จางหลินจูเดินห่างออกมาจากเพิงพักเรื่อย ๆ ภายในใจครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นานา เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร ดูเหมือนว่าในโลกอีกด้าน ครอบครัวของจางหลินจูคงไม่หลงเหลือใครอีกแล้ว
เพียงคะนึงถึง ภาพครอบครัวแสนอบอุ่นก็ฉายซ้ำไปมาตอกย้ำความเจ็บปวด กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตเริ่มเกิดม่านน้ำตาเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ จางหลินจูพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นกลางลำคอลงไปด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ยกมือขึ้นซับน้ำตาซึ่งร่วงเผาะลงมาเมื่อใดก็สุดจะรู้
คุณพ่อคุณแม่คะ ไม่ต้องห่วงจูเอ๋อร์นะคะ ลูกสัญญาจะใช้ชีวิตนับจากนี้ให้ดี
“โอ๊ย!”
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไง”
“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
จางหลินจูไม่ทันระวัง มุ่งหน้าโดยไร้ทิศด้วยจิตใจเหม่อลอย เป็นเหตุให้ชนกับบุรุษร่างกำยำเข้าโครมใหญ่
อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าเมื่อเขาสำรวจเรือนร่างและใบหน้าของจางหลินจู ภายในใจก็ผุดความคิดสกปรก น้ำเสียงแข็งกระด้างพลิกกลับเดี๋ยวนั้น
“แม่นางน้อย ข้าไม่ถือสา ว่าแต่เจ้าจะไปที่ใดหรือ”
จางหลินจูผงะเมื่อนางประสานเข้ากับแววตาหยาดเยิ้มแฝงไปด้วยความหยาบโลนแทะโลมอย่างปิดไม่มิด เท้าเล็กถอยร่นไปเบื้องหลังอย่างระแวดระวัง
เสียงใสกล่าวอ้อมแอ้ม “ขะ…ข้ากำลังจะเข้าไปในตัวเมืองเจ้าค่ะ พอดีแม่ข้าป่วยต้องการหมอ”
“อ่า…พอดีเลย ข้าเองก็เป็นหมอ งั้นให้ข้าไปเรือนเจ้าด้วยดีหรือไม่”
สำรวจจากรูปพรรณสัณฐาน จางหลินจูทราบในทันทีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่หมอ และเขาอาจเป็นชายโรคจิต จางหลินจูข่มใจไม่ให้กระโตกกระตาก พยายามคิดหาหนทางเพื่อเอาตัวรอด ทว่าอีกฝ่ายยังคงเยื้องย่างใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จางหลินจูก็ถอยไปเบื้องหลังช้า ๆ เช่นเดียวกัน
“อ๊ะ!”
เพราะคนเราไร้ตาหลัง จางหลินจูจึงไม่เห็นว่ามีหินก้อนหนึ่งขวางอยู่ ร่างระหงล้มลงบนพื้นเย็นเยียบ บุรุษแปลกหน้าฉีกยิ้มกว้างชอบใจ เอ่ยเสียงแปร่ง “แม่นางน้อย เจ็บที่ใด ให้ข้าช่วยดูหรือไม่”
ร่างกำยำยอบกายลงด้วยแววตาหื่นกระหาย พร้อมยื่นมือหยาบระคายออกมาหวังสัมผัสปลายคางโค้งมน จางหลินจูหวาดผวาจนกายสั่นสะท้าน ทว่าก่อนที่เขาจะสัมผัสถึงตัว จางหลินจูก็ลอบกำผงธุลีไว้เต็มฝ่ามือแล้ว ครั้นสบโอกาสมือเรียวก็ซัดฝุ่นผงเข้าเบ้าตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
“โอ๊ย! นังเด็กบ้าเจ้าอยากตายรึ”
จางหลินจูเล็งเห็นจังหวะเหมาะ ร่างระหงลุกวิ่งไม่คิดชีวิต คาดไม่ถึงว่าจางหลินจูวิ่งไปไม่ทันไรก็ถูกชายฉกรรจ์อีกสองคนขวางทางเอาไว้ จางหลินจูพยายามเบี่ยงกายหลีกหนีพวกเขาแต่ก็ถูกตีกรอบเสียจนหนทางเอาตัวรอดแคบลงเรื่อย ๆ
“สาวน้อย จะหนีไปไหน ต้องการหมอไม่ใช่หรือ พวกข้าช่วยฝังเข็มให้เจ้าและแม่ของเจ้าดีหรือไม่”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกคนชั่วช้าหมายความเช่นไร “ถอยไปนะ คนสารเลว!”
“ฮ่า ฮ่า สตรีไม่ได้ชอบคนสารเลวหรอกหรือ” แววตาของชายทั้งสองลามเลียจางหลินจูตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ขาเรียวยังคงก้าวถอยหลังด้วยอาการหวาดกลัว สมองตริตรองเพื่อเอาตัวรอดอีกครั้ง ทว่าเหลือบมองทางใดก็พบเพียงความริบหรี่ จางหลินจูเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ กำลังเผชิญหน้ากับบุรุษตัวโตถึงสามคน นางจะตีฝ่าออกไปได้อย่างไร ไม่นานแผ่นหลังบางก็ปะทะเข้ากับบางอย่างด้านหลัง ไหล่แคบถูกคว้าหมับจนตัวชา
“ตัวแสบ เจ้าเกือบทำข้าตาบอด เจ้ามันสมควรโดน!”
อั๊ก!
ชายหยาบช้าชกจางหลินจูบริเวณท้อง ร่างระหงตัวงอหน้าแดงก่ำ จางหลินจูเจ็บจุกจนพูดไม่ออก ดูเหมือนโอกาสเกิดใหม่ครั้งนี้ไม่สวยหรูเอาเสียเลย
คุณพ่อคุณแม่คะ ช่วยจูเอ๋อร์ด้วย!
จางหลินจูทรุดฮวบนอนกลิ้งลงบนพื้น เสียงหัวเราะของบุรุษดังก้องเสียจนหูอื้ออึง ร่างระหงตะเกียกตะกายเพื่อหาทางเอาตัวรอดพลางเรียกหาบิดามารดาอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนเสียงยังดังไม่พอ และคงไปไม่ถึงผู้มีพระคุณทั้งสองเสียแล้ว
ฮื่อ…จูเอ๋อร์ขอโทษ
ก่อนถูกชายเหล่านั้นยกกายพาดบ่า เสียงควบม้าก็ดังสะท้อนใกล้เข้ามา จางหลินจูรับรู้ด้วยสติที่หลงเหลือเพียงน้อยนิด
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ชายทั้งสามแตกตื่น ครั้นภาพที่ปรากฏกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดควบม้าเข้ามาพร้อมดาบไม้ในมือเท่านั้น จึงเหยียดยิ้มดูถูก เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้าจองหองใส่พวกเขา
“เจ้าเด็กนี่แส่หาเรื่องจริง ๆ ไสหัวไป!”
เสียงที่แตกหนุ่มเอ่ยเยียบเย็น “พวกเจ้านั่นล่ะ ที่ต้องไสหัวไป กล้ารังแกกระทั่งเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ งั้นหรือ”
“แล้วอย่างไร นังเด็กนี่เป็นทาสของข้า ข้าซื้อมันมาด้วยเงินของข้าเอง ข้ามีสิทธิ์ทำอย่างไรก็ได้ เจ้าอย่าสอดดีกว่า หากยังอยากมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้”
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเหลือบมองสีหน้าแดงก่ำของสตรีเบื้องล่าง เพราะจางหลินจูพูดไม่ออกยังอยู่ในอาการเจ็บระบม นางทำได้เพียงส่ายศีรษะเพื่อเป็นสัญญาณให้เขา
เด็กหนุ่มเวทนาจางหลินจูอย่างมาก เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาก็ทราบได้ทันทีว่าชายสามคนนี้กำลังแอบอ้างเป็นเจ้านายของนาง “โกหก! เจ้าทำร้ายผู้อื่น ซ้ำยังคิดกระทำมิดีกับเด็กผู้หญิง ข้าจะนำตัวเจ้าไปส่งทางการ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
บุรุษทั้งสามประสานเสียงหัวเราะร่วน พลางถ่มน้ำลายอย่างเถื่อนถ่อย
“ตัวเท่าลูกสุนัข ยังคิดจะจับพวกข้า”
เด็กชายแค่นยิ้ม “ได้หรือไม่ก็ลองดู อีกอย่างคนที่เป็นสุนัขคือพวกเจ้า หนำซ้ำยังขี้เรื้อนเสียด้วย หากคิดแตะต้องตัวนางก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
จางหลินจูได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็แทบหลั่งน้ำตา คนผู้นี้คือใครกัน ช่างคุณธรรมสูงส่งนัก ในชีวิตที่ผ่านมานอกจากพ่อแม่แล้ว ยังไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยคำนี้กับนางด้วยความจริงใจสักคน
พี่ชาย ขอบคุณเจ้าค่ะ
จางหลินจูปรับม่านดวงตาเพื่อสำรวจใบหน้าของเขา ทว่านางกลับมองเห็นเพียงภาพอันเลือนราง เสียงกีบเท้าม้าห้อทะยานวิ่งวนเป็นวงกลมเสียจนฝุ่นตลบ
จางหลินจูสัมผัสได้ถึงการต่อสู้อย่างบ้าระห่ำ แต่ยามนี้นางไม่อาจครองสติได้แล้ว ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป
พี่ชาย ท่านต้องปลอดภัยนะเจ้าคะ
สติของจางหลินจูพลันดับวูบ พร้อมกับชายทั้งสามที่หมอบราบลงบนพื้น สิ้นสงครามขนาดย่อมไม่นาน ก็มีกลุ่มคนกรูเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
“นายน้อย! ท่านเป็นอันใดหรือไม่”
บุรุษร่างสูงสวมเครื่องแต่งกายสีเข้มถลาเข้ามาบังหน้าหวังปกป้องผู้เป็นนาย นัยน์ตาคมเข้มกวาดมองคู่กรณีจากนั้นย้ายสายตามาที่หนุ่มหน้าวสันต์ เมื่อประเมินสถานการณ์อย่างถ้วนถี่กลับพบว่ายามนี้นายน้อยของเขายังคงสะอาดสะอ้านครบสามสิบสอง ไม่เหมือนชายร่างยักษ์ทั้งสามที่ลงไปนอนโอดครวญบนพื้นด้วยร่างกายสะบักสะบอม เขาตื่นตูมเกินไปหน่อยแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร คนพวกนี้เอาไปส่งทางการให้หมด อ้อ…ตามหมอมาด้วยเล่า”
องครักษ์เกิดแตกตื่น “นายน้อย ท่านได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ข้า แต่เป็นนาง”
องครักษ์มองตามสายตาของผู้เป็นนายก็เข้าใจทุกอย่างในบัดดล
“พวกเจ้า ลากคอมันไป เร่งตามหมอมาด่วน!”
“ขอรับ”
ชายทั้งสามถูกลากตัวไปเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มร่างโปร่งกระโจนลงจากหลังม้า เขายอบกายลงแช่มช้า กวาดสายตาสำรวจใบหน้าพริ้มเพราครู่หนึ่ง กระทั่งไปสะดุดตากับหยกแขวนบนลำคอของนาง
“สร้อยนี่มีมูลค่ามากทีเดียว คุณหนูบ้านใดกันเล่า ไยมาเดินเตร็ดเตร่คนเดียวที่นี่”
เสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมายังหน้าโรงหมอ บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งร้อน“ซื่อจื่อ” ผู้ช่วยหมอหลี่ค้อมศีรษะเล็กน้อยผู้มาเยือนคือซื่อจื่อแห่งเมืองอันเจียง นามว่า ‘ซวี่ฟางจิ้น’ และเขาเป็นคนช่วยเหลือจางหลินจูเอาไว้“ท่านหมอหลี่เล่า”“ท่านหมอออกไปแล้วขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไปแล้ว ข้าบอกให้รอข้าก่อนไม่ใช่หรือ แล้วนาง…” ซวี่ฟางจิ้นแอบลังเลเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวที่ตนเพิ่งพบเจอไม่กี่ชั่วยามผู้ช่วยหมอหลี่ลุ้นจนตัวโก่งก็ยิ้มแหยออกมา เขายกมือเกาศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอออกไปกับแม่นางน้อยที่ท่านพามาขอรับ แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าไปที่ใดกัน เพราะท่านหมอไม่ได้บอกไว้”ดูเหมือนเขากำลังสวนทางกับอีกฝ่ายเข้าเสียแล้วเหตุใดจึงรู้สึกเสียดายพิกล กระทั่งองครักษ์ตามมาถึง“นายน้อย ได้เวลาแล้วนะขอรับ”ใบหน้าของซวี่ฟางจิ้นดูผิดหวังเสียจนองครักษ์อย่างจินฝานงงงวย เวลานับสิบเจ็ดปีเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยแ
ร่างระหงนอนทอดยาวไร้สติอยู่บนฟูกนอนขาวสะอาดด้านในโรงหมอ เมื่อผู้เป็นหมอเห็นใบหน้าผู้ป่วยกระจะตาก็อุทานขึ้น“เอ๊ะ นังหนูนี่ หน้าคุ้น ๆ”เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักนางหรือ”หมอวัยกลางคนพิเคราะห์องคาพยพจางหลินจูครู่หนึ่ง ไม่นานก็นึกออก “อ่า…เป็นนางนี่เองซื่อจื่อแม่นางน้อยคนนี้ข้าเคยรักษาให้ไม่กี่วันก่อนขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “เช่นนั้นท่านคงทราบว่านางเป็นใคร”ท่านหมอถอนหายใจยาว จากนั้นเหลือบมองจางหลินจูอย่างนึกเวทนา “ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่านางคือใคร แต่ดูเหมือนนางจะเป็นคนต่างแคว้นมารดาป่วยกระเสาะกระแสะ น้องชายก็ยังเล็กนัก”“ที่ท่านบอกว่าเคยรักษานาง นางป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ”“จากที่มารดานางเล่าให้ฟัง ดูเหมือนนางจะเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำขอรับ ร่างกายเลยมีไอหยินมากเกินไป แล้วดูยามนี้ ถูกผู้ใดรังแกมาอีกเล่า”มีคนที่ชีวิตอาภัพได้เพียงนี้ด้วยหรือ “เช่นนั้นท่านก็ช่วยรักษานาง ข้าจะรอจนกว่านางได้สติ”“ขอรับ”ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งบริเวณเก้าอี้มุมห้อง สายตายั
จางหลินจูเดินห่างออกมาจากเพิงพักเรื่อย ๆ ภายในใจครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นานา เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร ดูเหมือนว่าในโลกอีกด้าน ครอบครัวของจางหลินจูคงไม่หลงเหลือใครอีกแล้วเพียงคะนึงถึง ภาพครอบครัวแสนอบอุ่นก็ฉายซ้ำไปมาตอกย้ำความเจ็บปวด กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตเริ่มเกิดม่านน้ำตาเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ จางหลินจูพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นกลางลำคอลงไปด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ยกมือขึ้นซับน้ำตาซึ่งร่วงเผาะลงมาเมื่อใดก็สุดจะรู้คุณพ่อคุณแม่คะ ไม่ต้องห่วงจูเอ๋อร์นะคะ ลูกสัญญาจะใช้ชีวิตนับจากนี้ให้ดี“โอ๊ย!”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไง”“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”จางหลินจูไม่ทันระวัง มุ่งหน้าโดยไร้ทิศด้วยจิตใจเหม่อลอย เป็นเหตุให้ชนกับบุรุษร่างกำยำเข้าโครมใหญ่อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าเมื่อเขาสำรวจเรือนร่างและใบหน้าของจางหลินจู ภายในใจก็ผุดความคิดสกปรก น้ำเสียงแข็งกระด้างพลิกกลับเดี๋ยวนั้น“แม
หลายวันผันผ่านจางหลินจูได้รับการดูแลจากสองแม่ลูกอย่างดี จางหลินจูจึงทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ตนได้เกิดใหม่ในร่างคุณหนูตระกูลเศรษฐีซึ่งตอนนี้กำลังตกอับและจนตรอกมารดาของจางหลินจูในมิติแห่งนี้ยังมีนามว่า หวงเจิ้นอี๋ ส่วนบิดานามว่าจางเฉินซี ทว่าบิดาของจางหลินจูได้ตรอมใจตายไปเมื่อหลายวันก่อนจางหลินจูร้องไห้จนแทบไม่หลงเหลือน้ำตาให้ไหลอีก จากนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ก็พรั่งพรูเข้ามาดุจทำนบแตก ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่อัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาเพียงเสี้ยวเดียว โดยการส่งจางหลินจูให้เกิดใหม่เพื่อมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอีกด้านบางทีอาจเพราะชีวิตในโลกใบเดิม จางหลินจูอยู่สุขสบายมากจนเกินไป จางหลินจูจึงเลิกน้อยใจต่อโชคชะตาและคิดเพียงว่าสวรรค์กำลังยื่นบททดสอบมาให้ต่างหาก ปลายทางสุดท้ายอาจเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งกำลังรออยู่ก็ได้ “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว แต่ท่านดูจะป่วยหนักกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”จางหลินจูสังเกตอาการป่วยไข้ของหวงเจิ้นอี๋มาสักระยะแล้ว ใบหน้าของมารดาในยามนี้ช่างซูบตอบ กระดูกบริเวณแก้มผุดโผล่เด่นชัด ริมฝีปากแห้งผากขาวซีด หวงเจิ้นอี๋
จางหลินจูหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนล้า กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนจึงรู้สึกตัว“พี่หญิง ตื่นแล้วหรือขอรับ นี่น้ำขอรับ”จางหลินจูยังไม่หายสับสน แต่ก็ยังเอื้อมมือรับจอกน้ำชาจากมือเล็กคู่นั้น จางหลินจูสำรวจองคาพยพของเด็กชายตรงหน้าพักใหญ่ ผิวพรรณของเขาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู เพียงแต่สภาพดูมอมแมมไปบ้าง สังเกตดี ๆ เด็กคนนี้หน้าคล้ายจางหลินจูสมัยวัยกระเตาะเป็นอย่างมากกระทั่งดื่มน้ำจนไม่รู้สึกกระหายแล้ว จางหลินจูจึงเอ่ยถาม “หนูจ๊ะ คือ…หนูเป็นใครงั้นเหรอ”เด็กชายตัวน้อยเริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ จางหลินจูทำตัวไม่ถูก หันรีหันขวางแล้วจึงส่งยิ้มแหย มือเรียวเอื้อมลูบไหล่เล็กเพื่อปลอบประโลม “ไม่ร้องนะคะ ไม่ร้อง พี่ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเป็นเด็กดีพี่จะซื้อขนมให้กิน ดีไหมครับ”เด็กชายหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำว่าขนม พลางกลั้นเสียงสะอื้นจนหน้าแดงแก้มป่อง จางหลินจูลุ้นตามจนตัวงอ ครั้นเจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้แล้ว จางหลินจูจึงค่อย ๆ ตะล่อมถาม พร้อมยกมือทำท่าสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้อีกฝ่ายกำหนดลมหายใจตาม แทนที่จะเป็นจางหลินจูที่ต้องได้รับการปลอบใจ แต่กลับกลายเป็นว่า จางหลินจูดันมีน้องชายให้ต้องคอยดูแลเสียอย่างนั้น แ
ถนนสายหลัก ณ กรุงปักกิ่ง รถหรูคันสีดำเคลื่อนตัวไปตามถนนคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เวลานี้อยู่ในช่วงเหมันตฤดู บรรยากาศโดยรอบจึงเต็มไปด้วยละอองหิมะสีขาวโพลน เด็กสาววัยสิบห้าฉีกยิ้มกว้างส่งไปจนถึงดวงตาคล้ายพระจันทร์เสี้ยว "คุณพ่อ คุณแม่คะ วันนี้จูเอ๋อร์มีความสุขที่สุดเลย" เด็กสาวโผเข้ากอดมารดาแนบอก ผู้เป็นมารดาแย้มยิ้มอบอุ่น มือเรียวลูบไล้เส้นผมสีดำขลับด้วยความทะนุถนอม ส่วนบิดาโน้มกอดหญิงสาวที่ตนรักสุดหัวใจทั้งสองไว้ในอ้อมแขนพร้อมใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข"จูเอ๋อร์ ไม่อยากเที่ยวต่อจริงเหรอลูก วันนี้จูเอ๋อร์อยากไปไหนพ่อจะพาไปทุกที่" "นั่นสิ ลูกเรียนมาหนักพอแล้ว วันเกิดทั้งที พ่อและแม่อยากให้หนูได้พักผ่อนบ้าง" ผู้เป็นแม่เอ่ยสำทับ เด็กสาวใบหน้าพริ้มเพราคลายอ้อมกอดออกจากมารดา แล้วจึงหันมาโอบรัดบิดาอีกทาง เธอแหงนมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาออดอ้อนระคนซุกซน "คุณพ่อขา...จูเอ๋อร์ไม่อยากไปไหนแล้วจริง ๆ ค่ะ ทุกปีเราก็ไปเที่ยวข้างนอกกันอยู่ตลอด ปีนี้เรากลับไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านดีกว่านะคะ บ้านเราอบอุ่นที่สุดแล้วค่ะ" ทั้งพ่อและแม่ได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนรู้จักคิดรู้จักพูดก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซ