LOGINหวังซีซวนพยายามซักถามเซี่ยฟานว่าใครทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยฟานไม่อยากให้คุณชายห้าต้องเป็นห่วง จึงไม่พูดอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมไปจนกว่าจะถึงวันนั้น
“เซี่ยฟาน เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้า ตอนที่ถือสำรับมาให้ข้าใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามซ้ำ
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า หลบสายตา เกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรมากกว่านี้แล้วเขาจับพิรุธได้
“ไม่อยากบอกข้าก็ตามใจเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ต้องเอาสำรับเย็นมาให้ข้า” เขาก้มลงแตะยาในตลับทาตรงบริเวณฟกช้ำให้เซี่ยฟาน ผิวขาวของเขาทำให้เห็นรอยแดงอมเขียวชัดเจนมากขึ้น
“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ ข้าจะระวังตัว เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน” เซี่ยฟานนึกทางลับภายในสำนักออกอยู่สองสามแผน ซึ่งเป็นทางที่เขาเคยสำรวจกับหวังซีซวนเมื่อนานมาแล้ว
“เจ้าอย่าดื้อสิ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เข้าใจหรือไม่” หวังซีซวนดุเซี่ยฟาน เพราะไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงเจ็บตัว
“ขอรับ คุณชาย” เซี่ยฟานพยักหน้าตกลง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงถามเขา “ไม่ได้ทานอาหารเย็น จะไหวหรือขอรับ”
“ข้าจะรีบผ่านด่านแล้วกลับมาชดเชยมื้อใหญ่ เจ้ารอข้าได้เลย” หวังซีซวนยิ้มแป้นให้เขา การฝึกด่านนี้แม้จะดูยากแต่เขาพอจะจับทางได้บ้างแล้ว อีกไม่นานคงจะผ่านไปได้
หลังจากนั้น เซี่ยฟานก็ไม่ไปเจอเขาตามคำสั่ง วัน ๆ เอาแต่ทำความสะอาดเรือน ถูพื้น กวาดลานนอกชาน รดน้ำต้นสมุนไพรในกระถางน้อย ๆ ตามชั้นวาง
ทว่า ไม่ออกไปที่ใด ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนั้นได้ ในเมื่อตัวปัญหาเดินมาหาเขาถึงที่เรือน หวังเยี่ยนหลงรอดักทางผ่านไปเล้าหมูอยู่สองสามวัน แต่ไม่พบเซี่ยฟานเลยสักครั้ง วันนี้จึงลองมาดูที่เรือนต้นสนของหวังซีซวน
เซี่ยฟานเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย เขาจึงรีบหันหลังเตรียมวิ่งไปหลบในเรือน แต่หวังเยี่ยนหลงที่มีวิชาตัวเบา เพียงแค่นึกในใจ ร่างของเขาก็พลันมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเซี่ยฟานแล้ว
“ที่แท้ เจ้าก็หลบหน้าข้า?” เขาเลิกคิ้ว เอียงคอถามเซี่ยฟานด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
“เปล่าขอรับ ข้าแค่นึกได้ว่าต้องรีบไปเก็บชั้นหนังสือ” เซี่ยฟานพูดจบก็เดินอ้อมตัวเขาไป กำลังจะเปิดประตูเรือนแต่ก็ถูกมือของหวังเยี่ยนหลงจับเอาไว้
“ข้ายังพูดไม่จบ” เขากำข้อมือของเซี่ยฟานไว้แน่น พลางกระชากตัวของเซี่ยฟานไปอีกทาง จนร่างของเขาทรุดลงกับพื้น
เซี่ยฟานพยายามไม่คิดอะไรมากนัก เขาเอามือยันพื้นเพื่อจะพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่หวังเยี่ยนหลงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ พอเห็นท่าทางของเซี่ยฟานที่พยายามจะหนีเข้าไปในเรือนแล้วยิ่งฉุนเฉียวมากกว่าเดิม จึงจับข้อมือของเซี่ยฟานแล้วเหวี่ยงตัวเข้าไปในเรือนจนหัวของเซี่ยฟานชนกับขอบเก้าอี้เป็นรอยแดง พอเขาก้าวเข้ามาด้านในเรียบร้อย หวังเยี่ยนหลงก็ปิดประตูและหน้าต่างทุกบานในเรือนอย่างมิดชิดราวกับไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
“อยากเข้ามาข้างในนัก พอใจหรือไม่” หวังเยี่ยนหลงมองสีหน้าของเซี่ยฟาน แล้วกวาดตามองไปรอบห้อง “เจ้าพูดถึงชั้นหนังสือนั่นรึ” เขาชี้ไปที่มุมด้านขวาของห้อง ตำราวิชาต่าง ๆ ของหวังซีซวนถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ
เซี่ยฟานไม่ตอบเขา เดาใจไม่ถูกว่าควรจะทำเช่นไร เขามองตามปลายนิ้วชี้ของหวังเยี่ยนหลง ฉับพลัน หนังสือตามชั้นก็ค่อย ๆ หล่นลงมาด้านล่างจนหมด
“งานของเจ้ายังไม่เสร็จจริง ๆ ด้วย” เขายิ้มมุมปาก จากนั้นก็วาดฝ่ามือไปที่ข้าวของในตู้ ชั้นวางสมุนไพรด้านนอกเรือน เวลาผ่านไปไม่ถึงก้านธูป สภาพทุกสิ่งที่อยู่ในเรือนต้นสนพังกระจายราวกับโดนพายุพัดผ่าน
เซี่ยฟานได้ยินเสียงกระถางต้นสมุนไพรหล่นลงมาก็ใจหาย ต้นไม้เหล่านั้นหวังซีซวนคอยดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเพราะกลัวมันจะเหี่ยวเฉา เวลานี้ถูกหวังเยี่ยนหลงปัดตกลงมาจากชั้นหัวทิ่มดิน มิใช่ว่าลำต้นหัก รากเสียหายไปแล้วหรือ เซี่ยฟานนึกได้เช่นนั้นก็รีบวิ่งไปที่ประตู
“อะไรกันเล่า พอได้อยู่ในเรือนกลับจะออกไปข้างนอก เจ้ากำลังยั่วข้า?” เขาเข้ามาขวางทางออก
“เปล่าขอรับ ข้าเพียงแค่...” เซี่ยฟานพยายามอธิบายให้เขาฟัง
เสียงฝ่ามือฟาดลงที่ใบหน้าของเซี่ยฟานในทันใด เดิมทีหวังเยี่ยนหลงก็ไม่ชอบพูดกับใครนาน ๆ นัก คิดจะทำสิ่งใดก็ลงมือในทันที
“เจ้านี่มันโง่หรือโง่กันแน่ ดูไม่ออกหรือว่าต้องทำตัวเช่นไร ถ้าข้าไม่สั่ง เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น” หวังเยี่ยนหลงตวาดเซี่ยฟานอย่างหมดความอดทน ทาสรับใช้คนอื่นที่อยู่ในเรือน พอเห็นหน้าเขาต่างก็รีบนั่งลงคุกเข่า กลัวหัวหดจนแทบลืมหายใจ แต่เซี่ยฟานกลับเดินวุ่นไปมาราวกับไม่มีความเกรงกลัวเขาสักนิด
เซี่ยฟานนิ่งเงียบ แต่นั่นกลับทำให้หวังเยี่ยนหลงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม เห็นอะไรขวางหูขวางตาก็เดินเข้าไปดึงทึ้ง ขว้างปาลงพื้น เศษข้าวของกระจัดกระจาย
“คุณชายสาม คุณชาย หยุดเถิดขอรับ คุณชายต้องการอะไร ข้าน้อยจะไปหามาให้” เซี่ยฟานเอ่ยปากถามเขา เกรงว่าถ้าหวังเยี่ยนหลงไม่หยุด เรือนต้นสนของหวังซีซวนคงจะไม่เหลืออะไรแล้ว
“อ้อ! นึกออกแล้วหรือ ว่าต้องทำตัวเช่นไร” หวังเยี่ยนหลงหยุดอาละวาดแล้วหันมาหาเซี่ยฟาน “ลุกขึ้น!”
เซี่ยฟานค่อย ๆ ยืนขึ้น พยายามหลบสายตา ในใจคิดว่าวันนี้คงจะโดนคนผู้นี้ทำร้ายอีกอย่างแน่นอน เซี่ยฟานจึงตั้งรับเพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บมาก และเรื่องก็เป็นดังที่คาดไว้ หวังเยี่ยนหลงลงมือกับเซี่ยฟานเช่นเดิมเพื่อระบายความโกรธที่อัดอั้นในใจ ความเครียด ความคาดหวัง เรื่องราวต่าง ๆ นานาที่หาที่ลงไม่ได้
พออารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว เขาก็เดินผิวปากกลับเรือนใบไผ่ของตนเองราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เซี่ยฟานเช็ดเลือดที่มุมปาก พยุงตัวลุกขึ้นเดินไปหยิบยาในตลับมาทา ครั้นนั่งพักหายใจได้ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มเก็บกวาดเรือนทั้งด้านนอกด้านในให้กลับมาเป็นปกติ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เกือบกลางดึก
ในเมื่อรู้แล้วว่าเซี่ยฟานอยู่ที่ใด หวังเยี่ยนหลงจึงคิดจะแวะเวียนมาหาเขาทุกวันไม่ขาด เซี่ยฟานเองก็พยายามหนีไปหลบอยู่ที่อื่นเพราะไม่อยากรับมือกับอารมณ์ร้ายของเขา ทั้งไม่อยากให้เรือนต้นสนพัง แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด หวังเยี่ยนหลงก็ตามเขาจนเจอทุกครั้ง ยิ่งพอรู้ว่าเซี่ยฟานต้องการหลบหน้า เขาก็ยิ่งโกรธเซี่ยฟานโดยไม่รู้ตัว
“วันนี้ไม่หนีไปที่ไหน?” หวังเยี่ยนหลงยืนกอดอกถามเขา ไม่ได้ต้องการรู้เหตุผล เพียงแค่ถามไปอย่างนั้น
“ไม่ขอรับ” ใจจริงอยากจะตอบไปเหลือเกินว่าหนีไปก็ไม่รอดอยู่ดี
“ดี ดี เข้าไปข้างใน” เขาสั่งเซี่ยฟาน วาดฝ่ามือเปิดประตูเรือนให้เซี่ยฟานเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย
ความสัมพันธ์แบบแปลก ๆ ระหว่างทั้งสองคนจึงเริ่มขึ้นด้วยเหตุนี้ จนเวลาผ่านมาหนึ่งเดือน
หวังซีซวนที่สอบผ่านด่านที่สอง ยิ้มหน้าบานรีบวิ่งกลับมาที่เรือนต้นสน หวังจะมากอดเซี่ยฟานให้หายคิดถึง
“เซี่ยฟาน! พี่สาม!” เขาอุทานตกใจ ยิ่งได้เห็นว่าเซี่ยฟานเลือดกบปาก คิ้วแตก ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม จึงวิ่งไปดูอาการอย่างผิดวิสัยที่ทำทีแกล้งเซี่ยฟานต่อหน้าคนอื่น ๆ
เซี่ยฟานที่เห็นดังนั้นจึงรีบปัดมือของหวังซีซวนออก เตือนสติเขาไม่ให้ลืมว่าต้องทำตัวเช่นไร
“น้องห้า เจ้าเป็นห่วงเขา?” หวังเยี่ยนหลงแกล้งถาม
หวังซีซวนที่ลืมตัวเมื่อครู่รีบตอบกลับ “ไม่เลย ๆ ข้าแค่มาดูว่าถึงตายหรือไม่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่”
“ตายแล้วจะอย่างไร หาคนใหม่มาก็สิ้นเรื่อง” หวังเยี่ยนหลงพูดออกไปเพราะคิดเช่นนั้นจริง ๆ “ทาสคนเดียว หาง่ายยิ่งกว่าอะไร”
“พี่สาม ข้าไม่ได้จะพูดขัดใจ แต่เซี่ยฟานก็พอจะทำอะไรบางอย่างได้เรื่องอยู่ ข้าไม่อยากเสียเวลาหาคนใหม่น่ะขอรับ” ไม่รู้ว่าหวังซีซวนพูดเช่นนี้ไปกระตุกต่อมอะไรของเขาเข้า หวังเยี่ยนหลงจึงพูดออกมาว่า “ข้าว่าเจ้าไปบอกแม่บ้านให้หาคนใหม่ไว้ก็ดี เผื่อวันหน้าจะได้ไม่เสียเวลา”
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ







![ผมไม่ได้ยั่ว เสี่ยต่างหากที่ห้ามใจไม่ได้[Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)