หลายเดือนผ่านไปจวนสกุลไป๋เผชิญเรื่องราวมากมายจนหาความสงบไม่ได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดกีดขวางและแม้กิจการของสกุลไป๋จะมีเศรษฐีมู่คอยจัดการให้ ทุกอย่างราบรื่นจนแทบไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ครรภ์ของคุณหนูก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด สุขภาพทั้งมารดาและบุตรก็แข็งแรงสมบูรณ์หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นเต้นรอคอยวันที่จะได้พบเด็กน้อยผู้นั้น คุณชายไป๋ทั้งสามต่างก็หลงหลานกันไม่ต่างกัน และนายท่านมู่ก็ไม่แพ้กัน ถึงขั้นอยากย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในจวนสกุลไป๋เพื่อดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด แต่ถูกคุณชายทั้งสามห้ามไว้เสียก่อนแม้คุณหนูไป๋กับเศรษฐีมู่จะยังไม่ได้แต่งงานร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นที่รู้กันในชิงโจวว่างานมงคลครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าแน่!ไป๋ซูหนิงนอนเอนกายริมสระบัว สายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย เคลิบเคลิ้มเกือบจะหลับไปหลายครั้งนัยน์ตาคู่สวยหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้ว นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน นอกจากนอนและกินเกือบทั้งวัน“อาเหยียน…” เสี
น้ำเสียงหวานแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เจือไปด้วยความโกรธลึกอย่างถึงที่สุด ภายในใจของนางก็เดือดดาลไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างกำจนข้อนิ้วขาวซีด ลมหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นทึ่มนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า หาได้กระพริบตาหรือหลบสายตาเลยแม้แต่น้อยมู่เหยียนเจ๋อรู้สึกปวดใจจริงๆ ไหนเลยยามนี้นางจะยังท้องอยู่อีก เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความอ่อนโยน“หากยุ่งยากนักก็ปล่อยให้ข้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าและข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” เขาไม่อยากเห็นนางโกรธ หรือต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้บังอาจทำให้อารมณ์ของนางต้องขุ่นเคืองและมัวหมองเด็ดขาด!“อือ! พวกเจ้าพานางเข้าไปในจวนเถอะ” ไป๋อวี่เซวียนเห็นด้วย เขาออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนมองอยู่ อย่างรวบรัด หาได้ให้อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธจัดการเอง มองดูแล้วคนสกุลเซี่ยผู้นี้ไม่มีทางยอมจากไปโดยง่ายแน่!เกรงว่าคงจะได้โดนเขาตีก่อนจริงๆ ถึงจะหลาบจำมู่เหยียนเจ๋อว่ามือลงบนหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบาสัมผัสแรกพลันทำให้หัวใจแกร่งกระตุกวูบ แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกอยากจะกางแขนใช้ทั้งชีวิตปกป้อง สายตาคมกริบช้อนสบกับสตรีตรงหน้า “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะปล่อยให้แมวกินปลาย่างได้!เหม่ยจินฮวาหาได้คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ล้วนเจอสายตาแปลกประหลาดจับจ้อง นางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยมทันทีทว่าเมื่อก้าวเข้าห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางชะงัก เมื่อสามีที่สมควรจะนอนแผ่อยู่บนเตียงกลับหายตัวไปเหลือเพียงไออุ่นจางๆ บนฟูกเป็นหลักฐานว่ามีเคยคนอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานก่อนเพียงชั่วขณะนั้น ความอดทนที่อดกลั้นมาหลายวันพลันพลุ่งพล่านแตกกระจาย ราวกับหม้อต้มเดือดจัดจนฝาปิดกระเด็น เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวหลุดจากปาก ดวงตาคู่งามแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับเต้นตุบๆ อย่างเด่นชัด มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเสียงแหลมปรี๊ดของนางดังลั่น ข้าวของบางชิ้นแตกกระจาย บางชิ้นหล่นกระแทกพื้นดังสนั่น ความโกรธเกรี้ยวของเหม่ยจินฮวาทำเอาห้องข้างเคียง ห้องตรงข้ามรวมถึงชั้นบนชั้นล่าง ต่างพากันได้ยินและรีบแห่มาดูอย่างตื่นตระหนก ทว่านางหาได้สนใจไม่แต่กลับตะโกนเรียกหาเจ้าของโรงเตี๊ยมแทน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอหรือสายตาสาปส่งของผู้คนแม้แต่น้อยเหม่ยจินฮวาถามกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่สองสามประโยคก็ได้ความว่า ตอนนี้เขา
กว่าจะเดินทางมาถึงชิงโจวก็ใช้เวลาหลายวัน แล้วยิ่งห่างภรรยาเกือบสองเดือน เซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตามเซี่ยจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยม สายตาคมกริบกวาดมองถนนยามสายที่หาได้คึกคักเหมือนวันแรกที่มาถึง และยอมรับตามตรงว่า เขาไม่รู้แม้แต่ว่าควรเริ่มตามหาภรรยาจากที่ใดโรงเตี๊ยมที่พักอยู่เป็นกิจการของสกุลไป๋ แซ่เดียวกับภรรยา เมื่อซักถามอยู่พักใหญ่จึงได้ความว่า ในชิงโจวมีเพียงสกุลไป๋ตระกูลเดียว ทว่ามีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีสตรีตามที่เขาตามหาเพียงเท่านี้ก็พอให้เขามั่นใจได้แล้ว เขาจำได้ว่าไป๋ซูหนิงเคยเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสามให้ฟัง เพียงแต่ตอนนั้นเขาอาจมัววุ่นอยู่กับงาน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ใครจะคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะหนีจากจวนไปเช่นนี้ จนต้องการมาตามหาเซี่ยจวิ้นอี้เดินตามทางที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแนะนำ อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง สายตาคมสอดส่องไปทั่ว ไม่แน่ว่าจะบังเอิญอาจได้พบนางระหว่างทางก็ได้ทว่ากลับผิดคาด…ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงกำยำ อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านและกลิ่นอายของขุนนาง ทำให้ระหว่างทางไม่ว่าผู้ใดต่างก็อดเหลียวมองไม่ได้ ราวกับถูกสะกดจนยา
ไป๋ซูหนิงไม่รู้ว่าเมื่อวานพี่ชายทั้งสามของนางพูดอะไรกับนายท่านมู่บ้าง เหตุใดเช้าวันถัดมาจึงส่งรถม้าสกุลมู่มารับนางถึงที่จวนโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากห้ามหรือแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาทางสีหน้า เพียงแค่กล่าวว่า เห็นนางอุดอู้เอาแต่อยู่ในจวนหลายวัน สมควรออกไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้างไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ ออกมาอย่างว่าง่ายจวนสกุลไป๋อยู่ไม่ห่างจากตลาดนัก ทว่าตลอดทางนางเอาแต่นั่งเงียบ เก็บเงื่อนงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่เอ่ยถามสักคำ เพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่วางใจจนกระทั่งเสียงล้อรถม้าหยุดลง“หากคุณหนูไป๋เปลี่ยนใจ ไม่อยากลงเดินแล้ว แต่อยากจะนั่งจ้องข้าเช่นนี้ ก็กลับดีกว่าหรือไม่ ข้าจะนั่งให้มองจนกว่าจะเบื่อ”มู่เหยียนเจ๋อรู้สึกได้ว่านางจ้องเขามาตลอดทาง ทั้งที่สงสัยมากแต่กลับนิ่งเงียบ เขาหันมาสบตากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีไป๋ซูหนิงชะงัก ก่อนเรียกสติกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ อย่างเก้อเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น “วันนั้น…พี่ชายข้าพูดอะไรกับนายท่านมู่กันแน่”นางถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมู่เหยียนเจ๋อลงจากรถม้า แล้วยื่นมือประคองนางลงอย่างระมัดระวัง สายตาคมเฝ้ามองทุกฝีเท้าราวกับกลัวว่าจะพลาดแล้วคว้
ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันสองคน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่คุณชายไป๋ทั้งสามไม่เปิดโอกาสให้เศรษฐีมู่ผู้นี้ได้พูดคุยกับคุณหนูอย่างสงบแต่กลับชักชวนอีกฝ่ายมาดวลหมากด้วยกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ดื่มน้ำชาเพียงจอกเดียว แล้วไล่ออกไปจากจวนทันที ทว่าด้วยความตั้งแง่ จึงอยากข่มขู่หยั่งเชิงเพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในจวนกลับคุกรุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันปกคลุมทั่วบริเวณสาวใช้ที่อยู่แถวนั้นพลันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียเอง ไม่ว่าจะสายตาจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมของคุณชายทั้งสามที่จ้องเขม็งนายท่านมู่ พลางทำให้พวกนางรู้สึกแทบกระอักกระอ่วนแทนไป๋ซูหนิงนอนเอนกายทอดสายตามองลานประลองหมากตรงหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างเบิกบาน“เสี่ยวเถา…เจ้าว่า พี่ชายของข้าจะแพ้หรือไม่”เสี่ยวเถาจ้องหมากกระดานอย่างตั้งใจ ก่อนจะปรายตามองคนถาม “คุณหนูว่าอย่างไรเจ้าคะ”“พี่ชายของข้าชอบดวลหมากมาก เกรงว่าคงฝีมือดีแต่กับนายท่านมู่ที่วันๆ คงดีดลูกคิดนับแต่เงิน” ไป๋ซูหนิงกล่าวตามที่เห็น แม้พี่ชายทั้งสามนั้นต่างมีนิสัยและความชอบต่างกัน ทว่าหากเมื่อใดว่าก็ชักชวนกันดวลมาก