หวังซีซวนพยายามซักถามเซี่ยฟานว่าใครทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยฟานไม่อยากให้คุณชายห้าต้องเป็นห่วง จึงไม่พูดอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมไปจนกว่าจะถึงวันนั้น
“เซี่ยฟาน เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้า ตอนที่ถือสำรับมาให้ข้าใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามซ้ำ
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า หลบสายตา เกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรมากกว่านี้แล้วเขาจับพิรุธได้
“ไม่อยากบอกข้าก็ตามใจเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ต้องเอาสำรับเย็นมาให้ข้า” เขาก้มลงแตะยาในตลับทาตรงบริเวณฟกช้ำให้เซี่ยฟาน ผิวขาวของเขาทำให้เห็นรอยแดงอมเขียวชัดเจนมากขึ้น
“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ ข้าจะระวังตัว เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน” เซี่ยฟานนึกทางลับภายในสำนักออกอยู่สองสามแผน ซึ่งเป็นทางที่เขาเคยสำรวจกับหวังซีซวนเมื่อนานมาแล้ว
“เจ้าอย่าดื้อสิ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เข้าใจหรือไม่” หวังซีซวนดุเซี่ยฟาน เพราะไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงเจ็บตัว
“ขอรับ คุณชาย” เซี่ยฟานพยักหน้าตกลง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงถามเขา “ไม่ได้ทานอาหารเย็น จะไหวหรือขอรับ”
“ข้าจะรีบผ่านด่านแล้วกลับมาชดเชยมื้อใหญ่ เจ้ารอข้าได้เลย” หวังซีซวนยิ้มแป้นให้เขา การฝึกด่านนี้แม้จะดูยากแต่เขาพอจะจับทางได้บ้างแล้ว อีกไม่นานคงจะผ่านไปได้
หลังจากนั้น เซี่ยฟานก็ไม่ไปเจอเขาตามคำสั่ง วัน ๆ เอาแต่ทำความสะอาดเรือน ถูพื้น กวาดลานนอกชาน รดน้ำต้นสมุนไพรในกระถางน้อย ๆ ตามชั้นวาง
ทว่า ไม่ออกไปที่ใด ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนั้นได้ ในเมื่อตัวปัญหาเดินมาหาเขาถึงที่เรือน หวังเยี่ยนหลงรอดักทางผ่านไปเล้าหมูอยู่สองสามวัน แต่ไม่พบเซี่ยฟานเลยสักครั้ง วันนี้จึงลองมาดูที่เรือนต้นสนของหวังซีซวน
เซี่ยฟานเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย เขาจึงรีบหันหลังเตรียมวิ่งไปหลบในเรือน แต่หวังเยี่ยนหลงที่มีวิชาตัวเบา เพียงแค่นึกในใจ ร่างของเขาก็พลันมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเซี่ยฟานแล้ว
“ที่แท้ เจ้าก็หลบหน้าข้า?” เขาเลิกคิ้ว เอียงคอถามเซี่ยฟานด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
“เปล่าขอรับ ข้าแค่นึกได้ว่าต้องรีบไปเก็บชั้นหนังสือ” เซี่ยฟานพูดจบก็เดินอ้อมตัวเขาไป กำลังจะเปิดประตูเรือนแต่ก็ถูกมือของหวังเยี่ยนหลงจับเอาไว้
“ข้ายังพูดไม่จบ” เขากำข้อมือของเซี่ยฟานไว้แน่น พลางกระชากตัวของเซี่ยฟานไปอีกทาง จนร่างของเขาทรุดลงกับพื้น
เซี่ยฟานพยายามไม่คิดอะไรมากนัก เขาเอามือยันพื้นเพื่อจะพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่หวังเยี่ยนหลงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ พอเห็นท่าทางของเซี่ยฟานที่พยายามจะหนีเข้าไปในเรือนแล้วยิ่งฉุนเฉียวมากกว่าเดิม จึงจับข้อมือของเซี่ยฟานแล้วเหวี่ยงตัวเข้าไปในเรือนจนหัวของเซี่ยฟานชนกับขอบเก้าอี้เป็นรอยแดง พอเขาก้าวเข้ามาด้านในเรียบร้อย หวังเยี่ยนหลงก็ปิดประตูและหน้าต่างทุกบานในเรือนอย่างมิดชิดราวกับไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
“อยากเข้ามาข้างในนัก พอใจหรือไม่” หวังเยี่ยนหลงมองสีหน้าของเซี่ยฟาน แล้วกวาดตามองไปรอบห้อง “เจ้าพูดถึงชั้นหนังสือนั่นรึ” เขาชี้ไปที่มุมด้านขวาของห้อง ตำราวิชาต่าง ๆ ของหวังซีซวนถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ
เซี่ยฟานไม่ตอบเขา เดาใจไม่ถูกว่าควรจะทำเช่นไร เขามองตามปลายนิ้วชี้ของหวังเยี่ยนหลง ฉับพลัน หนังสือตามชั้นก็ค่อย ๆ หล่นลงมาด้านล่างจนหมด
“งานของเจ้ายังไม่เสร็จจริง ๆ ด้วย” เขายิ้มมุมปาก จากนั้นก็วาดฝ่ามือไปที่ข้าวของในตู้ ชั้นวางสมุนไพรด้านนอกเรือน เวลาผ่านไปไม่ถึงก้านธูป สภาพทุกสิ่งที่อยู่ในเรือนต้นสนพังกระจายราวกับโดนพายุพัดผ่าน
เซี่ยฟานได้ยินเสียงกระถางต้นสมุนไพรหล่นลงมาก็ใจหาย ต้นไม้เหล่านั้นหวังซีซวนคอยดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเพราะกลัวมันจะเหี่ยวเฉา เวลานี้ถูกหวังเยี่ยนหลงปัดตกลงมาจากชั้นหัวทิ่มดิน มิใช่ว่าลำต้นหัก รากเสียหายไปแล้วหรือ เซี่ยฟานนึกได้เช่นนั้นก็รีบวิ่งไปที่ประตู
“อะไรกันเล่า พอได้อยู่ในเรือนกลับจะออกไปข้างนอก เจ้ากำลังยั่วข้า?” เขาเข้ามาขวางทางออก
“เปล่าขอรับ ข้าเพียงแค่...” เซี่ยฟานพยายามอธิบายให้เขาฟัง
เสียงฝ่ามือฟาดลงที่ใบหน้าของเซี่ยฟานในทันใด เดิมทีหวังเยี่ยนหลงก็ไม่ชอบพูดกับใครนาน ๆ นัก คิดจะทำสิ่งใดก็ลงมือในทันที
“เจ้านี่มันโง่หรือโง่กันแน่ ดูไม่ออกหรือว่าต้องทำตัวเช่นไร ถ้าข้าไม่สั่ง เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น” หวังเยี่ยนหลงตวาดเซี่ยฟานอย่างหมดความอดทน ทาสรับใช้คนอื่นที่อยู่ในเรือน พอเห็นหน้าเขาต่างก็รีบนั่งลงคุกเข่า กลัวหัวหดจนแทบลืมหายใจ แต่เซี่ยฟานกลับเดินวุ่นไปมาราวกับไม่มีความเกรงกลัวเขาสักนิด
เซี่ยฟานนิ่งเงียบ แต่นั่นกลับทำให้หวังเยี่ยนหลงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม เห็นอะไรขวางหูขวางตาก็เดินเข้าไปดึงทึ้ง ขว้างปาลงพื้น เศษข้าวของกระจัดกระจาย
“คุณชายสาม คุณชาย หยุดเถิดขอรับ คุณชายต้องการอะไร ข้าน้อยจะไปหามาให้” เซี่ยฟานเอ่ยปากถามเขา เกรงว่าถ้าหวังเยี่ยนหลงไม่หยุด เรือนต้นสนของหวังซีซวนคงจะไม่เหลืออะไรแล้ว
“อ้อ! นึกออกแล้วหรือ ว่าต้องทำตัวเช่นไร” หวังเยี่ยนหลงหยุดอาละวาดแล้วหันมาหาเซี่ยฟาน “ลุกขึ้น!”
เซี่ยฟานค่อย ๆ ยืนขึ้น พยายามหลบสายตา ในใจคิดว่าวันนี้คงจะโดนคนผู้นี้ทำร้ายอีกอย่างแน่นอน เซี่ยฟานจึงตั้งรับเพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บมาก และเรื่องก็เป็นดังที่คาดไว้ หวังเยี่ยนหลงลงมือกับเซี่ยฟานเช่นเดิมเพื่อระบายความโกรธที่อัดอั้นในใจ ความเครียด ความคาดหวัง เรื่องราวต่าง ๆ นานาที่หาที่ลงไม่ได้
พออารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว เขาก็เดินผิวปากกลับเรือนใบไผ่ของตนเองราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เซี่ยฟานเช็ดเลือดที่มุมปาก พยุงตัวลุกขึ้นเดินไปหยิบยาในตลับมาทา ครั้นนั่งพักหายใจได้ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มเก็บกวาดเรือนทั้งด้านนอกด้านในให้กลับมาเป็นปกติ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เกือบกลางดึก
ในเมื่อรู้แล้วว่าเซี่ยฟานอยู่ที่ใด หวังเยี่ยนหลงจึงคิดจะแวะเวียนมาหาเขาทุกวันไม่ขาด เซี่ยฟานเองก็พยายามหนีไปหลบอยู่ที่อื่นเพราะไม่อยากรับมือกับอารมณ์ร้ายของเขา ทั้งไม่อยากให้เรือนต้นสนพัง แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด หวังเยี่ยนหลงก็ตามเขาจนเจอทุกครั้ง ยิ่งพอรู้ว่าเซี่ยฟานต้องการหลบหน้า เขาก็ยิ่งโกรธเซี่ยฟานโดยไม่รู้ตัว
“วันนี้ไม่หนีไปที่ไหน?” หวังเยี่ยนหลงยืนกอดอกถามเขา ไม่ได้ต้องการรู้เหตุผล เพียงแค่ถามไปอย่างนั้น
“ไม่ขอรับ” ใจจริงอยากจะตอบไปเหลือเกินว่าหนีไปก็ไม่รอดอยู่ดี
“ดี ดี เข้าไปข้างใน” เขาสั่งเซี่ยฟาน วาดฝ่ามือเปิดประตูเรือนให้เซี่ยฟานเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย
ความสัมพันธ์แบบแปลก ๆ ระหว่างทั้งสองคนจึงเริ่มขึ้นด้วยเหตุนี้ จนเวลาผ่านมาหนึ่งเดือน
หวังซีซวนที่สอบผ่านด่านที่สอง ยิ้มหน้าบานรีบวิ่งกลับมาที่เรือนต้นสน หวังจะมากอดเซี่ยฟานให้หายคิดถึง
“เซี่ยฟาน! พี่สาม!” เขาอุทานตกใจ ยิ่งได้เห็นว่าเซี่ยฟานเลือดกบปาก คิ้วแตก ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม จึงวิ่งไปดูอาการอย่างผิดวิสัยที่ทำทีแกล้งเซี่ยฟานต่อหน้าคนอื่น ๆ
เซี่ยฟานที่เห็นดังนั้นจึงรีบปัดมือของหวังซีซวนออก เตือนสติเขาไม่ให้ลืมว่าต้องทำตัวเช่นไร
“น้องห้า เจ้าเป็นห่วงเขา?” หวังเยี่ยนหลงแกล้งถาม
หวังซีซวนที่ลืมตัวเมื่อครู่รีบตอบกลับ “ไม่เลย ๆ ข้าแค่มาดูว่าถึงตายหรือไม่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่”
“ตายแล้วจะอย่างไร หาคนใหม่มาก็สิ้นเรื่อง” หวังเยี่ยนหลงพูดออกไปเพราะคิดเช่นนั้นจริง ๆ “ทาสคนเดียว หาง่ายยิ่งกว่าอะไร”
“พี่สาม ข้าไม่ได้จะพูดขัดใจ แต่เซี่ยฟานก็พอจะทำอะไรบางอย่างได้เรื่องอยู่ ข้าไม่อยากเสียเวลาหาคนใหม่น่ะขอรับ” ไม่รู้ว่าหวังซีซวนพูดเช่นนี้ไปกระตุกต่อมอะไรของเขาเข้า หวังเยี่ยนหลงจึงพูดออกมาว่า “ข้าว่าเจ้าไปบอกแม่บ้านให้หาคนใหม่ไว้ก็ดี เผื่อวันหน้าจะได้ไม่เสียเวลา”
ท่าเรือเมืองเฟิง “เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว “ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน “อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน” “ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้า
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย คนผู้นี้ไ
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผ
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงฝากฝังงาน
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs