ในระหว่างที่ทัพของหลี่เจินหรงกำลังมาถึง วังหลวงก็เต็มไปด้วยความคึกคักและความตื่นเต้น ฮองเฮาเยี่ยนซีและข้าราชบริพารยืนรออยู่ที่ทางเข้าของวัง ตลอดเวลาที่ผ่านมาฮองเฮาเยี่ยนซีรอคอยการมาหลี่เจอนหรง เมื่อม้าเร้วบอกว่า หลี่เจินหรงกำลังเดินทางมา ขบวนของหลี่เจินหรงหยุดลง สายตาของฮองเฮาเยี่ยนซีเบิกกว้างธงดำโกบกสะบัดน่าเกรงขาม ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น หลี่เจินหรงกับจ้าวอินหลัวอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน มองจากระยะไกลแล้ว ดูเหมือนจะเป็นหลี่เจินหรงกำลังประคองจ้าวอินหลัวด้วยความอ่อนโยน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฮองเฮาเยี่ยนซีรู้สึกประหลาดใจจ้าวอินหลัวที่ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าและอ่อนแอหลังจากการเดินทางมาไกล ยกขาลงจากหลังม้า หลี่เจินหรงค่อยๆ ประคองร่างเล็กๆ ลงจากหลังม้าอย่างช้าๆ ใบหน้าของหลี่เจินหรงยังคงเย็นชาแต่ท่าทางที่เขาประคองจ้าวอินหลัวนั้นกลับอ่อนโยนราวกับไม่ใช่บุรุษที่โหดร้ายอย่างที่ฮองเฮาเยี่ยนซีเคยรู้จัก“ท่านอ๋อง…” เสียงฮองเฮาเยี่ยนซีดังขึ้นเบาๆ ดวงตาของนางยังจ้องไปที่หลี่เจินหรงและจ้าวอินหลัวอย่างไม่อยากเชื่อ พลางยิ้มน้อยๆ“น้องสาวการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เจินหรงหันมามองฮองเฮาแวบหนึ่ง ก่อน
ห้องหนังสือในวังหลวงฮ่องเต้กงหานนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานไม้ขัดเงาอย่างสบายๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ฎีกาจากขุนนาง ฮ่องเต้กงหานไม่ได้ทำงานหนักจนเกินไปในวันนี้ เพราะมีความคิดต่างๆ อยู่ภายในใจเสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำให้ฮ่องเต้กงหานเงยหน้าขึ้นทันที ฮองเฮาที่เดินเข้ามาในห้องนั้นท่าทางสง่างาม ใบหน้าของนางประดับด้วยความเคร่งขรึม แต่ก็ยังคงความงามที่น่าทึ่งในทุกย่างก้าว“ฝ่าบาทม้าเร็วรายงานว่าหลี่เจินหรงเดินทางเกือบจะถึงวังหลวงแล้ว” ฮองเฮาพูดเสียงเรียบ พลางก้าวไปยังโต๊ะของฮ่องเต้และหยุดยืนอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้กงหานยิ้มอย่างไม่เร่งรีบ เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ “อืม…ต้องเตรียมการต้อนรับสินะ” น้ำเสียงของเขาสงบและมั่นคงฮองเฮามองฮ่องเต้กงหานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “ฝ่าบาทกังวลใจหรือไม่เพคะ ที่หลี่เจินหรงกำลังจะมา”“ไม่มีความกังวลใจใดในตอนนี้” ฮ่องเต้กงหานพูดเสียงเบายิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีความลับซ่อนอยู่ในนั้น ฮ่องเต้กงหานเอนหลังกลับไปในเก้าอี้ของตนและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูราวกับกำลังวางแผนอย่างรอบคอบ “ข้าคิดว่าจะพูดกับหลี่เจินหรงให้ปล่อยตัวจ้าวอินหลัวดูก่อนเหมือนจะข
เสียงเท้าของเสี่ยวหม่าดังขึ้นในทางเดิน เดินเข้ามาในกระโจมพร้อมถาดซุปร้อนๆ ในมือ รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ทำให้หลี่เจินหรงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันไปมองด้วยสายตาไม่ค่อยมั่นใจ“ข้าน้อยให้พ่อครัวทำซุบบำรุงร่างกายมาให้นายหญิงขอรับ” เสี่ยวหม่าพูดขึ้น พร้อมยกถาดที่เต็มไปด้วยซุปหอมกรุ่นขึ้นมาหลี่เจินหรงมองไปที่ถาดซุปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะยกคิ้วขึ้นแล้วถาม“ใครสั่ง”เสี่ยวหม่าพยักหน้าเล็กน้อยพลางยิ้มบางๆ ที่มุมปาก“ใจสั่งมาขอรับ นายหญิงไม่แข็งแรงสักที อาจทำให้ครรภ์มีปัญหาได้”“ครรภ์อะไรของเจ้า”คำพูดนี้ทำให้หลี่เจินหรงขมวดคิ้วอย่างสงสัย เสี่ยวหม่าหยุดชั่วขณะยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขบขัน“แหมๆๆๆ ท่านอ๋อง... อย่าอายเลยขอรับ เรื่องนี้น่ายินดีเพียงนี้จะเขินไปทำไมหรือขอรับ หรือท่านอ๋องจะรอให้อ๋องน้อยคลอดก่อนหรือขอรับ จึงจะปล่อยให้คนอื่นรู้เองเห็นเองหรือขอรับ”หลี่เจินหรงหันกลับไปมองเสี่ยวหม่าด้วยสายตาเย็นชาที่ไม่สามารถซ่อนความตกใจได้จากคำพูดของเสี่ยวหม่า“ข้าน้อยว่าทางที่ดีควรให้ท่านหมอช่วยดูด้วยนะอขรับจะได้เตรียมรับมือ”“เพ้อเจ้อ เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร”เ
“อ๊ะ...อย่าดื้อรั้นนักสิข้าอกให้นอนพักนอนพักรอเวลาเคลื่อนทัพ”อินหลัวเม้มปากหมั้นไส้คำฑุดกลับไปกลับมาของหลี่เจินหรงและยังหมั้นไส้ดวงตาแวววาวนั้นอีก จึงพยายามสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขาก็ทำได้แค่ฮึดฮัด เบาๆ “ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาประคอง ข้าสบายดี” แต่คำพูดนั้นกลับฟังดูไม่ค่อยแน่ใจเพราะยังคงรู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงหลี่เจินหรงไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มแล้วก็ประคองอินหลัวไปที่แท่นนอน อย่างระมัดระวังให้มานอนสบาย เขานั่งข้างๆ ห่มผ้าให้เสี่ยวหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของนายตนอย่างละเอียดราวกับอ่านออกในทุกๆ การเคลื่อนไหว เขากระซิบกับเยว่หรงเบาๆ “องค์หญิงรองขอรับ ข้าน้อยว่าชักจะอย่างไงอย่างไงเสียแล้วขอรับ”เยว่หรงหันมามองด้วยความสงสัย “อะไรคืออย่างไง อย่างไง”เสี่ยวหม่ามองไปที่อินหลัวที่กำลังเอนตัวนอนอย่างอ่อนแรงในอ้อมแขนของท่านอ๋อง แล้วกระซิบเสียงต่ำกว่าเดิม “นายหญิงจ้าวอินหลัวมีท่าทีแบบนี้ไม่ใช่ว่ากำลังตั้งครรภ์หรือขอรับ... ท่านอ๋องถึงกลับประคองเลยทีเดียว”เยว่หรงอ้าปากค้าง รู้สึกตกใจและประหลาดใจ “แย่แล้วสิ... น่าสงสารจริง มีลูกติดท้องทั้งๆ ที่อ๋องเหล่ยก็ตายไปแล้ว”เสี่ยวหม่าถอนหายใ
"ปล่อยข้านะ!" เสียงของอินหลัวสั่นเครือ รู้สึกถึงความอับอายที่ไม่สามารถปฏิเสธได้หลี่เจินหรงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่รวบร่างบางของอินหลัวเข้ามาในอ้อมแขนแล้วดึงร่างเล็กมาแนบชิดกับร่างกายของเขา แขนแกร่งกอดเอวบางแน่นจนไม่มีที่ว่างหลุดออกไปทันทีที่อินหลัวขัดขืนและพยายามขยับตัวออกไป แต่หลี่เจินหรงกลับดึงร่างให้ล้มลงไปที่แท่นนอน เขาไม่ยอมปล่อยริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของอินหลัวอย่างรุนแรง ร้อนแรงและกระตุ้นให้หัวใจของอินหลัวเต้นแรงขึ้น ท่ามกลางความโกรธและอับอาย ร่างบางของอินหลัวกลายเป็นอาหารน่าลิ้มลองในอ้อมกอดของเขา"ปล่อยข้า..." อินหลัวพูดอู้อี้ รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นผ่านร่างกายแต่หลี่เจินหรงกลับไม่ยอมปล่อยมือ เขากอดให้แน่นขึ้น แล้วยังคงจูบไม่ยอมปล่อยรสจูบทั้งหวานทั้งขมปะปน ทั้งยังอ่อนนุ่มจนอินหลัวเผลอไผล จูบที่ยาวนาน ร้อนแรง และไม่หยุดหย่อน สร้างความหวั่นไหวในจิตใจของอินหลัว จนเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน มือเล็กที่ดันอกกว้างเริ่มผ่อนคลายรสจูบยิ่งหวานหอมจนใจแทบละลาย เนิ่นนานราวกับชั่วกัปกัลป์ อินหลัวพิงกอกกว้างแต่อ้อมกอดนั้นยังรัดแน่นในที่สุด หลี่เจินหรงถอนริมฝี
"ชอบยั่วยวนบุรุษเช่นนี้สินะ ไม่แปลกใจเลยเจ้าจึงทำให้มีคนหลงใหลเจ้ามากมาย กี่คนกันนะ ทั้งอ๋องเหล่ย ทั้งท่านหมอ หรือว่าจะรวมคนสนิทของบิดาเจ้าก็คือเสียนหยางคนนั้นด้วยหรือแต่ละคนท่าทางองอาจหล่อเหลา เอหรือจะรวมเจ้าเสี่ยวหม่าไว้ด้วยหรือเปล่า ออกรับแทนเจ้าตลอดเวลา"ฟาดงวงฟาดงาคำพูดของหลี่เจินหรงกระแทกเข้าไปในใจของอินหลัว ไม่รู้ว่ามันเป็นการพูดด้วยความโกรธเกลียด หรือความหึงหวงที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาอินหลัวกดความเจ็บปวดในใจเอาไว้ลึกๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "ท่านอ๋องคิดจะพูดถึงใครก็พูดเถอะ ข้าทำอะไรท่านไม่ได้ ข้าแค่... เป็นคนที่ไม่มีค่าเท่านั้นเอง ในสายตาท่านจะทำอะไรก็ผิดไม่ทำก็ผิดอยู่แล้ว"หลี่เจินหรงจ้องมองอินหลัวอยู่ในท่าทางนิ่งๆ ตลอดเวลา ความรู้สึกที่เขามีกับเธอนั้นดูเหมือนจะเป็นการผสมผสานระหว่างความโกรธและไอ้ความรุ้สึกอีกอย่างที่มันนถาโถมนี่คือความรู้สึกใดกันแน่"...ปราณเราเชื่อมกันสินะตอนนี้ข้ารู้สึกแปลกๆ หรือว่าเป็นเจ้าที่รู้สึกแบบนั้นแล้วส่งต่อมาถึงข้า ชิ…ช่างเถอะข้าหาสนใจไม่ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องมาคอยสนใจเจ้าแบบนี้"หลี่เจินหรงพึมพำเบาๆ ความรู้สึกของทั้งสองคนยิ่