Share

ตอนที่5

last update Dernière mise à jour: 2025-09-04 08:17:53

ตอนที่5

...นอกแคว้นฉู่... 

ห่างออกไปราวสามร้อยลี้ ใกล้พลบค่ำแล้วแต่ขบวนรถม้าของสองย่าหลานสกุลจางกลับยังไปไม่ถึงที่พักม้าสักครา ทำเอาท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ฝู่มีนามว่าเผย บุรุษวัยสี่สิบเอ็ดหนาวรู้สึกร้อนใจไม่น้อย เพราะทางเส้นนี้โจรปล้นม้ามีไม่น้อยนั่นเอง แต่ให้เร่งเช่นไรก็เหมือนจะยิ่งช้า 

“ฝู่เผยเกิดอันใดขึ้น” 

เหล่าฮูหยินจางเปิดผ้าม่านบังด้านหน้ารถม้าออกมาสอบถามเมื่อพบว่ารถม้านั้นชะลอความเร็วลงอีกเป็นรอบที่แปดนับจากออกเดินทางมาจากประตูเมืองแคว้นฉู่ ยิ่งพอนางมองเห็นบรรยากาศที่เริ่มเข้าสู่พลบค่ำก็ชักสีหน้าไม่พึงใจทันที 

“สลักล้อรถม้าคันที่สามชำรุดขอรับ” 

ฝู่เผยตอบแล้วเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้าไปพลาง ทำสีหน้าลำบากใจที่การเดินทางล่าช้าลงไปอีก แต่จะทำเช่นไรได้คงมีเพียงเร่งมือบ่าวประจำรถม้าคนที่ขนเสบียงไปช่วยกันซ่อมสลักเท่านั้น แต่ยิ่งเร่งก็เหมือนยิ่งช้า ที่สำคัญฟ้าฝนก็เริ่มตั้งเค้ามาเยือน ซึ่งต่อมาไม่ถึงสองเค่อเม็ดฝนก็เทลงมาอย่างหนักแม้แต่ม้ากับวัวลากรถม้ายังสะดุ้งด้วยความเจ็บที่ถูกเม็ดฝนสาดซัดโดยไร้ที่กำบัง 

“ท่านย่าฝนตกหนักเช่นนี้เราจะทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ” 

จางเยว่ซินกุมมือผู้เป็นท่านย่าเอาไว้แน่นเพราะรอบกายนี้นอกจากป่าเขาก็มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่ว กิริยาห้าวหาญจนถึงขนาดหยิบดุ้นฟืนขึ้นไปฟาดศีรษะน้องสาวฝาแฝดไม่พอยังช่วยกันกับท่านพ่อหนุ่มใหญ่เช่นฝู่เผยจับร่างไร้สติโยนลงไปในบึงบัวกลับไม่หลงเหลือ มีเพียงกิริยาหวาดกลัวชวนสงสารให้เหล่าฮูหยินจางเอ็นดูเท่านั้น 

“โจรปล้นม้าบุกแล้ว...หากรักชีวิตเร่งวางอาวุธให้หมด!” 

พอสายฝนซา เม็ดภัยร้ายที่ท่านพ่อบ้านหนุ่มใหญ่กังวลก็มาเยือนเข้าจนได้ เสียงตะโกนโห่ร้อง ผสานไปกับเสียงกรีดร้องของสตรีต่างวัยสองย่าและหลานสาวรวมไปถึงสาวใช้อีกหกนางดังสะท้อนก้องไปทั้งหุบเขา 

“พวกเจ้าต้องการทรัพย์สินเท่าใดก็จงเร่งเอาไป หากต้องการสตรีตอบสนองราคะ สาวใช้พวกนั้นข้ายินดียกให้ขอเพียงพวกเจ้าละเว้นเราสองคนย่าและหลานไปเท่านั้น” 

คำกล่าวเห็นแก่ตนทำเอา ‘โจรปล้นม้า’ จำเป็นถึงกับนึกชิงชังสตรีเฒ่าจิตใจอำมหิตอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อพวกเขามีคำสั่งเพียงปล้นทรัพย์สินกับทำลายโฉมของคุณหนูสี่สกุลจาง และตัดมือเจ้าพ่อบ้านชั่วซึ่งบังอาจแตะต้องสตรีของ’ สวีฉีเฟิ่ง’ เพียงเท่านั้น ส่วนข่มขืนสาวใช้ผู้ไม่เกี่ยวข้องซั่วเจามิได้รับ ‘คำสั่ง’ เขาย่อมไม่แตะต้องเด็ดขาด 

“ผู้ใดแซ่ฝู่นามว่าเผย” 

พอพังรถม้าทั้งสามคันจนแน่ใจว่ามิอาจใช้การได้แล้ว ซั่วเจาในฐานะหัวหน้ากลุ่มโจรก็เดินตามหาเป้าหมายแรกทันที และแน่นอนคนในขบวนรถม้าไปต่างเมืองนี้เป็นคนของสกุล ‘สวี’ ถึงสามส่วน ย่อมหาคนที่ต้องการได้ไม่ยากเย็น 

“เจ้านี่เองที่ไปแตะต้องคนซึ่งไม่สมควรเข้า” 

มองไปที่ท่านพ่อบ้านหนุ่มใหญ่แล้วยิ้มเหี้ยมโหดออกมาหนึ่งสาย ไม่ทันกะพริบตาดาบยาวคมกริบก็ตวัดตัดฉับเอาข้อมือข้างขวาจนฝู่เผยกรีดร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุราย เขาเขี่ยมือในส่วนที่ขาดโยนให้ลูกน้องอีกคนเก็บใส่ถุงผ้ากลับไปเป็นหลักฐานว่า ‘คำสั่ง’ ของ ‘นายท่าน’ นั้นสำเร็จไปด้วยดีนั่นเอง 

“กรี๊ด!...อย่านะ...อย่าทำอันใดข้านะ” 

จางเยว่ซินถอยกายไปกอดผู้เป็นท่านย่าเอาไว้แน่น ดวงใจใกล้จะหยุดเต้นเพราะความหวาดกลัว ราวกับร่างของหัวหน้าจอมโจรผู้นี้คือพญายมที่กำลังจะมาพรากเอาลมหายใจของนางไปก็มิปาน ซั่วเจามองสาวน้อยที่งดงามไร้รอยตำหนิ กึ่งสมเพช กึ่งสาแก่ใจ เพราะจางเยว่ซินผู้นี้งดงามก็จริง แต่กลับมีดวงใจอำมหิตยิ่งนัก เพียงคิดจะเอาชีวิตตนเองรอด แม้นแต่น้องสาวที่อาศัยครรภ์เดียวกันถึงสิบเดือนนางกลับสังหารได้ลงไม่มีลังเลแม้แต่น้อย 

“กลัวหรือ?” 

เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วจึงส่งมือแกร่งไปบีบปลายคางเรียวแสยะรอยยิ้มโหดร้ายให้นางหนึ่งสาย แล้วจึงสั่งให้คนของตนจับเหล่าฮูหยินจางแยกออกไปกับเรียกอีกสองคนมาจับล็อกกายอรชรงดงามเอาไว้จนดิ้นรนหนีไม่ได้ 

“ในใจของเจ้ามันโสมมเกินไป ใบหน้างดงามนี้ของเจ้าไม่สมควรเป็นของเจ้าอีก” 

กล่าวจบเขาก็ตวัดเอามีดสั้นที่ตนเองพกเอาไว้ตรงเอวออกมาแล้วค่อย ๆ จรดปลายมีดสั้นกรีดลงไปบนใบหน้าซีกขวาของจางเยว่ซิน หญิงสาวกรีดร้องจนเสียงแหบแห้ง ทว่าซั่วเจานั้นใจเย็นกรีดสลักที่แก้มเป็นคำว่า ‘ทรยศ’ แล้วจึงย้ายไปกรีดสลักที่หน้าผากงดงามว่า ‘แพศยา’ ซึ่งกว่าเขาจะสลักสำเร็จจางเยว่ซินที่ทานทนต่อความเจ็บ และหวาดกลัวไม่ไหวจนปล่อยของเสียออกมาไม่พอ สุดท้ายนางยังถึงกับหมดสติลงก่อนที่ซั่วเจาจะสลักตัวอักษรสุดท้ายเสร็จเสียอีก 

คงมิต้องกล่าวถึงเหล่าฮูหยินจางที่ทานทนต่อภาพสยดสยองไม่ไหวเป็นลมหมดสติไปนับจากซั่วเจายังสลักคำตรงแก้มซีกขวายังไม่สำเร็จดี เมื่อแลเห็นผลงานลุล่วงไปด้วยดีทุกสิ่งซั่วเจาจึงสั่งถอนกำลังปล่อยให้คนของสกุลจางและสองย่ากับหลานสาวนอนสลบอยู่กลางสายฝนมิใส่ใจสักนิด ซึ่งพอกลุ่มโจรจำเป็นจากไปได้ครึ่งชั่วยามคนของท่านนายอำเภอจางก็ตามมาจนพบสองคนสำคัญของจวนสกุลจาง 

แต่ดูเหมือนจะช้ากว่าอีกกลุ่มไปเสียแล้วเมื่อสภาพขบวนไปถือศีลยังยอดเขากั๋วไถ่ซานจึงย่อยยับ รวมไปถึงเหล่าฮูหยินจางและคุณหนูสี่สกุลจางที่ใบหน้างดงามถูกกรีดกลายเป็นสตรีอัปลักษณ์ลงเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น 

“เร่งพาคุณหนูสี่กับเหล่าฮูหยินจางกลับจวนเร็วเข้า!” 

มือปราบหวู่สั่งคนใต้บังคับบัญชาในคราแรกเขาคิดจะติดตามเหล่าคนร้ายไป ทว่าพอเห็นมือปราบรุ่นน้องไปจับกายคุณหนูสี่พลิกนอนหงายกลับเบือนหน้าหนีเขาจึงต้องเร่งเข้าไปดูด้วยตนเอง 

แล้วสภาพใบหน้าสยดสยอง ข้อมือข้อเท้านั้นถูกตัดเส้นเอ็นจนหมด เส้นผมที่เคยนุ่มสวยเงางามยาวเลยสะโพกก็ถูกตัดกร่อนจนเว้าแหว่ง แต่ที่มือปราบผู้อื่นเบือนหน้าหนีเห็นทีคงจะเป็นกลิ่นของเสียที่เจ้าของร่างถ่ายออกมานั่นเอง สุดท้ายเขาจำต้องตัดใจไม่ตามคนร้ายแต่หันมาจัดการกับบุตรของผู้เป็นนายจนสะอาดแล้วจึงแบกนางขึ้นม้าเร่งกลับเข้าเมืองฉู่ทันที 

แล้วกลางดึกคืนนั้นจวนสกุลจางก็วุ่นวายเดือดพล่านไปหมด เมื่อบุตรสาวคนโตแต่เกิดเป็นลำดับที่สี่และเหล่าฮูหยินจางนั้นถูกโจรมาดักปล้นกลางทางระหว่างแคว้นฉู่ และเทือกเขากั๋วไถ่ซานจนคนหนึ่งหมดสติไม่ยอมฟื้น ส่วนอีกคนก็บาดเจ็บสาหัสไปจนถึงเข้าขั้นเสียโฉมนั่นเอง 

“ท่านหมอฟางใบหน้าของอาซินนี้? ...” 

เมื่อทราบอาการของมารดาวัยเจ็ดสิบนางเพียงหมดสติเพราะกลัวเกินไปไม่มีอันใดเป็นอันตราย จางเสียนอีจึงเร่งมาดูบุตรสาวที่สภาพย่ำแย่เกินบรรยาย ดวงตาของนายอำเภอเฒ่าว้าวุ่นกลัดกลุ้มเกินจะบรรยาย 

“เรื่องใบหน้าท่านนายอำเภออย่าเพิ่งวิตกจนเกินไป คนเราใบหน้าเสียโฉมนั้นยังใช้ชีวิตได้ปกติ ทว่าหากนางเดินเหินไม่ได้นั่นมิน่าวิตกกว่าหรอกหรือ?” 

ท่านหมอฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้วี่แววหยอกเย้าอารมณ์ดีเช่นปกติ “ท่านหมอฟางหมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ?” จางเยว่เซียงเองก็เร่งรุดออกมาดูสภาพของพี่สาวมหาภัยกับท่านย่าใจเหี้ยมของร่างกายนี้ด้วยเช่นกันจึงอดจะถามกับท่านหมออาวุโสเสียมิได้ 

“ขาทั้งสองข้างตรงข้อเท้าถูกตัดเส้นเอ็นไปหกส่วนเช่นนี้ต่อให้คุณหนูสี่หายแล้วก็เดินได้ไม่ปกติแล้วขอรับ” 

จางเยว่เซียงเห็นสภาพของเจ้าพ่อบ้านตัวดีที่ช่วยกันลงมือสังหารเจ้าของกายนี้แล้วว่าสาหัสเพียงใด บัดนี้มาพบพี่สาวฝาแฝดกลับมีสภาพย่ำแย่กว่า บางสิ่งพลันสะกิดใจให้นางคิดว่าเหตุการณ์ปล้นนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้วเป็นแน่ 

“ท่านพ่อ” 

หลังดูท่านหมอฟางพยายามต่อเส้นเอ็นแล้วคิดว่าพวกตนคงจะไปขัดขวางการทำงานของท่านหมอผู้เฒ่า จางเยว่เซียงจึงหันไปสะกิดบิดาให้ไปพูดคุยกันในห้องหนังสือเป็นการส่วนตัวย่อมดีกว่า 

“ข้ามองว่าการปล้นนี้ไม่ธรรมดา” 

กายสูงสง่าของท่านนายอำเภอจางถอนหายใจเสียงหนักแล้วทรุดกายลงไปนั่งด้านหลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ทำให้จางเยว่เซียงเองก็ต้องทรุดนั่งลงไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม 

“หากเป็นโจรปล้นม้าจริง สาวใช้หกนางคงไม่มีสภาพที่ดีกลับมาเช่นนี้ พี่สาวของเจ้าก็ด้วย พวกโจรเหล่านั้นลงมือจริงสังหารสิ้นไม่เว้นแม้แต่ม้าแก่หนึ่งตัว แต่นี่เพียงทำร้ายร่างกายให้กลับมารักษาได้...นับว่าเขาลงมือสถานเบาแล้ว” 

จางเยว่เซียงมิคาดว่าบิดาจะใจกว้างไม่โกรธบุรุษเช่นสวีฉีเฟิ่งที่ลงมือทำร้ายบุตรสาวในไส้ของตนจนมีสภาพเช่นนี้ นางจึงมองจ้องอีกฝ่ายอึ้งไปเป็นครู่ เห็นกิริยาบุตรคนกลางของตนมองด้วยสายตากังขา เขาจึงถอนหายใจอีกครั้งแล้วนั่งตัวตรงพร้อมอธิบายให้บุตรสาวได้เข้าใจความเป็นจริง

“เจ้าต้องเข้าใจนะอาเซียง ต่อให้เราสงสัยว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นวางแผนเอาไว้แต่แรกเริ่มก็จริง” 

จางเยว่เซียงนั่งฟังนิ่งแต่ก็คิดตามที่อีกฝ่ายอธิบายทุกคำทุกประโยค 

“แต่ความจริงแท้ก็มีเพียงพวกเราที่คาดเดาเท่านั้น ทว่าความจริงที่พี่สาวของเจ้ากระทำการหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของบุรุษผู้องอาจคนหนึ่งด้วยการหนีพิธีแต่งงานไปกับพ่อบ้านสูงวัยเช่นฝู่เผยนั่นคือการหยามเกียรติอย่างถึงแก่นเพียงใด” 

แล้วจางเสียนอีก็เล่าไปเรื่อย ๆ ทำให้นางค่อย ๆ ดึงความทรงจำของร่างกายนี้ขึ้นมาได้ทีละน้อยว่าชาวต้าเหลียงนั้น หากเป็นบุรุษอื่นมาพาว่าที่เจ้าสาวของเขาผู้นั้นหนีไปแล้วครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวติดตามไปพบทั้งสอง มีเพียงสังหารบุรุษสารเลวทิ้งเสีย ส่วนฝ่ายหญิงนั้นกฎเกณฑ์ของชาวต้าเหลียงนั้นเปิดโอกาสให้ตัวเจ้าบ่าวสามารถให้สตรีแพศยานางนั้นไปเป็นสตรีบำเรอในจวน มิอาจออกจากจวนได้หากฝ่ายเจ้าบ่าวไม่อนุญาต 

ช่างเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้เป็นบุรุษนั้นคงออกมาเองอย่างแน่นอน นางแน่ใจหาไม่คงไม่ร้ายแรงกับสตรีเช่นนี้หรอกก็สังหารฝ่ายชายชู้ก็เพียงตายไปทุกสิ่งก็จบลงแล้ว ทว่าสตรีเหล่านั้นต้องทนทุกข์เป็นสตรีบำเรอที่หากมีแขกคนสำคัญมาในจวนบุรุษของนางเอ่ยปากยกให้ สตรีผู้นั้นก็ต้องอดทนเป็นของบุรุษอื่นไปจนกว่าบุรุษเจ้าชีวิตจะปลดปล่อย 

“เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาจะไม่ตามมาเอาความกับพี่สี่แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” 

เขาปล่อยจางเยว่ซินทิ้งไว้ให้คนของบิดานางไปเจอนั่นหมายความว่าเขาลงทัณฑ์นางจนสาสมใจแล้วกระมัง หาไม่เขาย่อมพานางกลับจวนไปด้วยแล้วเป็นแน่ นี่นับว่าเขามีเมตตาแล้วเช่นนั้นหรือ? 

...เมตตาได้อำมหิตเสียจริง!!!... 

“ถึงสวีฉีเฟิ่งผู้นั้นขึ้นชื่อในทางเสื่อมเสีย อำมหิต ทำแต่การค้า และกิจการสีเทาไปจนถึงสีดำ แต่เขาก็นับเป็นบุรุษหนุ่มผ่าเผยผู้หนึ่ง” 

ฟังแล้วเหมือนจะชมก็ไม่สุดจะด่าก็ไม่เต็มปาก จางเยว่เซียงก็ให้ตื้นตันใจอย่างยิ่งกับว่าที่สามีเหลือกำลัง ยิ่งคิดไปถึงสภาพของจางเยว่ซินกับฝู่เผยพ่อบ้านใหญ่ ก็ชวนให้ขนในกายของนางลุกตั้งชันไปหมด นี่ยังไม่ได้ตบแต่งให้เขายังเจอความอำมหิตสุดจิตสุดใจของหนานเฉิงกั๋วกง หากแต่งเข้าจวนเขาแล้วนางจะไม่กินข้าวผสมโลหิตคนหรือไร? ... 

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   บทส่งท้าย

    บทส่งท้ายวันเวลานั้นช่างมิเคยหยุดรอผู้ใด บัดนี้ชีวิตใหม่ของอดีตนางร้ายข้ามภพเช่นจางเยว่เซียงหรือก็คือหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินเผลอไปเล็กน้อย บัดนี้ก็ผ่านมาถึงเจ็ดหนาวเข้าไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไปนั่นก็คือมีทั้งสุข และทุกข์ยากผสานกันไป บุตรชายฝาแฝดทั้งสองคนของนางคลอดออกมาอย่างปลอดภัยหลังจากพิธีแต่งงานของซั่วเจา และฟางปี้เหลียนผ่านไปได้ราวสองเดือน สวีฉีเฟิ่งคือคนที่ดีใจจนน้ำตาไหลในยามที่เขาได้โอบอุ้มเด็กแฝดสองคน และตลาดเจ็ดหนาวที่ผ่านมา 'สวีเฉิงซี' และ 'สวีเฉียวฟ่าน' ก็แข็งแรง และฉลาดเฉลียวสมวัย มิมีสิ่งใดผิดปกติเช่นที่นางกังวลมาตลอดหลังจากตนเองถูกวางยาในคราวนั้น ส่วนฟางปี้เหลียน และซั่วเจาอีกสองหนาวหลังจากแต่งงานกัน พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน และอีกห้าหนาวต่อมาก็เป็นบุตรชายอีกหนึ่งคน ครอบครัวแซ่ซั่วจึงอบอุ่นมีความสุขกันตามประสา ส่วนนางเมื่อหนึ่งหนาวก่อนก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวมาเป็นแก้วตาให้กับบุรุษแซ่สวีทั้งสาม และตัวของนางเอง ชีวิตของหนานเฉิงกั๋วกงสวีนั้นเจ็ดหนาวผ่านมาก็ยังคงต้องเดินทางหนึ่งหนาวแทบมิได้หยุดหย่อน ซึ่งในบางครั้งนางก็ติดตามเขาไปบ้าง แต่บางครั้งก็รั้

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนพิเศษ2

    ตอนพิเศษ2ราวครึ่งชั่วยามฟางปี้เหลียนก็ก้าวเท้าออกจากห้องอาบน้ำด้านหลังมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนที่พันพันห่อรอบศีรษะ เพราะนางทนไม่ไหวจำต้องสระผมด้วย ชายของเสื้อคลุมตัวที่นางสวมนั้นสั้นเพียงโคนขาเรียวเปิดเผยให้เห็นช่วงขาอ่อนวับแวม ส่วนหัวไหล่นวลเนียนลาดลงมารับกับเนินอกอันอวบอิ่มนั้นถูกเนื้อผ้าของเสื้อคลุมปกปิดมิดชิดเช่นปกติ ฝ่ายเจ้าบ่าวที่นอนรอท่าอยู่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบจะถึงฉากที่กางกั้นเอาไว้สำหรับแต่งกาย เขาก็ลุกพรวดพราดขึ้นตรงไปประคองร่างงาม พลางโอบกอด และซบจมูกลงตรงช่วงลำคอขาวเนียนแล้วไถลเลยไปถึงลาดไหล่ "อะ!...ดะ...เดี๋ยวสิเจ้าคะ ขออาเหลียนสวมอาภรณ์ และเช็ดผมให้แห้งเสียก่อน" ถึงนางจะอาบน้ำถ่วงเวลาทำใจมาเป็นครึ่งชั่วยามแล้วโดยแท้ ทว่าเพียงเขาจู่โจมนางกลับสะท้านเยือกกับเคราเขียวที่เพิ่งโกนของเจ้าบ่าวซึ่งเสียดสีกับเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณลำคอ"มิต้องสวมแล้ว สวมไปก็ถูกข้าถอดออกอยู่ดี" คนอดทนรอให้ถึงราตรีนี้มาหลายเดือนกล่าวทึ่มทื่อมิอ้อมค้อมสักน้อยจนฟางปี้เหลียนนั้นเขินอายใบหน้าร้อนผ่าวจึงอดจะบ่นพึมพำเสียมิได้ "ท่านพี่น่ะ!" ทว่านางพึมพำออกมาได้เพียงเท่านั

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนพิเศษ1

    ตอนพิเศษ1เข้าเดือนสี่หิมะเริ่มสลาย กลีบดอกเหมยก็ร่วงโรยใกล้หมดต้น บ่งบอกว่าบัดนี้เข้าสู่ปลายฤดูหนาว และคงกำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแผ่นดินต้าเหลียงแล้ว วันที่จวนสวีกลับคึกคักอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยหมู่บัดนี้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยสีแดงระยิบระยับสดใสแสบตา เพราะวันนี้กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งงานวิวาห์ในวันนี้นั้นจะเป็นของผู้ใดไปมิได้นอกจากท่านหัวหน้าซั่วเจาหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เยือกเย็น กับแม่นางฟางปี้เหลียน คนสนิทของทั้งนายท่านสวี และนายหญิงสวีนั่นเอง แขกเหรื่อนั้นคราวแรกทั้งเจ้าบ่าว และเจ้าสาวมิคาดว่าจะมากมายเพราะทั้งคู่มิใช่คนมีฐานันดรอันใด ผู้เป็นฝ่ายเจ้าสาวนั้นนางเป็นเพียงสาวใช้กำพร้า มีญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวคือท่านหมอฟางผู้แก่ชรามากแล้ว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นคงมิต้องกล่าวเพราะมีเพียงสวีฉีเฟิ่ง พ่อบ้านซูจิ้งเหยา เฉาคุน ติงฮ่าว และเหิงเซา เท่านั้นที่เหลือก็เป็นลูกน้องใต้ปกครองอีกราวสองร้อยกว่าชีวิตที่ยังอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีแขกมาร่วมงานนับแล้วคงเกินห้าถึงหกร้อยคน ซึ่งในคราวนี้เพราะเวลาถูกเลื่อนมาจากกำหนดเดิมถึงสามเดือนกว่า ทางสกุ

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 50

    ตอนที่ 50และแล้วพ้นผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ข่าวจากวังหลวงก็เริ่มทยอยส่งมาให้สวีฉีเฟิ่งได้ทราบ เริ่มจากตำหนักลี่ฮวาของเฉียนเต๋อเฟยที่อยู่ ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้จนวายวอด คนเกือบทั้งตำหนักตายลงสิ้น ทั้งที่นี่คือฤดูหนาวหิมะหนาแน่น แต่ต่อให้เป็นฤดูฝนน้ำมาก แต่หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ อยากให้มอดม้วยมลายสิ้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนเด็กสาวที่กวนเหยานักฆ่าสาวผู้นั้นฝากฝังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องได้รับการช่วยเหลือตามคำพูดที่เขาได้รับปากคนตายไปแล้ว เพียงแต่ช่วยเหลือนางออกมาแล้วเขาก็จัดการส่งไปยังโรงเตี๊ยมของสกุลสวีให้นางเลือกว่าจะทำงานใดเลี้ยงชีพตนเอง แล้วลำดับต่อมาก็เป็นสกุลเฉียนที่ถูกข้อหายั่วยุองค์ชายสี่ทำการก่อกบฏคิดลอบปลงพระชนฮ่องเต้ ห้าร้อยเจ็ดสิบสามคนถูกประหารจนสิ้น ส่วนองค์ชายสี่ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนฝั่งเยี่ยนเป่ยตลอดชีวิตมิอาจกลับมาเหยียบเมืองหลวงได้อีกต่อไป ส่วนทางด้านเหยียนเหม่ยซินนั้นได้คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง และเพื่อความบริสุทธิ์ไร้ข้อกังขา ฮ่องเต้จึงประทานหมอหลวงให้ไปพิสูจน์สายเลือดถึงหกคนว่าที่แท้บิดาของเด็กน้อยนั้นเป็นสวีฉีเฟิ่งจริงหรือไม่ ซึ่งย่อมแน่นอนว่าไม่ใช่ แล้วความจริงที่ว่าเหยีย

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 49

    ตอนที่ 49...ตำหนักฉางชุน... กายแกร่งของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่มก้าวผ่านโค้งประตูของตำหนักใหญ่ที่มีทหารองครักษ์ และขันทีมากมายคุ้มกันแข็งขันสมกับเป็นตำหนักของมังกรแห่งต้าเหลียง “ฝ่าบาท หนานเฉิงกั๋วกงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเร่งเข้าไปโค้งกายกระซิบกระซาบบุรุษในอาภรณ์ลำลองมิได้เต็มพิธีการเช่นในยามออกว่าราชการยังท้องพระโรงใหญ่ของมหาราชวัง “อืม…ให้เขาเข้ามาได้” ผู้กำลังเคร่งเครียดอยู่กับม้วนฎีกามากล้นเอ่ยอนุญาตโดยมิได้ละสายตาจากงานในมือแม้แต่น้อย “ฉีเฟิ่งถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” กายสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเอ็ดหนาวผู้อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานเงยหน้าขึ้นจากกองฏีกามากมายตรงหน้าได้ในท้ายที่สุด เมื่อคนที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งสวีฉีเฟิ่งนั้นจะต้องมาเข้าเฝ้าเป็นแน่ เพราะข่าวคราวการสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขไปมิใช่อันใดที่บุรุษจะยอมรับได้ “แวะมาพบข้าได้สักครานะเฟิ่งเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้พูดจากันให้ดีเถิด” หากเรียกกันเช่นนี้ย่อมหมายความว่าฮ่องเต้มิต้องการพูดคุยกันอย่างฮ่องเต้กับขุนนาง แต่เขาคงต้องการพูดคุยกันอย่างญาติสนิทมากกว่า แต่จะฐานะใดวันนี้สวีฉีเฟิ่งจะมิอ่อนข้อเด็ดข

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 48

    ตอนที่ 48พอเขาขยับกายโอบอุ้มผู้เป็นภรรยา ก็สัมผัสได้กับความเปียกชื้นบ่งบอกชัดเจนถึงของเหลวจึงยกมือขึ้นมาดู ภาพหยาดโลหิตสีเข้มพร้อมกลิ่นคาวกลับทำเอาเขาอุทานลั่นพลางหน้าตาซีดเซียว ส่วนหัวใจนั้นเจ็บปวดราวกับถูกมือขนาดยักษ์ยื่นมาบีบบี้ขยี้จนแหลกเหลวกลายเป็นน้ำเสียแล้ว …ไม่นะเจ้าก้อนขนมทังหยวน (ขนมบัวลอย) ของบิดา เจ้าอย่าเป็นอันใดไปนะ!… “นายท่านเร่งพานายหญิงไปด้านในก่อนเถิดขอรับ อาเหลียนเร่งไปตามท่านพ่อบ้านใหญ่มาเร็วเข้า” เป็นซั่วเจาที่มีสติมากกว่าผู้เป็น ‘นายท่าน’ เขาจึงร้องเตือนทางสวีฉีเฟิ่ง เสร็จแล้วหันไปร้องบอกให้ฟางปี้เหลียนเร่งไปตามผู้มีความรู้ทางการแพทย์เช่นซูจิ้งเหยามาดูอาการของจางเยว่เซียงก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงจวน “ท่านพี่…” จางเยว่เซียงนั้นเกร็งมือกำหน้าอกเสื้อของสามีเอาไว้แน่นจนเห็นข้อนิ้วขาว พยายามกัดฟันอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่บีบรัดรุนแรงในช่องท้อง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกสุด หวังบรรเทาอาการปวดนั้นมิให้กัดกินสติของนางจนสิ้นนั่นเอง ส่วนภายในใจนั้นจางเยว่เซียงนั้นกลับกังวลห่วงใยลูกน้อยที่นางเพิ่งทราบว่ามีเขามาอยู่ด้วยเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่บัดนี้นางกำลัง

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status