หวังเยี่ยนหลงมองหน้าของเซี่ยฟานอีกครั้ง ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเดินจากไป นับตั้งแต่หวังซีซวนกลับมาอยู่ที่เรือน ก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ทั้งสองค่อยโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“คุณชายถอนหายใจทำไมหรือขอรับ” เซี่ยฟานถามเขา รู้สึกสงสัยมานานแล้วว่าทำไมช่วงนี้หวังซีซวนดูวิตกกังวล
“เซี่ยฟาน เจ้าไม่กลัวอะไรบ้างเลยหรือ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดไม่ทันเรื่องที่เขาพูดตอนนั้น” หวังซีซวนคิ้วขมวด
“เรื่องอันใดหรือ” เซี่ยฟานไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าลืมแต่เพราะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามีตรงไหนที่ทำให้คุณชายห้าผู้นี้คิดมากปานนั้น
“เฮ้อ! ช่างเถอะ” เขาส่ายหน้า แล้วนึกอยากออกไปข้างนอกกำแพงจึงชวนเซี่ยฟาน “รีบเก็บของเถอะ ไปเที่ยวข้างนอกกัน” หวังซีซวนพูดจบก็หยิบย่ามใส่สมุนไพรของตัวเองออกมา ส่วนเซี่ยฟานรีบวิ่งไปที่ห้องครัว หยิบขนมขบเคี้ยวสองสามอย่างใส่ห่อผ้า แบกมาอย่างเงียบ ๆ
พอเดินมาถึงกำแพงหนาที่เคยมาครั้งล่าสุด เซี่ยฟานก็เดินไปที่ปากหลุมเดิม เห็นหวังซีซวนยืนหัวเราะก็นึกขึ้นได้
“คุณชาย ใจเย็นก่อนเถิด ข้าลืมไปจริง ๆ อย่าหัวเราะเสียงดังเลยขอรับ” เซี่ยฟานทำหน้าตาเลิ่กลั่กห้ามปรามเขา
“นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้” หวังซีซวนเอ่ยเบา ๆ “มานี่สิเซี่ยฟาน” ครั้นเรียกมาใกล้ ๆ แล้ว หวังซีซวนก็โอบเอวของเขาเอาไว้ แล้วทั้งคู่ก็ลอยข้ามกำแพงสูงในชั่วพริบตา
“คุณชาย ข้าน้อยกลัวขอรับ” เซี่ยฟานหันมามองเขา ไม่คิดว่าจู่ ๆ จะได้ลอยขึ้นฟ้า พอเห็นว่าหวังซีซวนยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวเขาก็รีบเด้งตัวเองออกมาอีกทาง “เดินไปดีกว่า ข้าไม่ชินกับความสูงขอรับ”
ท่าทีของเซี่ยฟานทำให้หวังซีซวนหัวเราะเสียงดัง ในเมื่อเหาะได้แล้ว เรื่องอะไรจะต้องเดิน เขาปล่อยให้เซี่ยฟานเดินนำหน้าไปสองสามก้าวแล้วลอยไปโอบเอวของเขาอีกรอบพาขึ้นฟ้า
“คุณชาย! คุณชาย!” เซี่ยฟานร้องเสียงหลง พยายามกอดหวังซีซวนไว้แน่นเพราะกลัวตก หลับตาปี๋ไม่ยอมมองข้างล่าง
“เซี่ยฟาน ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าอยู่นี่ทั้งคน เจ้าลืมตาก่อน ดูสิว่าท้องฟ้าสวยหรือไม่” หวังซีซวนกล่อมให้เขาลืมตามองภาพจากด้านบน “เจ้าต้องชอบมากแน่ ๆ”
พอเห็นว่าเซี่ยฟานยังคงนิ่ง จึงพูดเสริมว่า “เชื่อข้าเถอะ”
เซี่ยฟานกลั้นใจ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นทีละข้างอย่างช้า ๆ จนได้เห็นว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นสวยงามเพียงใด เขาก็คลี่ยิ้มคลายกังวลที่มีอยู่ เผลอปล่อยมือจากหวังซีซวนเพราะลืมตัวอยากจะคว้าก้อนเมฆมาดูใกล้ ๆ
“ไม่กลัวแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ปล่อยมือจากข้า” หวังซีซวนแกล้งถามเขา อันที่จริงวิชาตัวเบายังคงคอยพยุงร่างของเซี่ยฟานเอาไว้ แม้ว่าหวังซีซวนจะไม่ได้แตะต้องตัวเขาเลยก็ตาม
เซี่ยฟานเริ่มคิดได้เห็นว่าห่างจากหวังซีซวนอยู่หนึ่งจั้งจึงทำหน้าเลิ่กลั่กกลั้นหายใจไม่ยอมขยับตัว “คุณชาย ช่วย ช่วยข้าน้อยด้วยขอรับ”
หวังซีซวนจึงยอมใจอ่อนเดินมาหาแล้วคว้าเอวเขาไว้อีกรอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะลอยไปหยุดอยู่บนน้ำตกชั้นบนสุด แต่ไหนแต่ไรมา ทั้งคู่ไม่เคยขึ้นมาถึงเพราะทางเดินลื่นและชัน มีตะไคร่น้ำเกาะ อีกทั้งระยะทางยังไกล ไปกลับเพียงวันเดียวไม่ทันกลับสำนักก่อนเสียงระฆังดังแน่นอน
ทั้งสองคนยืนสูดลมหายใจรับอากาศด้านบนด้วยใจยินดีปรีดา ภาพที่มองจากตรงนี้ดูแตกต่างจากที่เคยเห็น “สวยงามมากขอรับ” เซี่ยฟานพูดกับเขา ต่างคนต่างยิ้มให้กัน อย่างน้อยวันนี้จิตใจก็ได้ผ่อนคลายไปมาก
แล้วทั้งสองก็เก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้เอาไว้ เล่นน้ำสนุกสนานก่อนจะแวะเก็บดอกหญ้าเขียวใส่ย่ามสมุนไพรมาทำยารักษา
“เซี่ยฟาน” เสียงพึมพำแผ่วเบาอยู่ไกลของคนผู้หนึ่งเห็นเขากับหวังซีซวนวิ่งเล่นด้วยกัน ทำให้เซี่ยฟานรู้สึกได้ว่ากำลังมีใครบางคนมองอยู่ เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง หันมองไปรอบตัว
“เซี่ยฟาน อย่าลืมหว่านเมล็ดตรงโน้นไว้ด้วย” เสียงของหวังซีซวนดังมาทำให้เซี่ยฟานกลับไปสนใจหน้าที่ของตนเองต่อ
ครั้นได้เวลากลับสำนัก เซี่ยฟานก็ยอมให้หวังซีซวนพาเหาะกลับไปจนข้ามกำแพงเรียบร้อย เพราะอยากสัมผัสท้องฟ้ายามตะวันตกดิน
อีกด้านหนึ่งของสำนัก ณ เรือนใบไผ่ หวังเยี่ยนหลงกำลังทายาบนแผลตรงแขนข้างขวา ก่อนจะเอาผ้าสะอาดมาพันเอาไว้ ทั้งยังดื่มสมุนไพรแก้ช้ำในขวดใหญ่ ด้วยบาดเจ็บจากการซ้อมประลองอาวุธกับบรรดาศิษย์และพี่น้องทั้งสี่คน
เขามีเวลาฝึกซ้อมอีกหนึ่งเดือน ก่อนที่จะเข้าสู่สนามจริง หวังเยี่ยนหลงจึงฝึกวิชาพื้นฐานที่เรียนรู้มาอย่างหนัก แม้จะไม่มีวิชาที่สืบทอดจากทางฝั่งมารดา เขาก็ตั้งมั่นที่จะเอาชนะทุกคนให้ได้ ต้องชนะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ หากพ่ายแพ้การประลองครั้งนี้ ไม่พิการก็ถูกวิญญาณร้ายดึงตัวไป
กระนั้นแล้วยังไม่วายหาเรื่องเดินมาที่เรือนต้นสนของหวังซีซวน ฉวยโอกาสตอนเจ้าของเรือนไม่อยู่ ก่อความวุ่นวาย อาละวาดยกใหญ่ เขายกกระถางสมุนไพรอันหนึ่งขึ้น
“อย่าขอรับ คุณชายสาม” เสียงของเซี่ยฟานห้ามไว้ เพราะสมุนไพรในกระถางนั้นคือยาขนานดีที่ปลูกไว้ผสมกับกับเกสรดอกหญ้าใบเขียว เอาไว้กลั่นช่วยฟื้นฟูแผลจากภายใน หากต้นของมันถูกกระทบกระเทือนนิดเดียวก็จะเฉาไปในทันที ทั้ง ๆ ที่ใช้ระยะเวลาปลูกนานถึงสามเดือน
หวังเยี่ยนหลงได้ยินเสียงของเซี่ยฟานก็พอจะอารมณ์เย็นขึ้น เขาหันมามองหน้าเซี่ยฟาน โยกกระถางใบนั้นไปซ้ายทีขวาที ยั่วยุให้เซี่ยฟานนึกโกรธ
จริง ๆ แล้ว หวังเยี่ยนหลงเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเซี่ยฟานจะต้องยอมให้ผู้อื่นรังแกอยู่บ่อยครั้ง โดนกระทำมากมายเพียงไหน ทำไมเซี่ยฟานถึงยังคงสงบเสงี่ยม ไม่โกรธแค้นผู้ใด หากเป็นเขา ไม่ว่าใครหน้าไหน เขาจะตามล้างแค้นให้ครบบัญชี
คุณชายสามผู้นี้จึงคิดทดสอบ หวังจะแปรเปลี่ยนให้เซี่ยฟานกลายเป็นคนเช่นเขาขึ้นมาให้ได้ อย่างน้อยจะได้มีใครสักคนที่รู้สึกเหมือนเขา
“เจ้าหวงมันมากนักหรือ” หวังเยี่ยนหลงถามเขา หากเขาตอบว่ามาก ในใจก็คิดจะเขวี้ยงลงพื้นให้แตกละเอียด แต่หากตอบว่าไม่ก็คงจะหลอกเขาอยู่เป็นแน่ เพราะสีหน้าท่าทางของเซี่ยฟานนั้นปิดไม่มิด
“ขอรับ” เซี่ยฟานตอบสั้น ๆ พลันได้เห็นกระถางใบนั้นลอยเคว้งข้ามออกมานอกชาน เขาไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปรับมันก่อนกระถางจะตกพื้น
ทว่า ในเมื่อเซี่ยฟานหวงมันมากนัก หวังเยี่ยนหลงก็เลยคิดที่จะทำลายมันเสีย อยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร จะยังคงทำตัวเป็นผู้ใจบุญให้อภัยคนอื่นได้อีกหรือไม่ เขาจึงใช้ร่ายอาคมขัดขาเซี่ยฟานจนหกล้มหน้าคะมำ
เพล้ง! ตุ๊บ! เสียงของทั้งสองตกลงพื้นพร้อมกัน เซี่ยฟานยันตัวลุกขึ้นในทันทีแล้วคลานไปดูเศษดินที่กระจายอยู่ข้าง ๆ กัน สายตาของเขามองตามด้วยความเสียดาย เมื่อได้เห็นว่าสมุนไพรต้นนั้นค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงต่อหน้าต่อตา
เซี่ยฟานไม่ได้สนใจหวังเยี่ยนหลงอีกต่อไป เขาลงมือเก็บกวาดเศษดินกับกระถาง ทั้ง ๆ ที่มือสองข้างได้แผลถลอกจากที่ล้มเมื่อครู่
“เจ้าจะไปสนใจอะไรกับมันนักหนา” หวังเยี่ยนหลงฉุดแขนของเซี่ยฟานให้ลุกขึ้นยืน
“เพราะเป็นของสำคัญของคุณชายห้าขอรับ” เขาตอบเสียงเบา จ้องหน้าของหวังเยี่ยนหลง สีหน้าอดกลั้นความเจ็บปวดตรงรอบข้อมือเพราะหวังเยี่ยนหลงกำไว้แน่น ทั้งยังร่ายอาคมลงไปอีกด้วย น้ำตาของเขาเริ่มคลอหน่วย
“โกรธข้าใช่หรือไม่ โมโหข้า?” เขารอที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนั้นแต่กลับต้องผิดหวัง
“เปล่าขอรับ ข้าน้อยไม่กล้า” เซี่ยฟานมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยากจะคาดเดาความรู้สึกข้างใน มีเพียงน้ำตาที่ไหลหล่นตกกระทบหลังมือของหวังเยี่ยนหลง
“ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเจ้ายังมีของพวกนี้อยู่อีกใช่หรือไม่” หวังเยี่ยนหลงปราดสายตามองไปที่ชั้นสมุนไพร ก่อนใช้วิชายกมันลอยเคว้งทั้งแผง
“ข้าน้อย...” เซี่ยฟานไม่กล้าพูดอะไรอีก กลัวว่าเขาจะโยนทั้งหมดลงพื้น หากเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีสมุนไพรกลั่นยารักษาอาการบาดเจ็บ ในใจคิดเป็นห่วงคุณชายห้า
“อ้อ! ข้าเพิ่งจะนึกได้ พวกเจ้ามีสวนสมุนไพรอยู่นอกกำแพงนี่ ไม่เห็นต้องกังวล” หวังเยี่ยนหลงล่วงรู้ความลับของทั้งสองคนเสียแล้ว
“มีเท่าที่เห็นจริง ๆ นะขอรับ” เซี่ยฟานรีบเอ่ยปฏิเสธ
“เจ้าโกหกข้า เห็นทีต้องเอาเรื่องไปบอกเจ้าสำนักแล้วกระมัง ดูท่าทางพวกเจ้าจะมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่” เขาได้ทีข่มขู่เซี่ยฟานไม่หยุด
“ข้าน้อยไม่ได้โกหกขอรับ”
“ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าไม่ใช่ ข้าจะลองเชื่อเจ้าดู ส่วนที่แห่งนั้นที่ข้าเห็น ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก” หวังเยี่ยนหลงกล่าวเสียงเยือกเย็นจนเซี่ยฟานเงยหน้ามองเขา
“ไม่นะขอรับ คุณชายอย่าทำเช่นนั้นเลย” เซี่ยฟานรีบก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเขา สองมือน้อย ๆ จับขาของหวังเยี่ยนหลงเอาไว้ “ได้โปรดเถิดขอรับ”
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่า
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs
สามเดือนผ่านไป หวังเยี่ยนหลงเริ่มหลอมรวมปราณมารที่อยู่ในศิลาหินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองได้บ้างแล้ว จึงออกมาจากถ้ำแห่งนั้น โดยไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ครั้นข่ายอาคมที่ศิลาหินสร้างขึ้นหายไป ป่าวิญญาณจึงกลายเป็นเพียงป่าทึบทั่วไปที่มีสัตว์ดุร้ายกับปีศาจอาฆาตแค้นก็เท่านั้น หมอกพรางตาที่คอยล่อลวงผู้คนได้สลายไปเพราะไม่มีพลังจากศิลาหินคอยควบคุม เขากลับมาที่เรือนใบไผ่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าเดิมจนไม่มีใครจับตาทัน บรรยากาศภายในสำนักตระกูลหวังจึงยังคงความสงบเงียบได้อยู่
หลังจากเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในป่าวิญญาณศิษย์สำนักหลายคนต่างพากันหาทางรอดให้ตัวเองโดยไม่สนใจเรื่องด่านทดสอบ บ้างสิ้นสติเพราะเจอปีศาจ บ้างเผลอทำร้ายตัวเองเพราะหมอกพรางตา บ้างเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ “อาจารย์ ช่วยข้าด้วย!” ศิษย์ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากป่าวิญญาณ ดวงตาเขาเบิกโพลง สีหน้าหวาดหวั่นซีดเผือด สองเท้าก้าวขาวิ่งไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเห็นว่าตนเองปลอดภัย “อาจารย์!” ศิษย์อีกผู้หนึ่งประคองร่างโชกเลือดของสหายร่วมสำนักด้วยความทุลักทุเล แต่ดวงตากลับฉายแววหิวกระหาย&n