เช้าวันใหม่ในบ้านหลังใหญ่เริ่มต้นด้วยมื้ออาหารเช้าที่จัดขึ้นในห้องรับประทานอาหารหรูหรา โลกันต์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาตามแบบฉบับของเขา ส่วนปานตะวันนั่งอยู่มุมโต๊ะเล็กๆ ใกล้กับบริเวณที่จัดไว้สำหรับพนักงาน ใบหน้าของเธอเรียบเฉย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความอึดอัด
คุณย่าพิมพ์ประไพ ผู้อาวุโสของบ้าน นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะในชุดสวยสง่า เธอมองโลกันต์พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม
"กันต์ วันนี้พาปานไปมหาวิทยาลัยด้วยนะ ย่าไม่อยากให้เธอขึ้นรถเมล์ มันไม่ปลอดภัย"
เสียงของคุณย่าเรียกความสนใจจากทั้งสองคนทันที โลกันต์เลิกคิ้วก่อนจะยิ้มเย็นๆ
"พาไป?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยัน
"ย่าอยากให้รถผมมีรอยขีดข่วนหรือไงครับ?"
ปานตะวันนิ่งเงียบ มือของเธอที่ถือช้อนส้อมสั่นเล็กน้อย แต่เธอพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมา
"กันต์!" คุณย่าเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงดุ พลางจ้องเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจ
"ย่าไม่ได้ขอ แต่ย่าสั่งให้แกพาปานไปด้วย และดูแลเธอให้ดี"
โลกันต์ถอนหายใจยาว ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างไม่ใส่ใจ "ครับ... ถ้าย่าสั่ง ผมก็คงต้องทำ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองปานตะวันด้วยสายตาเย็นชา
"แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะปานตะวัน" เขาพูดพร้อมกับยิ้มเหยียด "รถฉันราคาแพง อย่าทำอะไรให้สกปรกล่ะ อย่างเธอนั่งรถหรูมันไม่คู่ควร...เธอน่าจะเหมาะกับรถเมล์มากกว่า"
คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจของปานตะวัน เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร
"เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ!" โลกันต์พูดปิดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไป
รถสปอร์ตคันหรูจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน โลกันต์นั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ ส่วนปานตะวันนั่งอย่างเงียบๆ อยู่ข้างเขาในที่นั่งผู้โดยสาร บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด โลกันต์ขับรถออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ
ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย โลกันต์ไม่ได้พูดอะไร แต่ความเงียบก็หนักอึ้งเหมือนคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยออกมา ปานตะวันพยายามนั่งนิ่ง มือทั้งสองข้างของเธอกุมกระเป๋าไว้แน่น ดวงตาหลุบต่ำมองปลายรองเท้าของตัวเอง
เมื่อถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย โลกันต์เลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ก่อนจะจอดรถและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ลงไป"
ปานตะวันหันมามองเขาเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือไม่ "คุณกันต์คะ?"
"ฉันบอกให้ลงไป!" โลกันต์พูดซ้ำ พร้อมกับจ้องเธอด้วยสายตาคมกริบ "ฉันไม่อยากให้ใครในมหาวิทยาลัยรู้ว่าเธออยู่บ้านเดียวกับฉัน มันน่าอาย"
หัวใจของปานตะวันบีบรัดด้วยความเจ็บปวด แต่เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ เธอเปิดประตูรถอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้าวลงไปพร้อมกระเป๋าหนังสือ
"แล้วจำไว้..." โลกันต์พูดเสริม น้ำเสียงของเขายิ่งกดดันหัวใจของเธอ
"อย่าทำให้ใครรู้ว่าเรามีอะไรเกี่ยวข้องกัน สถานะของเธอคือเด็กรับใช้ที่ย่าฉันเมตตาให้ได้เรียนหนังสือ เธอกับฉันเป็นเจ้านายกับลูกจ้าง ที่ฉันนอนกับเธอฉันจ่ายค่าตัวไม่ได้เอาฟรีๆ เงินที่ฉันให้ถือเป็นค่าปิดปาก เธอไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าของเล่นแก้ขัด เข้าใจไหม?"
เธอพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่าของเธอตอบกลับ "ค่ะ"
โลกันต์ไม่สนใจคำตอบของเธอ เขาเพียงแค่ปิดประตูรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ปานตะวันยืนอยู่ที่ริมถนนเพียงลำพัง
ในใจของเธอเต็มไปด้วยความอับอายและความเจ็บปวด น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ตลอดทางไหลออกมาอย่างช้าๆ
"ฉันจะต้องอดทนไปอีกนานแค่ไหน..." เธอถามตัวเองขณะที่เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย รอยช้ำบนร่างกายที่เขาทิ้งไว้เมื่อคืนเหมือนตอกย้ำว่าเธอไม่มีวันเป็นอะไรได้มากกว่า "สิ่งของ" ในสายตาของเขา...
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”