนะพ่อ มากกว่านี้ก็ต้องเลี้ยงเด็กจนโตส่งเรียนรับปริญญาให้เด็กแทนแล้วนะ
‘สภาพอย่างมึงจักคลอดเด็กคนนี้ออกมารึ อย่ามาต่อชีวิตให้เด็กกาลกิณี กูเพียงแค่จักเอามันมาทำเป็นกุมารใกล้ตนเท่านั้น’
“มันบาปนะพี่ผี!”
‘ลูกกูก็มิใช่ เหตุใดกูต้องสนใจ’
“ผีทุกตนคงอยากมีบั้นปลายที่สวรรค์ใช่ไหม ถ้าพี่ทำแบบนั้น เมื่อพี่หมดกรรม หมดห่วง วิญญาณพี่จะตกบ่วงลงนรกนะคะ พี่คงไม่อยากโดนทรมานเหมือนตายทั้งเป็นใช่ไหม” อย่างน้อยผีขุนแสนคำก็ยังไม่เคยลงนรก ขู่ไว้ก่อนละกัน
‘หึ... ดูมึงจักรู้ดีเหลือเกิน รู้ดีกว่าตัวกูที่ตายไปเป็นเดือนเป็นปีแล้วเสียอีก’
“หนูก็มีความแค้นเหมือนกัน อย่าว่าแต่พี่เลย ก่อนตายหนูถูกทำให้ตายโดยไม่เป็นธรรม หนูเองก็อยากแก้แค้นมันเหมือนกัน!” สีหน้านั้นช่างจริงใจ อีกอย่างนางสาวบีก็ไม่ได้โกหก เธอเคียดแค้นอีผึ้งหมอกระเป๋านั่นชนิดที่ว่าถ้าเฮี้ยนได้แบบขุนแสนคำก็อยากไปหลอกมันจนหัวโกร๋น
ผีนักรบหนุ่มมองสีหน้านางบัวงามที่มีแววอาฆาตแค้น ก่อนที่จะชักดาบออก
‘งั้นมึงต้องทำตามที่กูสั่ง... แลกกับไม่โดนฆ่าเอามาเป็นบริวาร ดีหรือไม่’
หากขุนเเสนคำรู้เล่า? เขาคงได้จบสิ้นในฐานะเพื่อนรักเป็นเเน่ อีกด้านของก้นบึ้งภายในจิตใจที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้เเม้ว่าจะตนเองจะเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยก็ตาม นั่นก็คือความรู้สึกไร้ความเห็นอกเห็นใจที่ไม่ว่าจะต้องเเย่งชิงเมียรักของเพื่อนเขาก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มผู้นี้หาได้มีความหวาดกลัวต่อเลือดเเละศพจึงได้เป็นหมอ อนึ่งเพราะต้นตระกูลของเขาต้องการให้บุตรชายเป็นหมอด้วยส่วนหนึ่ง หมอรักษาทัพผู้อื่นมักมีอาการ ‘โทษใจ’ หรืออารมณ์สะเทือนขวัญหลังจากการรักษาเเผลฉกรรจ์ขั้นรุนเเรงของเหล่าทหารในสนามรบ หรือเมื่อการรักษานั้นทำให้คนไข้ตายอย่างน่าเวทนา เเต่เขานั้นกลับไร้ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกขาดความเห็นอกเห็นใจนั้นอาจสร้างความผิดปกติให้เเก่ภาพลักษณ์ของเขาก็ได้ ยิ่งกับต้นตระกูลที่เข้มงวดเเละคาดหวังในตัวของบุตรชายเพียงคนเดียว หมออินจึงซุกซ่อนความเลือดเย็นไว้ภายใต้หน้ากากหมอยาที่เเสนอบอุ่นเเละพูดน้อย หากเเต่ใครเล่าจะรู้... เบื้องลึกอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงภายในหัวของหมอหนุ่มผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน นั้นกลับเต็มไปด้วยความกักขฬะหยาบต่ำเสียมากมาย อยากลากทึ้งบัวงามที่เขาหลงใหล
ภายในตำหนักหลวงของพระมเหสีเทวีรัตน์ กลิ่นกำยานหอมเย็นแผ่วเบาอบอวลตลบอยู่ในห้องทึบแสง ผ้าม่านไหมสีมรกตพลิ้วตามแรงลมอ่อนจากภายนอก ขับเน้นบรรยากาศให้เยียบเย็นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ายามค่ำ พระมเหสีทรงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง พู่กันถูกจรดลงบนพวงแก้มที่ไม่จำเป็นต้องประดับแต้มใดให้มากความ ใบหน้างามหยาดหยดที่เคยเป็นหนึ่งเดียวในสายพระเนตรขององค์เหนือหัว บัดนี้กลับถูกแบ่งปันให้หญิงอื่นเสียเเล้ว "เมื่อคืน... ทรงทอดพระเนตรนางจนลืมแม้กระทั่งข้า" น้ำเสียงที่เปล่งออกจากเรียวปากแดงฉ่ำของพระนางนั้นเย็นเยียบ แต่แววตาที่สะท้อนอยู่ในกระจกกลับแดงก่ำด้วยเพลิงริษยา ดวงหน้าอันงดงามนั้นยังไม่เปลี่ยนเเปรเเม้อายุจะมากขึ้น หากเเต่หล่อนกลับสู้ความงดงามของพระสนมชั้นต่ำศักดิ์นั่นมิได้อย่างนั้นหรือ “ช้องนาง เจ้ามิคิดงั้นหรือ?” พระมเหสีทรงตรัสเรียกหญิงนางนมคนสนิทที่จรดพู่กันลงบนพวงเเก้มงาม หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้พระองค์ทรงเป็นทุกข์เพียงใด สวามีเพียงหนึ่งเดียวมีสนมมากมายนั่นไม่พอให้ทุกข์ทรมานเเสนสาหัส เเต่พระเจ้าสุริยะจักราธิวงศ์มิเคยไว้หน้าพระองค์ในฐานะมเหสีเลยเเม้เเต่น้อย ตั้งเเต่ที่พระสนมจันทร์จรีป่วยหนักเเลเปลี่ยน
เมื่อบุตรชายคนโตคล้อยหลังไป แย้มเนืองก็เข้ามาบีบนวดขาของหล่อนอย่างคุ้นชิน ทองผินส่งสายตาไปเพียงครู่เดียว น้องสาวใน้คราบบ่าวรับใช้ผู้รู้ใจก็พยักหน้ารับ ก่อนจะวางห่อผ้าเล็กๆ ไว้เบื้องหน้าหล่อน ‘ผงสังข์ทองล้างกลด’ ผงพิษร้ายแรงซึ่งประกอบด้วยเถ้ากระดูกชายตายโหง ดินเจ็ดป่าช้า และน้ำมันพราย มันมีลักษณะเป็นผงละเอียด สีเทาหม่นปนน้ำตาลดำ คล้ายเถ้าถ่านผสมคราบดินเก่าชื้น มีกลิ่นฉุนบางเบา คล้ายดินเปียก น้ำมันเก่า และควันไฟ หากนำเข้าใกล้จมูกนานๆ เเล้วละก็... จะรู้สึกเหมือนมีกลิ่นเนื้อคนเผาไฟแทรกซึมอยู่ในอากาศ ใช่แล้ว... ผงพิษนี้นางใช้ผสมปะปนในสำรับอาหารของสามีทุกวัน ทั้งของคาวหวาน ไพร่ในโรงครัวเป็นผู้มีหน้าที่ปรุงก็จริง เเต่คนจัดสำรับขั้นสุดท้ายก็หาใช่ใครอื่น นอกจากน้องสาวแท้ๆ ของนางเองอยู่ดี แน่นอน... มือสุดท้ายของคนในเรือนเดียวกัน ไม่มีทางจับมือใครดมได้ “แต่ดูเหมือนไอ้พระยานั่นยังจะมีเรี่ยวแรงดีนัก” แย้มเนืองยังคงไม่วางใจนัก หล่อนเอ่ยอย่างขุ่นเคืองที่ยังคงเห็นพระยาสิงขรดำเนินงานได้ตามปรกติ เเถมเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่เสเพล หากแต่ทองพินกลับกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาพร้อมกับเสีย
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” เขาตอบเพียงเเค่นั้น พลางคลี่ยิ้มบางซ่อนความไม่พึงใจภายใต้รอยยิ้มนั้นไว้ “ข้าได้จัดเรือนรับรองไว้ให้แล้ว ขุนอิน เจ้าพำนักอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่งเถิด จักพอมีเพลาอยู่กับข้าได้หรือไม่่?” ขุนอินยิ้มน้อยๆ เมื่อร่างชายวัยกลางคนชักชวน ดวงตาภายใต้เเว่นกรอบหนาเปี่ยมด้วยไมตรีจิตที่จริงใจ “ครานี้สนามรบหาได้คึกคักไม่ ข้าไม่มีภาระอันใดดอก ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนเอ็งเอง จักมิปล่อยให้เอ็งเผชิญความลำบากนี้โดยลำพังเป็นอันขาด” นางสาวบีเผลอประทับใจกับความสัมพันธ์ของชายทั้งสองจนสายตาวาววับเป็นประกาย อย่างน้อยเเม้ไม่มีใครจริงใจกับขุนเเสนคำเลยเเม้เเต่เมียตนเอง เเต่เขาก็ยังมีมิตรเเท้ที่หาได้ยากยิ่งในช่วงเวลานี้อยู่ หญิงสาวฉีกยิ้มบาง ดูเต็มไปด้วยอารมณที่ดีนักหนา โดยที่ไม่เข้าใจตนเองเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงต้องดีใจไปกับเรื่องดีๆ ของเขา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าภาพเหล่านั้นกำลังอยุ่ในสายตาของหมอหนุ่มในทุกอิริยาบถของเธอ “งั้นข้าขอตัวก่อน เสร็จธุระเเล้ว” ขุนอินโพล่งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ซุกซ่อนความรู้สุกบางอย่างไว้ใต้พรมเเห่งความคิด ขุนเเสนคำในร่างพระยาสิงขรจึงฝากฝังให้ข้าไทประจำเรือนรับรองพาชายหนุ่มไ
“เขา... จะไม่ตายใช่หรือเปล่าจ๊ะ?” เธอถามเสียงแผ่ว ขุนอินยังคงสับสนไม่รู้ว่าหล่อนรู้เรื่องชายผู้นี้ที่บาดเจ็บอยู่ในเรือนได้อย่างไร เขายังคงสับสนหลายๆ อย่างเพราะรู้จักขุนเเสนคำมานาน รวมถึงรู้จักบัวงามในฐานะเมียของเพื่อน เเต่ในตอนนี้หล่อนจับพลัดจับผลูมาเป็นเมียของผู้ที่เราทั้งสองเคารพรัก เเละดูเหมือนท่านจะไว้วางใจในตัวนางให้รู้เรื่องราวทุกอย่างเสียงด้วย ขุนอินเหลือบมองหล่อนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้ากลับลง “ถ้านี่มิใช่กระสุนอาคมเจาะเนื้อหนัง ก็ตอบได้ทันทีว่าไม่... หากแต่ตอนนี้กระผมตอบไม่ได้” พระยาสิงขรเม้มปากแน่น “กระสุนนี้เป็นกระสุนที่ข้าได้มาเพื่อกำจัดผู้มีอวิชาฟันเเทงมิเข้า” ขุนอินไม่ตอบอะไรเมื่อเขาอธิบาย ชายหนุ่มเพียงหยิบเอาใบยาฝานบางแช่น้ำสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนจากดีปลี ขมิ้นอ้อย และรากขันทองพยาบาท ค่อยๆ วางแนบบริเวณแผล แล้วปิดทับด้วยผ้าขาวสะอาด เขาหยิบแหนบเล็กจากปลอก มีปลายงอนคมเหมือนงาช้าง แล้วล้วงลึกลงไปในแผลที่เป็นรูโดนกระสุนฝังในร่างกายของมัน ร่างของไอ้เหล็กกระตุกเบาๆ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รวมถึงนางสาวบีที่เเสดงสีหน้าเหยเกเพราะเป็นการรักษาสดๆ ต่อหน้าโดยที่ไร
ทั้งที่พ่อทำให้แม่ต้องตรอมใจถึงเพียงนั้น ยังจะกล้ามองเขาเป็นลูกที่น่าภูมิใจอีกหรือ? ตลกสิ้นดี เผยธาตุแท้ออกมาเถิด ให้เขาได้เห็น ให้ผู้คนทั้งพระนครได้เห็นว่าพ่อก็เป็นเพียงชายผู้มีจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว มัวเมาในราคะและหลงเชื่อหญิงโง่เง่ามากกว่าคนในครอบครัว ดังที่เคยทำจนชื่อเสียงเสื่อมเสียไปทั้งเมือง พ่อไม่เคยนึกถึงเลยหรือ ว่าตระกูลเราต้องอับอายมากถึงเพียงไหน? เขาเกลียดนัก เกลียดความใจดีเเละเสแสร้งนั่น เกลียดแววตาภาคภูมิใจเวลาที่พ่อมองมาที่เขา ทั้งที่ไม่ต้องการ ใช่... เขาอยากเห็นสีหน้าแบบนี้แหละ หน้าตาเต็มไปด้วยความชิงชัง ริษยา รวมถึงพิษร้ายอย่างความหึงหวง สมแล้วกับหน้ากากของพระยาสิงขรผู้ยิ่งใหญ่ที่เบื้องหลังฟอนเฟะยิ่งกว่ากระไรดี ขอบคุณท่านจริงๆ เจ้าคุณพ่อ... ขอบคุณที่ในที่สุดก็เผยไส้ในให้ลูกได้เห็นเสียที ข้าจะได้ก้าวข้ามท่านโดยไร้ความลังเลอีกต่อไป หนึ่งวันผ่านไป ตกช่วงเย็นใกล้ฟ้ามืด ก็มีเสียงม้าดังเร่งฝีเท้าเข้ามาท่ามกลางความเงียบของเรือนใหญ่ของท่านพระยา บัวงามเปิดม่านเเพรอย่างตื่นเต้น เพราะทันทีที่ขุนเเสนคำส่งข้อความไปถึง ‘ขุนอินเวชะสรรพ์’ หรือหมอหลวงที่เป็นสหายเก่าของขุนเเสนคำ







