หลายวันผันผ่านจางหลินจูได้รับการดูแลจากสองแม่ลูกอย่างดี จางหลินจูจึงทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ตนได้เกิดใหม่ในร่างคุณหนูตระกูลเศรษฐีซึ่งตอนนี้กำลังตกอับและจนตรอก
มารดาของจางหลินจูในมิติแห่งนี้ยังมีนามว่า หวงเจิ้นอี๋ ส่วนบิดานามว่าจางเฉินซี ทว่าบิดาของจางหลินจูได้ตรอมใจตายไปเมื่อหลายวันก่อน
จางหลินจูร้องไห้จนแทบไม่หลงเหลือน้ำตาให้ไหลอีก จากนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ก็พรั่งพรูเข้ามาดุจทำนบแตก ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่อัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาเพียงเสี้ยวเดียว โดยการส่งจางหลินจูให้เกิดใหม่เพื่อมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอีกด้าน
บางทีอาจเพราะชีวิตในโลกใบเดิม จางหลินจูอยู่สุขสบายมากจนเกินไป จางหลินจูจึงเลิกน้อยใจต่อโชคชะตาและคิดเพียงว่าสวรรค์กำลังยื่นบททดสอบมาให้ต่างหาก ปลายทางสุดท้ายอาจเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งกำลังรออยู่ก็ได้
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว แต่ท่านดูจะป่วยหนักกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”
จางหลินจูสังเกตอาการป่วยไข้ของหวงเจิ้นอี๋มาสักระยะแล้ว ใบหน้าของมารดาในยามนี้ช่างซูบตอบ กระดูกบริเวณแก้มผุดโผล่เด่นชัด ริมฝีปากแห้งผากขาวซีด
หวงเจิ้นอี๋ส่งยิ้มอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ ทั้งที่ตนแทบไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังเอ่ยปฏิเสธ “แม่ไม่เป็นไร เจ้าทั้งสองกินให้อิ่ม นอนให้หลับเท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว แค่ก…”
หวงเจิ้นอี๋พยายามกดข่มอาการไอโขลก แม้จะทรมานแต่ก็ยังทนกลืนความระคายลงไป จากนั้นเหลียวมองเจ้าก้อนซาลาเปาที่กำลังนั่งเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย หวงเจิ้นอี๋เห็นลูกที่เคยอยู่สบายได้รับความลำบาก ความรู้สึกผิดก็โหมกระหน่ำราวเกลียวคลื่น นางช่างเป็นมารดาที่แย่เหลือเกิน จากชีวิตอันสวยหรูประหนึ่งเทพนิยาย กลับกลายเป็นตกอับดุจสุนัขจนตรอกภายในพริบตา
จางหลินจูแย่งช้อนซึ่งมีรอยบิ่นบริเวณปลายด้ามมาไว้ในมือ “ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ ข้ายังไม่เห็นท่านแม่แตะอาหารสักคำ”
“แม่กินมาจากข้างนอกแล้ว แค่ก…”
เอ่ยไปก็หลุดไอไป จางหลินจูแน่ใจแล้วว่ายามนี้มารดาของนางกำลังป่วยหนัก และป่วยเรื้อรังมานานแล้วด้วย ทว่าหวงเจิ้นอี๋ยังออกไปตากแดดตากลมเพื่อหาเงินซื้อข้าวปลาอาหารมาให้พวกนางสองพี่น้อง
“ท่านแม่ ท่านกำลังป่วย ที่ท่านออกไปข้างนอกหลายชั่วยาม เพราะไปหาของพวกนี้มาให้เราใช่หรือไม่เจ้าคะ อีกอย่างท่านยังไม่ได้แตะสักคำด้วยซ้ำ ข้าพูดถูกหรือไม่ ท่านอย่าได้โป้ปดข้า”
หวงเจิ้นอี๋ยิ้มบาง มือผอมแห้งซึ่งยามนี้หยาบระคายและแสนด้าน ตามง่ามนิ้วที่เคยเรียวขาวขึ้นตุ่มตาปลาเต็มไปหมด ลูกคุณหนูที่ไม่เคยแตะต้องงานหนักเลยครึ่งชีวิต จะต้องแบกรับความลำบากมากเท่าใดกัน
จางหลินจูตกใจและเวทนามารดาเป็นอย่างมาก นางเร่งคว้ามืออีกฝ่ายมาสำรวจ “นี่ท่านแม่ ออกไปทำงานอะไรมาเจ้าคะ ไยสภาพมือจึงเป็นเช่นนี้”
หวงเจิ้นอี๋พยายามชักมือกลับ แต่บุตรีตรงหน้าก็ยังดื้อรั้นยื้อเอาไว้ “ไม่มีอะไร แค่รับจ้างขายผักขายปลาเท่านั้นเองลูก”
“ไม่จริง ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว ต่อไปท่านไม่ต้องออกไปที่ใดแล้วนะเจ้าคะ”
“ได้อย่างไร หากแม่ไม่ออกไป พวกเจ้าทั้งสองจะมีอาหารกิน มีเสื้อผ้าคลายหนาวได้อย่างไร อีกหน่อยก็ต้องเดินทาง แม่จะเก็บเงินไว้พาพวกเจ้านั่งรถม้าไป”
จางหลินจูส่ายหน้า “ข้าจะทำงานเองเจ้าค่ะ”
ในเมื่อกลับไปยังโลกใบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เช่นนั้นจางหลินจูก็จะเรียนรู้การทำงานและการใช้ชีวิตของคนที่นี่ แม้ชาติก่อนจางหลินจูคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ทว่าจางหลินจูก็ไม่เคยเกียจคร้านที่จะศึกษาการเอาตัวรอดในโลกอันกว้างใหญ่ เพราะจางหลินจูรู้ดี ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า บิดามารดาก็ไม่อาจช่วยเหลือเคียงข้างไปได้ชั่วนิรันดร์
“เด็กดี แม่โชคดีจริง ๆ ที่มีเจ้าเป็นลูกสาว แค่ก แค่ก…”
“ท่านแม่ ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ ท่านนอนพักนะเจ้าคะ”
จางหลินจูประคองมารดาให้นอนราบลงบนแคร่ไม้ไผ่เก่าคร่ำคร่า ทุกอย่างในนี้ช่างดูแย่และสกปรกไปเสียหมด
“จูเอ๋อร์ นั่นเจ้าจะไปที่ใดหรือ”
จางหลินจูซึ่งผละกายห่างออกมา ยังเดินไม่พ้นธรณีประตูด้วยซ้ำก็ถูกเรียกขานเอาไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะไปสำรวจเส้นทางครู่เดียว อีกอย่างข้าจะไปตามหมอด้วย”
“แต่เจ้าต้องไอเย็นไม่ได้ ข้างนอกพระอาทิตย์กำลังจะตก ไว้พรุ่งนี้เถอะนะลูก”
จางหลินจูรู้เพียงว่าในใจร่ำร้องให้ออกไปตามหมอเดี๋ยวนี้ เพราะต้องสูญเสียบิดาไปแล้ว จางหลินจูไม่อยากเสียมารดาไปอีกคน
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบไป รีบกลับนะเจ้าคะ”
แค่ก แค่ก
เสียงไอไล่หลังเป็นเหตุให้ฝีเท้าหยุดนิ่งอีกครั้ง เด็กตัวจ้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามาเขย่าแขนจางหลินจู
“พี่หญิงจะไปที่ใดหรือ ชวนเอ๋อร์ไปกับท่านได้หรือไม่ขอรับ”
จางหลินจูลดเปลือกตามองน้องชายหน้าตาจิ้มลิ้ม จากนั้นก็ส่งยิ้มอบอุ่น ร่างระหงยอบกายลงแช่มช้า มือเรียวลูบไล้แก้มนิ่มป่องด้วยความเอ็นดู
“ชวนเอ๋อร์ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่นะ พี่ออกไปครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานจะรีบกลับ”
“แต่…” เด็กน้อยยู่หน้า
“ไว้กลับมาพี่จะซื้อขนมมาฝากตามสัญญา ว่าอย่างไร อยากกินหรือไม่”
เด็กน้อยตาโต กระโดดยกแขนดีใจราวลิงโลด นานมากแล้วที่จางหลินชวนไม่ได้กินขนมหวานที่ชื่นชอบ ทว่ายิ้มไม่ทันไรก็ต้องหุบฉับลง ถึงจางหลินชวนอายุเพียงห้าขวบแต่ก็รู้ทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร
“แต่เราไม่มีเงินนะขอรับ อีกอย่างเราต้องประหยัดเพื่อใช้ในการเดินทาง”
จางหลินจูคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ พร้อมกับบีบบี้พวงแก้มนุ่มหยุ่นทั้งสองด้าน ราวกับว่ายามนี้ไม่หลงเหลือความเป็นกังวลใดแล้ว
“เจ้าเด็กนี่ แก่แดดจริงเชียว พี่มีวิธี ชวนเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง อยู่กับท่านแม่ พี่จะรีบกลับมา”
“ขอรับ”
ในที่สุดเจ้าตัวแสบก็จำใจตอบรับอย่างเชื่อฟัง พลางเดินคอตกไปนั่งขนาบข้างมารดา จางหลินจูออกจากเพิงพักแสนมอซอแล้ว หวงเจิ้นอี๋มองตามแผ่นหลังบุตรสาวจนลับสายตาก็ถอนหายใจออกมาบางเบา
ก่อนหน้าจางหลินจูยังเอาแต่ร้องไห้โวยวายเพราะรับไม่ได้ที่ต้องใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางทราย มารดาเช่นนางจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกินอิ่มนอนหลับทุกมื้อ แม้จะน้อยกว่าเมื่อก่อนอยู่มากโขจนเรียกว่าเสี้ยวเดียว แต่นางก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว นึกไม่ถึง หลังจางหลินจูตื่นขึ้นจากเหตุการณ์จมน้ำ นิสัยเอาแต่ใจเฉกเช่นองค์หญิงผู้สูงส่งก็พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือด้วยความฉงน
หวงเจิ้นอี๋ลูบไล้ศีรษะบุตรชายเบา ๆ พร้อมจุมพิตบริเวณหน้าผากเพื่อปลอบประโลม ยามนี้นางทั้งตรอมใจและป่วยหนัก มันเรื้อรังเกินจะเยียวยาเสียแล้ว ห่วงลูกก็ห่วง แต่นางเองก็ไม่อาจยื้อสังขารของตนไว้ได้เช่นกัน เพียงได้เห็นลูกสาวกลับมาสดใสแม้เพียงน้อยนิด ทั้งยังเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มารดาเช่นนางก็วางใจแล้ว
จูเอ๋อร์ แม่ขอโทษ
หนึ่งปีหลังจากจางหลินจูและซวี่ฟางจิ้นวิวาห์และสะสางงานทั้งหมดจนเรียบร้อยทั้งสองก็เดินทางมาเยี่ยมท่านหมอหลี่“ซื่อจื่อ” ท่านหมอหลี่ค้อมศีรษะลงจากนั้นผินหน้ามาส่งยิ้มให้จางหลินจูเขาตั้งใจค้อมศีรษะเพื่อเคารพนาง ทว่าจางหลินจูรุดเข้าประคองเขาไว้เสียก่อน“ท่านหมอหลี่ เกรงใจไปแล้ว”“ได้อย่างไร เป็นถึงฮูหยินซื่อจื่อ”“ท่านหมอหลี่คนกันเองทั้งนั้น ท่านเคยช่วยเหลือจูเอ๋อร์ไว้ตั้งมาก อย่าได้มากพิธีเลย” ซวี่ฟางจิ้นเอ่ยไม่นานเจ้าตัวเล็กก็วิ่งรี่เข้ามาเกาะเอวหลี่จงหยาง “ท่านหมอหลี่”“ตายแล้ว คุณชายน้อย ระวังเจ้าค่ะ”ลู่เสียนวิ่งหน้าตื่นเพราะเกรงว่าจางหลินชวนจะวิ่งซนจนได้บาดแผล“ไม่เป็นไร” ท่านหมอหลี่เอ่ย จากนั้นยอบกายลงอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้บนอ้อมแขน พลางเขี่ยปลายจมูกหยอกล้อ“ชวนเอ๋อร์ โตเป็นหนุ่มแล้วนี่นา”จางหลินชวนยิ้มตาหยี “ท่านหมอหลี่ คิดถึงชวนเอ๋อร์หรือไม่ขอรับ”“คิดถึงสิ คิดถึงมากเลยล่ะ”จางหลินจูและซวี่ฟางจิ้นยืนมองจางหลินชวนเจื้อยแจ้วกับท่านหมอหลี่ไม่หยุดปากก็ต่างส่งยิ้มให้กับภาพอันแสนสุข
สองวันก่อน ณ ท้องพระโรงแคว้นอันอี้โอรสแห่งสวรรค์นั่งแผ่กลิ่นอายครั่นคร้ามอยู่บนบัลลังก์มังกรสีทองอร่าม ซวี่ฟางจิ้นถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าพร้อมเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น“ซวี่ซื่อจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะ” ซวี่ฟางจิ้นประสานฝ่ามือพลางค้อมศีรษะอยู่บริเวณกลางท้องพระโรงหน้าบัลลังก์“เจ้าสามารถกวาดล้างพวกหนักแผ่นดินออกไปได้อย่างแยบยล กลยุทธ์การศึกล้วนเป็นเลิศแม้อายุยังน้อย เช่นนั้นข้าจะปูนบำเหน็จให้แก่เจ้า”“ขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่บำเหน็จนี้สามารถทูลขอตามความต้องการได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางทั้งท้องพระโรงแตกตื่น รวมถึงบิดาของเขา ซวี่อ๋อง เหงื่อกาฬเริ่มเปียกโซมแผ่นหลัง ลูกชายตัวดีของเขากำลังจะก่อเรื่องอีกแล้ว ครั้งก่อนเขาต้องบากหน้าใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อยกเลิกงานหมั้นหมายกับท่านหญิงรั่วซี มาหนนี้บุตรชายตัวดีอยากได้บำเหน็จที่ตนต้องการ ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยร้องขอมาก่อน“จิ้นเอ๋อร์” เสียงทุ้มเอ่ยลอดไรฟันหมายปรามซวี่ฟางจิ้นทว่าซวี่ฟางจิ้นหาได้ใส่ใจ เขายังคงประสานฝ่ามือและทำหูทวนลมต่อไป อึดใจเดียวทุกคนก็ได้ยินเสียงตบเข่าดังฉาด ขุนนางทั้งซ้ายขวาที่ถ
อรุณรุ่งมาเยือน จวนนายอำเภอกลับบังเกิดความอลหม่าน เมื่ออยู่ ๆ ก็มีหมายจากทางการเข้าจับกุมทุกคนต่างมารวมที่ลานกลางเรือน จางจางอิงที่ตื่นขึ้นบริเวณศาลาริมน้ำ กรีดร้องจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ใบหน้าของจางจางอิงแดงเป็นจ้ำเพราะถูกบรรดาแมลงกัดต่อย ฟูมฟายไม่นานก็ถูกทหารสองนายมาลากตัวออกไป“ปล่อยนะ ปล่อยข้านะ พวกเจ้าเป็นใคร”“คุณหนู เจ้าอย่าดิ้นรนให้เปลืองแรง ยามนี้จวนนายอำเภอถูกล้อมไว้หมดแล้ว”จางจางอิงหน้าตื่น “หมายความว่าอย่างไร”นายทหารไม่ตอบอีก ทว่ากลับพานางถูลู่ถูกังมายังลานกลางเรือนร่วมอีกคนหนิงเจินเห็นหน้าบุตรสาวลายพร้อยประหนึ่งเสือดาวก็แตกตื่น แต่เรื่องที่น่าตระหนกยิ่งกว่าคือทั้งจวนนายอำเภอกระทำสิ่งใดผิดก็หารู้ได้ และผู้นำการจับกุมครั้งนี้ก็คือ ซวี่ซื่อจื่อ“อิงเอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นอะไรไป”จางจางอิงหน้าบูด “ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ทราบ ตื่นมาอีกครั้งก็เห็นตัวเองนอนอยู่ที่ศาลาริมน้ำท้ายสวนโน่นเจ้าค่ะ”หนิงเจินผงะ หวนนึกถึงภาพเมื่อคืนก็บังเกิดความผวา “ละ…แล้วเมื่อคืนที่แม่เห็น ไม่ใช่เจ้างั้นหรือ”จางจางอิงหันขวับ “หมายความ
บ่าวรับใช้นายหนึ่งเดินเข้ามาโน้มกระซิบข้างหูจางหมิ่น “นายท่าน คุณหนูยังไม่กลับเรือนเล็กเลยขอรับ”จางหมิ่นลอบมองท่าทางซึ่งเริ่มเมาได้ที่ของซวี่ฟางจิ้น ซื่อจื่อเองก็ไม่ได้มองหรือใส่ใจเขา จางหมิ่นจึงวางใจ“ส่งคนไปตามหานางให้ทั่ว เอาของสิ่งนั้นมาให้ได้”“ขอรับ”บ่าวบุรุษร่างโตถอยหลังค้อมศีรษะจากไป จางหมิ่นเหลือบมองภรรยาข้างกายเป็นนัยให้ทำตามแผนเสียที“ซื่อจื่อ ดื่มอีกหน่อยนะเจ้าคะ นาน ๆ ท่านจะได้มาเยือนที่นี่”ซวี่ฟางจิ้นมิได้ปฏิเสธเขายิ้มตอบพร้อมรับจอกสุรากระดกลงคอ ซวี่ฟางจิ้นดื่มสุรามากเกินไป ยามนี้สติของเขากำลังพร่าเบลอ ร่างกายโอนเอนไปมาประหนึ่งหญ้าอ่อนต้องสายลมจางหลินจูผลัดอาภรณ์ใหม่ให้คล้ายกับสาวใช้ในจวน นางยืนหลบหลังสาวใช้อีกนางอยู่ไม่ห่าง เหลือบมองท่าทีเมาแอ้ของซวี่ฟางจิ้นอย่างนึกหงุดหงิดซื่อจื่อ ท่านนี่มีหัวไว้คั่นหูหรือไง ไยต้องทำตนเองให้เมาหัวราน้ำเพียงนี้กันภารกิจช่วยเหลือผู้มีพระคุณของจางหลินจูดูเหมือนจะเกิดอุปสรรคใหญ่เสียแล้ว เมื่อเห็นว่าซวี่ฟางจิ้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบา
จางหลินจูกลับมายังจุดชมบุปผา ทว่านางไม่พบเฟยหมิงแล้ว“อาลี่ แล้วหัวหน้าผู้ตรวจการเล่า”“คุณหนู ท่านมาแล้วหรือ ไม่นานมานี้ท่านหญิงรั่วซีถูกงูกัดเจ้าค่ะ”จางหลินจูตกใจ “ท่านหญิงเป็นอันใดมากหรือไม่ แล้วยามนี้นางอยู่ที่ใด”“นายท่านตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ และตอนนี้หัวหน้าผู้ตรวจการก็กำลังพาท่านหญิงไปส่งที่จวน”จางหลินจูถอนหายใจโล่งอก ครั้นเหลือบมองอีกด้านก็เห็นบุรุษร่างสูงเดินตรงเข้ามาไม่ห่าง ทั้งหมดเป็นเพราะเขาทำให้นางต้องผิดนัดกับเฟยหมิง หนำซ้ำท่านหญิงรั่วซีเกิดเหตุขึ้นทั้งที่นางมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่กลับช่วยสิ่งใดไม่ได้เลย“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ซวี่ฟางจิ้นเอ่ยถามซูลี่สะดุ้งโหยง “เอ่อ…ซื่อจื่อ เมื่อครู่ท่านหญิงถูกงูกัดเจ้าค่ะ”ซวี่ฟางจิ้นเหลียวมองผู้คนในงานที่หลงเหลือบางตา แต่มิได้แตกตื่นเช่นคราแรกแล้ว “นางเป็นไงบ้าง”“ท่านหญิงปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ หัวหน้าผู้ตรวจการกำลังไปส่งที่จวน”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง เขาพอทราบความสัมพันธ์สองคนนี้มาบ้าง ดูเหมือนเขาคงไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องหมั้นหมายของตนเพียงนั้นแล้วจางหลินจูยื
ค่ำคืนนี้ยังหลงเหลือแขกอีกมาก เพราะหลายคนล้วนอยากชื่นชมผการ้อยราตรีด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากจวนซวี่อ๋องอยู่ไกลถึงหัวเมืองใหญ่ จางหมิ่นจึงให้บ่าวรับใช้ตระเตรียมห้องหับเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ไม่ไกลจากจวนนายอำเภอมากนัก จึงไม่ได้เกิดปัญหาต่อการเดินทางยามกลับเรือนเวลามืดค่ำแต่อย่างใด“จูเอ๋อร์”จางหลินจูสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังมาจากเบื้องหลัง เสียงอันคุ้นเคยนี้เป็นเหตุให้จิตใจของนางระส่ำระสาย มือที่ถือกล่องขนมหวานเอาไว้สั่นระริกจางหลินจูได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ร่างระหงยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่กล้าขยับ กระทั่งลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหูเล็ก จางหลินจูก็ผละห่างจากเขา“ซะ…ซื่อจื่อ ท่านมีอันใดเจ้าคะ ไยจึงไม่อยู่ในงานหรือ”นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงมองไปยังกล่องขนมที่จางหลินจูถือเอาไว้“แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมาอยู่ตรงนี้ผู้เดียว”“ข้าก็แค่มาเอาของเจ้าค่ะ”“ของที่ว่าคือขนมนั่น ซึ่งเจ้าทำให้หัวหน้าผู้ตรวจการเฟยงั้นหรือ”จางหลินจูกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลง