บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนกว้างขวางในเมืองหลวง เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของอำนาจและความมั่งคั่งของตระกูล "กฤษณะโยธิน" แต่สำหรับปานตะวัน ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากกรงทอง เธอเติบโตที่นี่ตั้งแต่จำความได้ ในฐานะเด็กสาวที่ย่าของโลกันต์รับมาอุปถัมภ์ แต่ไม่มีวันถูกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
โลกันต์ ชายหนุ่มผู้เป็นหลานคนโตของบ้าน เติบโตมาพร้อมความหยิ่งผยองในสายเลือด เขามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง และมองปานตะวันเป็นเพียงเศษฝุ่นในชีวิตของเขา เขาไม่เคยยอมรับเธอ ไม่เคยเห็นคุณค่าของเธอ และใช้ทุกโอกาสในการตอกย้ำความแตกต่างระหว่างเขาและเธอ
"ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่?" โลกันต์เคยถามเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาในเช้าวันหนึ่ง ตอนที่เขาเห็นเธอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมถาดอาหาร
"ปานทำตามคำสั่งของคุณย่าค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดวงตาแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่เธอพยายามซ่อน
โลกันต์หัวเราะหยัน "คำสั่งของคุณย่าเหรอ? ฉันว่าคุณย่าแค่สงสารเธอมากกว่า สงสารที่ไม่มีบ้าน ไม่มีใครต้องการ"
คำพูดนั้นเจ็บแปลบเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจ ปานตะวันยืนนิ่ง น้ำตาแทบจะไหลออกมา แต่เธอรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องไห้
"ถ้าอยากตอบแทนบุญคุณคุณย่า เธอก็ควรทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่ใช่มาเดินเพ่นพ่านในบ้านเหมือนคนไม่มีอะไรทำ" โลกันต์พูดเสริม ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
ทุกวันของปานตะวันเต็มไปด้วยคำพูดที่ดูถูกและสายตาที่เย็นชา เธอถูกมองเป็นแค่ภาระหรือสิ่งที่คนในบ้านไม่อยากแตะต้อง แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยโกรธหรือเกลียดใคร เธอแค่หวังว่าสักวันหนึ่ง ชีวิตของเธอจะมีค่ามากกว่าที่พวกเขาเห็น...
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ปานตะวันนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเล็กๆ ที่จัดไว้ให้เธอ แม้จะอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่หรูหรา แต่ห้องของเธอกลับแสนเรียบง่าย มีเพียงเตียงเดี่ยวเก่าๆ และตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก
เธอนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ดวงตาเหม่อมองไปยังหน้าต่างที่เปิดไว้เพื่อรับลมเย็น แต่ในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ คำพูดของโลกันต์ในวันนี้ยังคงดังก้องในหัว
"ไม่มีใครต้องการเธอ"
เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอที่นี่ไม่เคยง่าย ตั้งแต่วันที่คุณย่าพาเธอเข้ามาในบ้าน เธอเป็นเหมือน "คนนอก" ที่ไม่มีใครยอมรับ แม้แต่โลกันต์ คนที่เธอเคยแอบมองด้วยสายตาชื่นชมตั้งแต่ยังเด็ก กลับเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกไร้ค่ามากที่สุด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเธอ ปานตะวันรีบลุกขึ้นและเปิดประตู โลกันต์ยืนอยู่ตรงนั้น เขายืนกอดอก สายตาเย็นชามองมาที่เธอ
"คุณกันต์มีอะไรหรือคะ?" ปานตะวันถามออกไป น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยขณะมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู
โลกันต์ไม่ได้ตอบอะไร เขามองเธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอขนลุก หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความประหม่า ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
"คุณกันต์?" เสียงของเธอขาดหายเมื่อร่างของเขาขยับเข้ามาใกล้ โลกันต์คว้าข้อมือของเธอไว้แน่น ก่อนจะผลักเธอไปติดกำแพง
"ฉันเบื่อที่จะต้องพูดกับเธอแล้ว ปานตะวัน" น้ำเสียงของเขาเย็นชาแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย
ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบอะไร เขาก็โน้มตัวลงมา จูบเธออย่างรุนแรงโดยไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ ริมฝีปากของเขากดลงบนริมฝีปากของเธอด้วยแรงที่เกินกว่าจะเรียกว่าความอ่อนโยน
"คุณกันต์...อย่าค่ะ!" เธอพยายามดิ้นรน แต่เขากลับจับเธอไว้แน่น ยิ่งเธอต่อต้าน เขายิ่งตอบสนองด้วยความดุดัน ริมฝีปากของเขาไล่ไปตามลำคอของเธอ ทิ้งรอยแดงไว้บนผิวที่บอบบาง
"อย่าทำให้ฉันโมโห" โลกันต์กระซิบเสียงแหบพร่า ขณะที่มือของเขาเลื่อนลงมาจับร่างกายของเธอที่ยังคงสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวและสับสน
ปานตะวันพยายามผลักเขาออก แต่แรงของเธอไม่อาจเทียบกับเขาได้ โลกันต์ดันเธอลงบนเตียงด้วยท่าทีที่ไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความป่าเถื่อน เสียงหายใจหนักหน่วงของเขาผสานกับเสียงสะอื้นเบาๆ ของเธอที่พยายามกลั้นน้ำตา ร่างกายของเธอถูกเขาเข้าครอบครองโดยไม่สนใจความรู้สึกหรือคำวิงวอน
ทุกการกระทำของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความปรารถนาที่รุนแรง โลกันต์ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากความต้องการของตัวเอง ทิ้งให้ปานตะวันต้องรับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจเพียงลำพังเขารังแกเธอตลอดทั้งคืนด้วยความป่าเถื่อน รุนแรง และหนักหน่วง
เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งสางของเช้าวันใหม่ โลกันต์ลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ เขาหยิบเสื้อเชิ้ตที่ถูกโยนลงพื้นขึ้นมาสวม ก่อนจะโยนเงินจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะข้างเตียง
"จัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วอย่าทำอะไรให้ฉันรำคาญ เข้าใจไหม?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ปานตะวันนอนนิ่งอยู่บนเตียง น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไร้เสียง
"เขามองฉันเป็นเพียงสิ่งของจริงๆ ใช่ไหม..." เธอคิดในใจ ขณะที่ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจของเธอจนแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”