ตอนที่3
ก็ผู้ใดจะไปคิดว่าเพียงนางถูกฟาดศีรษะเจียนตายเสียสามวันสามคืนฟื้นกลับมาคราวนี้บุตรสาวทึ่มทื่อจะกลับกลายจอมปราชญ์หญิงไปเสียได้
“เช่นนั้นเจ้าคงคาดเดาได้แล้วกระมังว่าสมรสในอีกสามวันนี้ไม่ธรรมดาน่ะ?”
เป็นครั้งแรกที่จางเสียนอีเขารู้สึกดังกับกำลังคุยกับบุตรชายมากกว่าพูดคุยกับบุตรสาวนุ่มนิ่มไม่เอาไหนคนเดิม ความรู้สึกนี้อธิบายยากนัก รู้เพียงพูดคุยกับจางเยว่เซียงวันนี้เขาสบายใจอย่างยิ่ง จากในอดีตเขานั้นเศร้าใจนักที่สวรรค์คล้ายลงทัณฑ์เขาด้วยการพรากบุตรชายไปทั้งหมดถึงสามคน วันนี้พอพบว่าจางเยว่เซียงที่ดูเติบโต และเท่าทันผู้อื่นขึ้นมาบ้างก็เป็นดังสวรรค์กลับมามองเห็นความดีที่เขาเพียรทำอีกครั้งแล้ว
“คาดว่าสมรสนี้พี่สี่คงไปขัดแข้งขัดขากับคนใหญ่คนโตเข้าแล้วกระมัง”
คนในยุคโบราณเรื่องแต่งงานคานอำนาจกันมีให้เห็นทุกหัวระแหง แล้วคนระดับหนานเฉิงกั๋วกงมีหรือจะตบแต่งฮูหยินเอกที่เป็นเพียงบุตรสาวคนหนึ่งของนายอำเภอเล็ก ๆ หากไม่มีเบื้องหลัง นางจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าการวิวาห์นี้คงไม่ธรรมดาเข้าแล้ว เพียงแต่ท่านย่ามหาภัยอาจจะคาดไม่ถึงหรือบางทีฐานะอันมั่งคั่งของหนานเฉิงกั๋วกงคงบดบังทุกเหตุผลไปจนสิ้นก็เป็นไปได้จึงไม่ดูเหนือดูใต้ไปขวางทาง ‘คนใหญ่คนโต’ เข้าเป็นแน่ จากที่คิดว่าจะง่ายจะสบายนั้นเลยยากเย็นเข็นใจขึ้นมาดังที่เห็น
“ถูกแล้วหนานเฉิงกั๋วกงนั้นเป็นหลานชายคนโปรดของไทเฮาสวี ถึงเขาไม่ยอมรับฐานะทางการทหารหรือยอมรับตำแหน่งขุนนางใหญ่ แต่เพียงทรัพย์สินเดิมของบรรพชนแซ่สวีกับทรัพย์สินที่เขาทำการค้าได้มาใหม่ในช่วงหลายปีมานี้ คาดว่าอาจใกล้เคียงกับห้องเก็บสมบัติส่วนพระองค์ของฮ่องเต้แล้วก็เป็นไปได้ แน่นอนว่ายั่วยวนน้ำลายพวกหิวอำนาจและเงินทองไม่น้อย”
...หือ? ...มีทรัพย์สินอาจใกล้เคียงกับฮ่องเต้เชียวหรือ??? ...
‘ชักน่าสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้วสิ’ นางร้ายเงินล้านที่ไม่ยอมขายศักดิ์ศรีให้ใครเด็ดขาด หากคนผู้นั้นจ่ายได้ไม่หนักพอพลันหูของคนเค็มจนทะเลต้องยกให้ ‘ตะวันฉาย’ นั้นเป็นบรรพบุรุษถึงกับกระดิกแต่กิริยาที่แสดงให้บิดาของร่างนี้เห็นก็คือสงบเยือกเย็นแย้มยิ้มอ่อนแต้มเรียวปากเข้าไว้มิดชิด
“เช่นนั้นที่พี่สี่หายไปกับท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ฝู่ก็คงเป็นแผนของท่านย่ากับท่านพ่อ มิผิดไปกระมังเจ้าคะ”
ช่างอำมหิตเกินไปแล้ว นางมองหน้าบิดาอย่างอยากรู้ให้แน่ว่าเบื้องหลังเหล่านี้นอกจากท่านย่ามหาภัยแล้ว บุรุษตรงหน้าของนางนี้จะไม่รู้เห็นเป็นใจต่อเหตุการณ์วันนั้นไปด้วยเชียวหรือ คนบ้านเดียวกันนะนางวางใจไม่ลงจริง ๆ
“อย่ามองพ่อเช่นนั้น กว่าจะรู้ว่าท่านย่ากับพี่สาวของเจ้าก็ก่อเรื่องร้ายเสียแล้วไม่ว่าทำงามหน้าหรือทำร้ายเจ้า อาเซียง พ่อที่จะคิดร้ายกับลูกในไส้ลงคอเห็นจะไม่ใช่ข้า จางเสียนอีแล้วอาเซียงเอ๋ย”
จางเยว่เซียงจับจ้องทุกกิริยาของผู้เป็นบิดานิ่ง พลันภาพในความทรงจำก็บอกแก่นางว่าบุรุษผู้นี้เขาพูดจริง จางเสียนอีคือบิดาที่ดีคนหนึ่ง เขาไม่เคยรักลูกลำเอียง และไร้คุณธรรมจนถึงขนาดจะขายบุตรสาวอีกคนเพื่อให้บุตรสาวอีกคนอยู่รอดเป็นแน่ ดังนั้นแผนร้ายไม่รัดกุมเช่นนั้นคงมีเพียงสามคน ท่านย่า และหลานสาวเช่นจางเยว่ซินกับพ่อบ้านเฒ่าเพียงเท่านั้น แผนมันจึงเลยเถิดเกินจะควบคุมจนจางเยว่เซียงสุดท้ายถึงแก่ความตายไปอย่างน่าอนาถ
“เช่นนั้นบัดนี้ท่านย่าคงออกจากจวนสกุลจางไปแล้วกระมังเจ้าคะ?”
เพราะฟางปี้เหลียนนั้นก็กระซิบบอกนางแล้วว่าเหล่าฮูหยินจางเร่งออกจากจวนสกุลจางไปอย่างร้อนรนเสียแล้ว นางจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายหนีหายตามไปกับหลานสาวสุดที่รักเสียแล้วเป็นแน่
“ถูกต้อง หลังจากพ่อบ้านใหญ่จวนรองของหนานเฉิงกั๋วกงจากไป ท่านย่าของเจ้าก็ให้สาวใช้คนสนิทมาแจ้งทันทีว่านางจะไปถือศีลที่บนยอดเขากั๋วไถ่ซาน”
...นับว่าเลือกเวลาไปไหว้พระถือศีลได้ดีจริง ๆ หญิงชราผู้นั้น ...
“ท่านพ่อคงส่งคนติดตามไปแล้วกระมัง”
หากเป็นนางก็จะทำเช่นนั้น สะกดรอยตามท่านย่ามหาอภัยไปเช่นไรก็ต้องเจอยายพี่สาวนิสัยทรามอย่างมิต้องสงสัย เพราะสวยและร้ายทว่าไร้สมองเช่นจางเยว่ซินย่อมไปไหนไม่ได้ไกลหากไม่มีคนส่งเสริมเช่นเหล่าฮูหยินจางอย่างแน่นอน ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ในจวนมานานเช่นนั้นมีหรือจะพาคุณหนูจวนนายอำเภอหนีไปโดบพละการหากไม่มีผู้เป็นนายใหญ่คอยหนุนหลังและคอยให้ความช่วยเหลือ
“เกรงว่าเรื่องจะไม่ง่ายเช่นนั้นอาเซียง ถึงเรื่องจะถูกปิดแต่ยิ่งปิดคนยิ่งอยากเปิด เจ้าคงทราบความจริงข้อนี้ดีกระมัง”
บิดาช่างกล่าวไม่ผิดท่านย่ามหาภัยช่างสมกับเป็นขิงแก่ร้อนแรงโดยแท้จริงที่แสร้งปิดบัง ทว่ากลับส่งจางเยว่ซินให้หนีไปกับท่านพ่อบ้านใหญ่ฝู่เผย เรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์เช่นนี้ยิ่งปกปิดย่อมยิ่งถูกขุดคุ้ย แล้วป่านนี้ผ่านมาถึงสี่วันข่าวเสียหายเช่นไรก็ยากจะปิดบัง หากแม้นเวลานี้จวนสกุลจางจะตามเจ้าสาวผู้มีรอยราคีคาวกลับมา ต่อให้หนานเฉิงกั๋วกงไม่ล้มเลิกงานแต่งงานที่จะเกิด แต่จางเยว่ซินก็มิอาจตบแต่งไปเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินไปได้เสียแล้ว
“เกรงว่านี่อาจเป็นความตั้งใจของบุรุษผู้นั้นเป็นแน่ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
...หึ!...
ช่างอำมหิตไม่น้อยเลยทีเดียวหนานเฉิงกั๋วกง นางมั่นใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้เขาคิดเอาไว้ก่อนที่จะส่งแม่สื่อมาจวนสกุลจางแห่งนี้แล้ว สวีฉีเฟิ่งเขาวางแผนนี้มาตั้งแต่ต้นเพราะคงสืบรู้มาแล้วว่าท่านย่ามหาภัยของนางเป็นคนนิสัยเช่นไร และศัตรูของเขาเป็นคนเช่นไร
...ชักอยากพบหน้าคนรวยไม่พอยังมีสมองเช่นนี้เสียแล้ว...
“ครั้งแรกพ่อก็ไม่มั่นใจเท่าใด ทว่าเมื่อครู่เขาส่งท่านพ่อบ้านใหญ่มาเจรจา จึงมั่นใจแล้วว่าทุกสิ่งสวีฉีเฟิ่งผู้นั้นเขาวางแผนลวงนี้เอาไว้แล้วจริง ๆ จุดหมายของเขามิใช่อาซินแต่เป็น...เจ้า”
คิดทบทวนดูแล้วขนาดพี่สาวของนางเป็นสตรีเช่นไร ท่านย่ามหาภัยรักหลานลำเอียงเท่าใด บุรุษผู้นั้นยังรู้แจ้งแล้วเรื่องที่เจ้าของกายนี้เป็นสตรีโง่เง่าหัวอ่อนเพียงใดมีหรือหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นเขาจะมิแจ้งใจ
...ดี!...
อยากได้ภรรยาแสนโง่เขลาเอาไว้หลอกใช้เป็นหนังหน้าไฟ ท่านก็ต้องยอมจ่ายให้หนักสักหน่อยแล้วหนานเฉิงกั๋วกงหึ...หึ...หึ...
“เกรงว่าหากอยากได้ตัวของอาเซียงเขาก็ต้อง ‘จ่าย’ ให้คุ้มกับการที่อาเซียงจะเอาลำคอของตนเองไปวางพาดบนแท่นประหารเสี่ยงดวงแทนสตรีทั้งใต้หล้าเสียก่อนเจ้าค่ะท่านพ่อ”
คิ้วเข้มของจางเสียนอีพันกันยุ่งเพราะไม่คิดว่าเด็กสาวที่ลุกขึ้นมา ‘ถกเถียง’ กับเหล่าฮูหยินจางเมื่อช่วงเช้านี้จะยอมอ่อนข้อเดินไปข้างหน้าตบแต่งกับบุรุษที่อันตรายเช่นสวีฉีเฟิ่งไปได้
“พ่อคิดว่าเจ้าจะปฏิเสธทางจวนหนานเฉิงกั๋วกงเสียอีก”
...ปฏิเสธแท่นผลิตตั๋วเงิน!...
ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะคนเช่น ‘ตะวันฉาย’ ไม่ได้โง่เขลาและขาดสติถึงเพียงนั้น “ท่านพ่อคิดว่าคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นจะ ‘ยินยอม’ โดยง่ายหรือเจ้าคะ เขาตั้งใจตั้งแต่จัดงานแล้วส่งเทียบเชิญมาถึงท่านย่าเมื่อหลายเดือนก่อน คนเช่นนี้ท่านพ่อคิดว่าเราจะปฏิเสธได้อยู่หรือเจ้าคะ”
ฟังคำบุตรสาวคนรองแล้วจางเสียนอีก็เห็นจริง ปกติจวนนายอำเภอขนาดเล็กเช่นนี้มีหรือจะได้เทียบเชิญโดยง่าย ที่สำคัญเทียบเชิญนั้นมาถึงจวนโดยที่เขาและเสี่ยวฮูหยินไม่ทราบจนเมื่อเช้าอีกวันที่แม่สื่อเข่อมาถึงจวนเสียแล้ว ยังไม่ทันขยับปากเหล่าฮูหยินก็เร่งยอมรับสินสอด หากไม่ใช่สวีฉีเฟิ่งเดินหมากล้อมปิดทางเอาไว้ทุกมุมยังจะเรียกว่าอันใดไปได้อีก
“อืม...ที่เจ้าพูดมาก็จริง”
จางเสียนอีลูบหนวดไปมาอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วจึงลงความเห็นว่าบัดนี้เขาไม่มีโอกาสให้เลือกทางอื่นนอกจากตกลงให้อีกฝ่ายเปลี่ยนตัวเจ้าสาวไปได้
“ดังนั้นอาเซียงจึงคิดว่าเราสมควรคิดหาแนวทางตบแต่งไปเสี่ยงอันตรายเช่นไรมิให้ฝ่ายเราขาดทุนเจ้าค่ะท่านพ่อ”
แน่นอนว่าหากคิดจะค้าขายไม่ให้ขาดทุนนางจะต้องรู้ว่า ‘ศัตรู’ หมายเลขหนึ่งคือผู้ใด ตนเองและสกุลจางต้องเสี่ยงอันตรายใดบ้างจึงค่อยคิดถึงการค้าที่ไม่ขาดทุน
“ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าผู้ใดคือศัตรูแท้จริงของสกุลจางในยามนี้”
นางคิดว่าบิดาถึงเป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ ทว่าคนในมือย่อมมี แต่จะมีมากหรือน้อย และมีคุณภาพหรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกที จากคำตอบต่อไปนี้
“เป็นฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยที่ออกตัวรุนแรงเรื่องจะยัดเยียดบุตรสาวของตนที่เป็นองค์หญิงนามจ้าวหรูหลัน ส่วนอีกนางก็คือฝ่ายเหยียนเต๋อเฟยซึ่งวางหมากเอาไว้เป็นบุตรสาวบุญธรรมนามเหยียนเหม่ยซินที่เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของนางเช่นกัน”
...นับว่าศึกนี้ไม่เบาเลยสินะ...
ดวงตากลมสวยหรี่แคบลงอย่างใช้ความคิดให้ถี่ถ้วน เห็นทีนางต้องไปพบหน้ากับ ‘คู่ค้า’ สักหน่อยจึงจะคิดได้ว่าควรเรียกเท่าใดฝ่ายนางและสกุลจางจะไม่ขาดทุน
“เช่นไรท่านพ่อก็อย่าลืมส่งคนไปคุ้มกันท่านย่ากับพี่สี่นะเจ้าคะ อย่าวางใจ เพราะผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร สังหารตัดปัญหาไปสักสิบชีวิตคนพวกนั้นล้วนไม่ต้องคิดมาก”
เพื่อไม่ให้บิดาสงสัยในตัวตน และนิสัยใหม่จางเยว่เซียงจำต้องแสดงตนเป็น ‘นางเอกแสนดี’ สักยกย่อมดีกว่า ซึ่งจางเสียนอีก็หลงกลจริงเสียด้วย เพราะอดีตจางเยว่เซียงจะถูกท่านย่า และพี่สาวรังแกเพียงใด เด็กสาวก็ยังห่วงใยทั้งสองจนดูเป็นพวกเจ็บไม่รู้จักจำเท่าใดนัก
“ท่านพ่อช่วยส่งคนไปยังจวนหนานเฉิงกั๋วกงแล้วแจ้งว่าอาเซียงต้องการพบปะพูดคุยปรึกษาเรื่องงานวิวาห์ในอีกสามวันสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
หากไม่พบหน้านางมิอาจหยั่งเชิง และเล่ห์กลของอีกฝ่ายไปได้เป็นแน่ ถึงนางไม่ใช่คนฉลาดมากมายอันใด แต่เรื่องการมองสีหน้าคนย่อมมีความสามารถอยู่บ้าง
“เจ้าจะไปพบหนานเฉิงกั๋วกงด้วยตนเอง?!”
เด็กสาวขี้กลัวผู้หนึ่งเพียงถูกฟาดศีรษะไปหนึ่งครั้งไยจึงมีความกล้าเผชิญหน้ากับบุรุษร้ายกาจมากกลโกงเช่นสวีฉีเฟิ่งไปได้เช่นนี้เล่า?
“ท่านพ่อเข้าใจผิดแล้ว อาเซียงหมายความว่าให้ท่านพ่อส่งคนไปนัดเขาแน่แท้ว่าต้องให้ท่านพ่อออกหน้าไปด้วยสิเจ้าคะ”
จางเยว่เซียงเร่งพลิกลิ้นเนื่องจากกลัวว่าคนฉลาดเช่นจางเสียนอีนั้นจะสงสัยเอาได้ เพราะคนโง่นุ่มนิ่มผู้หนึ่งต่อให้สมองไม่ปกติจากสาเหตุศีรษะถูกฟาด แต่จะกล้าแกร่งไปพบบุรุษเพียงลำพังหากเป็นนางก็ย่อมมีข้อสงสัยเป็นแน่
“อ้อ...เช่นนั้นหรอกหรือ ได้สิประเดี๋ยวพ่อส่งคนไปเชิญหนานเฉิงกั๋วกงมาพูดคุยที่จวนของเราย่อมสมควรกว่า เช่นไรฝ่ายเราก็เป็นสตรีที่สำคัญเจ้าเองก็เพิ่งฟื้นคืนสติ เขาย่อมปฏิเสธมิได้เป็นแน่”
ฟังคำของท่านนายอำเภอจางเสียนอี นางจึงเริ่มรู้สึกตัวว่าสถานที่แห่งนี้คือยุคโบราณ ตนเองจะเดินไปขอเจรจากับบุรุษโดยตรงมิได้ ยิ่งนางกับอีกฝ่ายใกล้จะตบแต่งให้แก่กันยิ่งพบกันเพียงสองต่อสองมิได้เด็ดขาด
“เช่นนี้อาเซียงขอตัวไปเตรียมของว่างเอาไว้รับรองแขกก่อนนะเจ้าคะท่านพ่อ”
จางเยว่เซียงกำลังเรียงลำดับภาพในศีรษะว่าอดีตของกายนี้นางถนัดทำของว่างชนิดใดบ้างก็ได้ความว่าบิดานั้นชอบกินกุ้ยช่ายไส้หน่อไม้อย่างยิ่งเลยตกลงใจว่าวันนี้นางจะทำของโปรดของบิดาแทนที่จะทำของที่ ‘แขก’ นั้นชมชอบ มิใช่อันใด เป็นเพราะนางเองนั้นก็ไม่ทราบว่าคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงชอบกินสิ่งใดนั้นเอง
“อืม...ไปเถิด”
ท่านนายอำเภอจางมองตามกายอรชรของบุตรสาวคนรองซึ่งยังมีชีวิตอยู่จนนางลับหายไปจากบานประตู ความสงสัยมีเต็มเปี่ยม แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าให้จางเยว่เซียงเฉลียวฉลาดเช่นนี้ย่อมดีกว่าจางเยว่เซียงผู้อ่อนแอและซื่อบื้อเช่นเดิมในอดีตถึงสิบส่วน
เพราะเขาเองย่อมรู้ ปฏิเสธไปย่อมไม่ได้หากบุตรสาวเป็นคนอ่อนแอไม่เท่าทันสามี เกรงว่าตบแต่งออกไปเขาคงถึงกับนอนตายตาไม่หลับเสียเป็นแน่ ก็คนเช่นสวีฉีเฟิ่งนั้นเขาคือ ‘พ่อค้า’ อย่างแท้จริง การค้าใดเขาจะขาดทุนบุรุษหนุ่มมากเล่ห์ผู้นั้นล้วนไม่เคยวางใจลงทุนเด็ดขาด
ที่สำคัญข่าวมีมานานต่อความอำมหิตไร้ดวงใจของหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นถึงการสังหารคนทิ้งหากมาขวางเส้นทางของเขา ต่อให้สวีฉีเฟิ่งนั้นเขาไม่ใช่ขุนนางบุ๋นและบู๊ ทว่าทั้งกำลังคนและอำนาจบุรุษวัยคราวลูกผู้นั้นมีก็มิใช่จะธรรมดา หาไม่ฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยและเหยียนเต๋อเฟยจะอยากดึงเขาไปอยู่ฝ่ายตนเองไปไย
ในเมื่อสวีฉีเฟิ่งมีทั้งอำนาจ กำลังคน ไปจนถึงกำลังทรัพย์สิน ต่อให้เป็นฝ่ายสกุลเยี่ยของเยี่ยฮองเฮา หากคิดแข็งข้อยังทำได้ยากเลย เช่นนี้เขาจึงเนื้อกายหอมฟุ้งทั้งที่ขึ้นชื่อด้านความใจดำอำมหิตขนาดพี่ชายร่วมบิดาของเขาเองยังสังหารเพื่อยื้อแย่งผู้นำสกุลสวีเพียงคนเดียวได้อย่างไร
“ข้าก็คาดหวังเพียงเจ้าจะมากปัญญาเช่นนี้ตลอดไปนะอาเซียง”
ชายสูงวัยที่ผ่านทั้งร้อนและหนาวมาไม่น้อยที่กังวลที่สุดก็มีเพียงกลัวว่าบุตรสาวคนกลางของตนเองอาจจะเพลี่ยงพล้ำให้กับความมากเล่ห์ล้านแผนการของหนานเฉิงกั๋วกงเท่านั้น ก็ชื่อเสียงของอีกฝ่ายมีมากพอ ๆ กับทรัพย์สินและความอำมหิตนั่นเลยทีเดียวเขายากจะวางใจหากจางเยว่เซียงโง่เง่าและอ่อนแอเช่นในอดีต
บทส่งท้ายวันเวลานั้นช่างมิเคยหยุดรอผู้ใด บัดนี้ชีวิตใหม่ของอดีตนางร้ายข้ามภพเช่นจางเยว่เซียงหรือก็คือหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินเผลอไปเล็กน้อย บัดนี้ก็ผ่านมาถึงเจ็ดหนาวเข้าไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไปนั่นก็คือมีทั้งสุข และทุกข์ยากผสานกันไป บุตรชายฝาแฝดทั้งสองคนของนางคลอดออกมาอย่างปลอดภัยหลังจากพิธีแต่งงานของซั่วเจา และฟางปี้เหลียนผ่านไปได้ราวสองเดือน สวีฉีเฟิ่งคือคนที่ดีใจจนน้ำตาไหลในยามที่เขาได้โอบอุ้มเด็กแฝดสองคน และตลาดเจ็ดหนาวที่ผ่านมา 'สวีเฉิงซี' และ 'สวีเฉียวฟ่าน' ก็แข็งแรง และฉลาดเฉลียวสมวัย มิมีสิ่งใดผิดปกติเช่นที่นางกังวลมาตลอดหลังจากตนเองถูกวางยาในคราวนั้น ส่วนฟางปี้เหลียน และซั่วเจาอีกสองหนาวหลังจากแต่งงานกัน พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน และอีกห้าหนาวต่อมาก็เป็นบุตรชายอีกหนึ่งคน ครอบครัวแซ่ซั่วจึงอบอุ่นมีความสุขกันตามประสา ส่วนนางเมื่อหนึ่งหนาวก่อนก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวมาเป็นแก้วตาให้กับบุรุษแซ่สวีทั้งสาม และตัวของนางเอง ชีวิตของหนานเฉิงกั๋วกงสวีนั้นเจ็ดหนาวผ่านมาก็ยังคงต้องเดินทางหนึ่งหนาวแทบมิได้หยุดหย่อน ซึ่งในบางครั้งนางก็ติดตามเขาไปบ้าง แต่บางครั้งก็รั้
ตอนพิเศษ2ราวครึ่งชั่วยามฟางปี้เหลียนก็ก้าวเท้าออกจากห้องอาบน้ำด้านหลังมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนที่พันพันห่อรอบศีรษะ เพราะนางทนไม่ไหวจำต้องสระผมด้วย ชายของเสื้อคลุมตัวที่นางสวมนั้นสั้นเพียงโคนขาเรียวเปิดเผยให้เห็นช่วงขาอ่อนวับแวม ส่วนหัวไหล่นวลเนียนลาดลงมารับกับเนินอกอันอวบอิ่มนั้นถูกเนื้อผ้าของเสื้อคลุมปกปิดมิดชิดเช่นปกติ ฝ่ายเจ้าบ่าวที่นอนรอท่าอยู่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบจะถึงฉากที่กางกั้นเอาไว้สำหรับแต่งกาย เขาก็ลุกพรวดพราดขึ้นตรงไปประคองร่างงาม พลางโอบกอด และซบจมูกลงตรงช่วงลำคอขาวเนียนแล้วไถลเลยไปถึงลาดไหล่ "อะ!...ดะ...เดี๋ยวสิเจ้าคะ ขออาเหลียนสวมอาภรณ์ และเช็ดผมให้แห้งเสียก่อน" ถึงนางจะอาบน้ำถ่วงเวลาทำใจมาเป็นครึ่งชั่วยามแล้วโดยแท้ ทว่าเพียงเขาจู่โจมนางกลับสะท้านเยือกกับเคราเขียวที่เพิ่งโกนของเจ้าบ่าวซึ่งเสียดสีกับเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณลำคอ"มิต้องสวมแล้ว สวมไปก็ถูกข้าถอดออกอยู่ดี" คนอดทนรอให้ถึงราตรีนี้มาหลายเดือนกล่าวทึ่มทื่อมิอ้อมค้อมสักน้อยจนฟางปี้เหลียนนั้นเขินอายใบหน้าร้อนผ่าวจึงอดจะบ่นพึมพำเสียมิได้ "ท่านพี่น่ะ!" ทว่านางพึมพำออกมาได้เพียงเท่านั
ตอนพิเศษ1เข้าเดือนสี่หิมะเริ่มสลาย กลีบดอกเหมยก็ร่วงโรยใกล้หมดต้น บ่งบอกว่าบัดนี้เข้าสู่ปลายฤดูหนาว และคงกำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแผ่นดินต้าเหลียงแล้ว วันที่จวนสวีกลับคึกคักอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยหมู่บัดนี้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยสีแดงระยิบระยับสดใสแสบตา เพราะวันนี้กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งงานวิวาห์ในวันนี้นั้นจะเป็นของผู้ใดไปมิได้นอกจากท่านหัวหน้าซั่วเจาหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เยือกเย็น กับแม่นางฟางปี้เหลียน คนสนิทของทั้งนายท่านสวี และนายหญิงสวีนั่นเอง แขกเหรื่อนั้นคราวแรกทั้งเจ้าบ่าว และเจ้าสาวมิคาดว่าจะมากมายเพราะทั้งคู่มิใช่คนมีฐานันดรอันใด ผู้เป็นฝ่ายเจ้าสาวนั้นนางเป็นเพียงสาวใช้กำพร้า มีญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวคือท่านหมอฟางผู้แก่ชรามากแล้ว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นคงมิต้องกล่าวเพราะมีเพียงสวีฉีเฟิ่ง พ่อบ้านซูจิ้งเหยา เฉาคุน ติงฮ่าว และเหิงเซา เท่านั้นที่เหลือก็เป็นลูกน้องใต้ปกครองอีกราวสองร้อยกว่าชีวิตที่ยังอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีแขกมาร่วมงานนับแล้วคงเกินห้าถึงหกร้อยคน ซึ่งในคราวนี้เพราะเวลาถูกเลื่อนมาจากกำหนดเดิมถึงสามเดือนกว่า ทางสกุ
ตอนที่ 50และแล้วพ้นผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ข่าวจากวังหลวงก็เริ่มทยอยส่งมาให้สวีฉีเฟิ่งได้ทราบ เริ่มจากตำหนักลี่ฮวาของเฉียนเต๋อเฟยที่อยู่ ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้จนวายวอด คนเกือบทั้งตำหนักตายลงสิ้น ทั้งที่นี่คือฤดูหนาวหิมะหนาแน่น แต่ต่อให้เป็นฤดูฝนน้ำมาก แต่หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ อยากให้มอดม้วยมลายสิ้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนเด็กสาวที่กวนเหยานักฆ่าสาวผู้นั้นฝากฝังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องได้รับการช่วยเหลือตามคำพูดที่เขาได้รับปากคนตายไปแล้ว เพียงแต่ช่วยเหลือนางออกมาแล้วเขาก็จัดการส่งไปยังโรงเตี๊ยมของสกุลสวีให้นางเลือกว่าจะทำงานใดเลี้ยงชีพตนเอง แล้วลำดับต่อมาก็เป็นสกุลเฉียนที่ถูกข้อหายั่วยุองค์ชายสี่ทำการก่อกบฏคิดลอบปลงพระชนฮ่องเต้ ห้าร้อยเจ็ดสิบสามคนถูกประหารจนสิ้น ส่วนองค์ชายสี่ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนฝั่งเยี่ยนเป่ยตลอดชีวิตมิอาจกลับมาเหยียบเมืองหลวงได้อีกต่อไป ส่วนทางด้านเหยียนเหม่ยซินนั้นได้คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง และเพื่อความบริสุทธิ์ไร้ข้อกังขา ฮ่องเต้จึงประทานหมอหลวงให้ไปพิสูจน์สายเลือดถึงหกคนว่าที่แท้บิดาของเด็กน้อยนั้นเป็นสวีฉีเฟิ่งจริงหรือไม่ ซึ่งย่อมแน่นอนว่าไม่ใช่ แล้วความจริงที่ว่าเหยีย
ตอนที่ 49...ตำหนักฉางชุน... กายแกร่งของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่มก้าวผ่านโค้งประตูของตำหนักใหญ่ที่มีทหารองครักษ์ และขันทีมากมายคุ้มกันแข็งขันสมกับเป็นตำหนักของมังกรแห่งต้าเหลียง “ฝ่าบาท หนานเฉิงกั๋วกงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเร่งเข้าไปโค้งกายกระซิบกระซาบบุรุษในอาภรณ์ลำลองมิได้เต็มพิธีการเช่นในยามออกว่าราชการยังท้องพระโรงใหญ่ของมหาราชวัง “อืม…ให้เขาเข้ามาได้” ผู้กำลังเคร่งเครียดอยู่กับม้วนฎีกามากล้นเอ่ยอนุญาตโดยมิได้ละสายตาจากงานในมือแม้แต่น้อย “ฉีเฟิ่งถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” กายสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเอ็ดหนาวผู้อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานเงยหน้าขึ้นจากกองฏีกามากมายตรงหน้าได้ในท้ายที่สุด เมื่อคนที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งสวีฉีเฟิ่งนั้นจะต้องมาเข้าเฝ้าเป็นแน่ เพราะข่าวคราวการสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขไปมิใช่อันใดที่บุรุษจะยอมรับได้ “แวะมาพบข้าได้สักครานะเฟิ่งเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้พูดจากันให้ดีเถิด” หากเรียกกันเช่นนี้ย่อมหมายความว่าฮ่องเต้มิต้องการพูดคุยกันอย่างฮ่องเต้กับขุนนาง แต่เขาคงต้องการพูดคุยกันอย่างญาติสนิทมากกว่า แต่จะฐานะใดวันนี้สวีฉีเฟิ่งจะมิอ่อนข้อเด็ดข
ตอนที่ 48พอเขาขยับกายโอบอุ้มผู้เป็นภรรยา ก็สัมผัสได้กับความเปียกชื้นบ่งบอกชัดเจนถึงของเหลวจึงยกมือขึ้นมาดู ภาพหยาดโลหิตสีเข้มพร้อมกลิ่นคาวกลับทำเอาเขาอุทานลั่นพลางหน้าตาซีดเซียว ส่วนหัวใจนั้นเจ็บปวดราวกับถูกมือขนาดยักษ์ยื่นมาบีบบี้ขยี้จนแหลกเหลวกลายเป็นน้ำเสียแล้ว …ไม่นะเจ้าก้อนขนมทังหยวน (ขนมบัวลอย) ของบิดา เจ้าอย่าเป็นอันใดไปนะ!… “นายท่านเร่งพานายหญิงไปด้านในก่อนเถิดขอรับ อาเหลียนเร่งไปตามท่านพ่อบ้านใหญ่มาเร็วเข้า” เป็นซั่วเจาที่มีสติมากกว่าผู้เป็น ‘นายท่าน’ เขาจึงร้องเตือนทางสวีฉีเฟิ่ง เสร็จแล้วหันไปร้องบอกให้ฟางปี้เหลียนเร่งไปตามผู้มีความรู้ทางการแพทย์เช่นซูจิ้งเหยามาดูอาการของจางเยว่เซียงก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงจวน “ท่านพี่…” จางเยว่เซียงนั้นเกร็งมือกำหน้าอกเสื้อของสามีเอาไว้แน่นจนเห็นข้อนิ้วขาว พยายามกัดฟันอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่บีบรัดรุนแรงในช่องท้อง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกสุด หวังบรรเทาอาการปวดนั้นมิให้กัดกินสติของนางจนสิ้นนั่นเอง ส่วนภายในใจนั้นจางเยว่เซียงนั้นกลับกังวลห่วงใยลูกน้อยที่นางเพิ่งทราบว่ามีเขามาอยู่ด้วยเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่บัดนี้นางกำลัง