สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก
“เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย
เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร
“เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย
“ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย
“อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผู้นี้เพิกเฉยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ได้ อีกทั้งวิชาและฝีมือด้านกระบี่ก็เหนือกว่านาง มีเขาไปด้วยอุ่นใจมากกว่าไปคนเดียวเป็นไหน ๆ
“อื้ม รีบไปเก็บสัมภาระเถิดขอรับ อาจารย์อาให้อัฐมาด้วยหรือไม่” เหลียนเฟินเอ่ยปากถาม การไปต่างเมืองไกลเพียงนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายมากนัก ในเมื่อวันว่างของเขาหมดไปแล้ว อย่างน้อยก็เหลือถุงเงินของเขาไว้ก็ยังดี
“ของเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่มี เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์อาแพ้พนัน แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าขอยืมศิษย์พี่ซีหลิวกับซิ่นเฉิงมาแล้ว” หลวนเล่อยิ้มแป้นพลางยกถุงเงินนั้นให้ศิษย์น้องดู
หลังจากเก็บของเรียบร้อย คืนนั้นทั้งสองคนก็เร่งเดินทางไปยังเมืองเฟิงที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉินในทันที
ก่อนหน้านี้สามวัน วังธาราเหมันต์ได้รับจดหมายจากอ๋องเมืองเฟิงให้ส่งคนมาช่วยสืบหาเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข แต่จู่ ๆ วันหนึ่งกลับมีคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
อ๋องเมืองเฟิงสั่งทหารตามหาอยู่นานก็ไม่พบเบาะแสอะไร ความเก่ายังไม่ได้สะสางดันมีเรื่องใหม่แทรกเข้ามา เช้าวันหนึ่งชาวบ้านพบศพไร้หน้า ไร้เนื้อหนังห่อหุ้มร่างกาย เนื้อคนสีแดง ๆ บนกองเลือดส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง สร้างความขวัญผวาให้กับผู้ที่พบเห็นอย่างมาก
เมื่อสังเกตให้ดี ร่างที่ไร้ผิวหนังกลับมีไอสีดำปกคลุมแทน ครั้นจะดูว่าผู้เคราะห์ร้ายคือใครก็คาดเดาได้ยาก แต่หญิงชราผู้หนึ่งกลับจำได้ดีว่า ร่างนั้นคือบุตรชายที่หายตัวไป
แรกเริ่มที่นางเห็นสภาพเช่นนั้น นางไม่อยากยอมรับด้วยซ้ำเพราะนึกถึงสิ่งที่เขาต้องเจอ แต่เมื่อได้เห็นฟันซี่บนที่หลอไปสองซี่ รวมถึงรูปร่างและส่วนสูงของเขา นางแน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือบุตรชายของนางจริง ๆ
หญิงชราผู้นี้นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นสงสารบุตรชาย ไม่อยากยอมรับชะตาของเขา หากแต่เวลานี้ไม่อาจทำสิ่งใดให้ได้แล้วนอกจากจัดการฝังศพทำพิธีส่งวิญญาณให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
ราวกับว่าความลับถูกเปิดเผย เช้าวันรุ่งขึ้นศพที่สองก็ถูกวางทิ้งไว้ในตรอกเปลี่ยวกลางเมือง จนบัดนี้ยังไม่อาจหาตัวตนของคนผู้นั้นได้
การเดินทางจากตอนเหนือของแคว้นฉินไปยังเมืองเฟิงจำต้องใช้เวลาเดินเท้าอยู่หลายวันเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นเป็นภูเขาสูงมีหิมะปกคลุม
“เหลียนเฟิน อีกไกลหรือไม่จะถึงท่าเรือ” หลวนเล่อถามเขาเพราะสอบตกวิชาแผนที่ หากไปที่ใดเพียงลำพังมักจะหลงทางจนต้องให้คนไปตามหา
“เดินตรงไปข้างหน้าอีกหนึ่งชั่วยามขอรับ” เขาสังเกตว่าพื้นที่รอบ ๆ เริ่มมีดอกหยาดน้ำค้างโผล่แซมกองหิมะบนพื้นบ้างแล้ว จึงมั่นใจว่าท่าเรือที่อยู่ในเขตอบอุ่นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก
“อื้ม เจ้าหิวหรือไม่ ข้าพกของหวานมาเผื่อเจ้าด้วย” นางทำท่าจะล้วงมือเข้าไปหยิบของกินมาแบ่งเขา แต่คนตรงหน้ายกมือห้ามไว้
“ตามสบายเถิด” เหลียนเฟินยังคงระแวดระวัง มองไปรอบด้านตลอดเวลา คอยดูว่ามีสิ่งใดผิดสังเกตไปหรือไม่
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ศิษย์พี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน” หลวนเล่อเห็นเขาขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจังจึงตะโกนบอก แม้นางจะมีฝีมือเก่งกาจไม่เท่าเหลียนเฟินแต่ถ้าเทียบกับศิษย์สำนักอื่นแล้วถือว่าสูสี
เหลียนเฟินได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มออกมา เขาคงจะเคร่งเครียดมากเกินไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวในเมืองเฟิงมีเบื้องหลังซับซ้อน
ครั้นเดินทางมาถึงท่าเรือช่วงตะวันลับฟ้า พวกเขาก็รีบวิ่งลงเรือเที่ยวสุดท้ายก่อนจะเอาสัมภาระของตนไปวางไว้แล้วนั่งเล่นให้หายเหนื่อย
เรือไม้ลำไม่ใหญ่มากค่อย ๆ แล่นไปตามน้ำที่ไหลลงไปทางตอนใต้ เหลียนเฟินอยากคลายเหนื่อยจากการเดินทางหลายวันจึงเดินมาหาศิษย์พี่ของเขาพูดอะไรบางอย่างแล้วกระโดดลงไปในน้ำเย็นช่วงค่ำคืน
“เหลียนเฟิน เจ้าขี้โกง ให้ข้าเฝ้าของแล้วลงไปเล่นน้ำคนเดียวได้อย่างไร” หลวนเล่อตะโกนตามหลัง
“ศิษย์พี่จะลงมาด้วยข้าไม่ห้าม เพียงแต่ว่าจะไม่มีผู้ใดเฝ้าถุงของหวานก็เท่านั้น” เหลียนเฟินพูดจบพลางยิ้มให้นางแล้วดำดิ่งลงไปใต้น้ำอันมืดมิด
พรึ่บ พลันแสงสีฟ้าสว่างขึ้นมาเพราะเหลียนเฟินร่ายวิชาหนึ่งส่องใต้ท้องน้ำยามราตรี
เมื่อพืชน้ำที่กำลังหลับใหลต้องแสงอาคม พวกมันก็พริ้วไหวไปตามสายน้ำไหลราวต้องมนตร์ เหลียนเฟินแหวกว่ายพลางมองดูปลาตัวน้อย ๆ ลอยอยู่ตามโขดหินด้วยความสนุกสนาน
ครั้นพักผ่อนจนพอใจแล้วก็กลับขึ้นมาบนเรือ สวมอาภรณ์ชุดใหม่เอี่ยมมานั่งข้างศิษย์พี่หญิง
“หลับแล้วหรือ” เขาเรียกนางเพราะเห็นเจ้าตัวนั่งเงียบทั้ง ๆ ที่ในมือยังถือซาลาเปาครึ่งลูก
เหลียนเฟินจึงประคองให้นางนอนบนฟูกดี ๆ ก่อนห่มผ้าให้ แล้วเอนกายพิงถังไม้ เงยหน้ามองดวงดาวระยิบระยับ แล้วร่ายอาคมกันไม่ให้ผู้ใดรบกวนก่อนจะผล็อยหลับไปท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง
บรรยากาศบนเรือสงบเงียบแต่ทางฝั่งเมืองเฟิงกลับตรงกันข้าม ชายขอทานผู้หนึ่งกำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างด้วยสีหน้าตกใจราวเห็นผี เขาพยายามจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่เสียงของเขากลืนหายลงไปในลำคอ สองขาแทบจะก้าวไม่ออก ร่างกายหนักอึ้ง เนื้อตัวเริ่มร้อนระอุอยู่ภายใน
“วิ่งหนีเหนื่อยเสียเปล่า” น้ำเสียงเยือกเย็นเจือปนความอำมหิตพูดกับเขา คนผู้นี้แสยะยิ้มเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ชายขอทานส่งสายตาพยายามอ้อนวอนเขา ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วยเถิด มือข้างหนึ่งคว้าชายกางเกงพร่ำขอร้อง ช่วยข้าด้วย
ไฉนเลยจะได้รับเมตตากลับคืน คนผู้นี้ร่ายอาคมเชือดเฉือนเลาะหนังของชายขอทานผู้น่าสงสารอย่างใจเย็น ประคองไม่ให้เนื้อหนังนั้นฉีกขาดจนใช้การไม่ได้ จากนั้นผสานมันเข้ากับกายเนื้อของตนเอง
เพียงไม่กี่อึดใจ หน้าตารูปร่างของกายเนื้อเดินได้ก็เปลี่ยนรูปลักษณ์อย่างที่เขาต้องการ นับตั้งแต่นี้ไปเขาจะใช้ชีวิตเป็นชายขอทานหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิงจนกว่าแผนที่วางไว้จะสำเร็จ
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ