Share

ตอนที่4

last update Last Updated: 2025-09-03 07:29:25

ตอนที่4                                                            

 ...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... 

เมื่อมือปราบหวู่คนสนิทของท่านนายอำเภอจางนำจดหมายขนาดสั้นที่จางเสียนอีต้องการปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งงานที่จะบังเกิดในอีกสามวันข้างหน้ามาส่งให้จนถึงมือของสวีฉีเฟิ่ง ซึ่งพอได้รับนิ้วเรียวยาวนั้นคลี่กระดาษออกอ่านเพียงครู่ก็ยกยิ้มมุมปากแกร่งเล็กน้อย 

“ซั่วเจาคุณหนูสี่กับเหล่าฮูหยินจางนั้นออกจากแคว้นฉู่ไปแล้วใช่หรือไม่?” 

แน่แท้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังปล่อยให้สองย่ากับหลานสาวหนีไปคือเขาเอง แต่นอกเหนือความคาดหมายก็คือจางเยว่ซินนั้นถึงกับลงมือเหี้ยมโหดจนเกือบสังหารน้องสาวฝาแฝดของตนเองได้เสียแล้วนับว่าเป็นสตรีใจคออำมหิตไม่น้อย ดีแล้วที่ตั้งแต่แรกเขาก็มิได้หมายตานางมาเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหริน และสำหรับเขาสิ่งใดที่เขาหมายตาจับจองแล้วผู้ใดบังอาจแตะต้องพวกมันเหล่านั้นย่อมไม่ได้ตายดีนัก จางเยว่ซินเองก็มิได้รับข้อยกเว้น ในเมื่อเขาเหลือทางรอดให้พวกนางกับผู้เป็นท่านย่าได้มีทางเดิน ทว่านางกลับเลือกจะสังหารได้ลงแม้แต่น้องสาวฝาแฝดคนเช่นนี้ให้ตายเร็วคงปรานีเกินไป

“พอขบวนของพวกนางออกไปพ้นประตูเมืองไปสักสามร้อยลี้ก็ส่งโจรไปดักปล้นมิต้องฆ่าให้ตายเพียงกรีดใบหน้านางสักหลายแผลหน่อยก็ดี อ้อ...ตัดเส้นเอ็นนางให้เดินได้ยากสักหน่อย อย่าให้นางถึงตายเด็ดขาด เช่นไรนางก็เป็นว่าที่พี่สาวภรรยาของข้า” 

น้ำเสียงสั่งการนั้นสงบเรียบเรื่อยดังกับสั่งให้ ‘มือขวา’ ไปหาซื้อของให้หนึ่งชิ้นมิได้สั่งให้ไปทำร้ายคนจนเสียโฉม และพิกลพิการเลยสักนิด ซึ่งซั่วเจาก็โค้งกายรับคำสั่งแต่โดยดี คล้ายเรื่องเหล่านี้ เขาทำปกติธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงหากพึงใจให้คนหนึ่งตายก็ต้องตายไป แต่หากเขาไม่ต้องการให้ตายต่อให้มาวิงวอนตรงหน้าเขาก็มิยินดีให้อีกฝ่ายสมหวังเด็ดขาด!

“ท่านพ่อบ้านซูเร่งเตรียมรถม้ากับจัดโจ๊กแปดเซียนให้ข้าด้วย และของฝากไปให้ท่านพ่อตาด้วย ข้าจะไปเยี่ยมคุณหนูห้าสกุลจางสักหน่อยต้องแสดงน้ำใจให้ดี” พอคนสนิทมือขวาจากไปสวีฉีเฟิ่งจึงเรียกพ่อบ้านใหญ่มาสั่งการทันที ก็ในเมื่อจะไปพบหน้าว่าที่ภรรยาครั้งแรกมันก็ต้องสร้างความประทับใจกันบ้าง

“ขอรับนายท่าน” 

บุรุษวัยสี่สิบเอ็ดหนาวนามว่า ‘ซูจิ้งเหยา’ โค้งกายรับคำสั่งแล้วเร่งจากไปทำตามคำสั่งอีกผู้หนึ่ง นิ้วเรียวยาวที่จับเพียงพู่กันและรางลูกคิดเท่านั้น แต่ก็มิใช่ว่าดาบ และกระบี่หรืออาวุธอื่น ๆ เขาจะไม่เคยแตะต้อง พลางขยับมือตวัดพู่กันพร้อมกับอีกมือนั้นเร่งดีดลูกคิดคล่องแคล่วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อหวังเร่งให้เสร็จสิ้น

…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก… 

“เข้ามา” 

บุรุษกายกำยำใบหน้าด้านขวามีแผลเป็นขนาดใหญ่กินเนื้อที่บนแก้มขวาไปเกือบทั้งหมดผลักประตูเข้ามาแล้วโค้งกายนอบน้อมผิดกับรูปกายโดยสิ้นเชิง 

“เถ้าแก่เจ็ดคิดหลบหนีไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ติดหนี้เราอยู่แปดร้อยตำลึงเมื่ออาทิตย์ก่อนขอรับ มิทราบว่านายท่านต้องการจะให้ข้าลงมือเช่นไรดี” 

เหิงเซา ’ผู้ดูแล’ หอ ‘รุ่ยเฟิ่ง’ ซึ่งนั้นทำหน้าที่ควบคุมกิจการโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่และมียังบ่อนพนัน ‘ฟ่านไฉ’ ซึ่งมีสาขาแทบจะทุกแคว้นใหญ่ในแผ่นดินต้าเหลียงกับการปล่อยเงินกู้รวมอยู่ด้วยเข้ามารายงานผู้เป็นนายหลังจากไปยึดทรัพย์มาจนหมดแปดร้อยตำลึงนั้นกลับยังไม่พอให้หักลบกลบหนี้ไปได้ 

“แล้วมันมีลูกมีภรรยาหรือไม่ หากมีก็จัดการไปตามสมควร” 

ใบหน้างดงามคล้ายสตรีถึงเจ็ดส่วนยังคงก้มต่ำอ่านบางสิ่งในสมุดบัญชีไม่เปลี่ยนกิริยาตามนิสัยไม่ค่อยอินังขังขอบกับสิ่งรอบกายทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นเรื่องเป็นหรือเรื่องตายเขาล้วนสงบนิ่งได้อยู่เสมอ

“ยังมีคนแปลกหน้าเข้ามาเล่นพนันอยู่หกชั่วยาม ทว่ากลับมีแต่ได้ไม่มีเสียเลยขอรับนายท่าน” 

คราวนี้นิ้วเรียวยาวซึ่งกำลังตวัดพู่กันกับอีกข้างกำลังดีดลูกคิดพลันหยุดนิ่ง ใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นหันขวับไปมองคนสนิทเช่นเหิงเซาด้วยสายตาไม่พึงใจอย่างยิ่ง 

“ข้าจะไปดูด้วยตนเอง อยากรู้เช่นกันว่าเป็นผู้ใดที่คิดลองดีกับข้าสวีฉีเฟิ่ง!...ท่านพ่อบ้านซูโจ๊กแปดเซียนเสร็จแล้วก็ส่งตามไปก็แล้วกัน ข้าจะไปฟ่านไฉสักหน่อย”

สั่งการไปพลางมือเรียวยาวนั้นก็เก็บบัญชีบนโต๊ะไปพลาง เพียงครู่ทุกสิ่งก็เรียบร้อยจนแม้แต่ท่านพ่อบ้านใหญ่ซูจิ้งเหยานั้นขนาดอยู่ดูแลจวนหลักที่เจียงหนานนั้นถึงสิบเจ็ดหนาวยังไม่กล้าบังอาจไปแตะต้องโต๊ะและของบนโต๊ะของ ‘นายท่านสวี’ นามว่าฉีเฟิ่งผู้นี้เลยแม้สักครั้งเดียว 

…โรงเตี๊ยมจิ้งไฉ… 

อีกครึ่งชั่วยามต่อมาสวีฉีเฟิ่งก็มายืนสังเกตการณ์อยู่บนชั้นที่สามของหอ ‘ฟ่านไฉ’ ในส่วนของบ่อนพนันสำหรับไฮโล และโต๊ะเล่นไพ่สายตาจับจ้องอยู่ที่คนแปลกหน้าสองกลุ่มที่แยกกันเล่นพนัน ทั้งไพ่ และไฮโลกับโต๊ะกำถั่ว ก่อนที่ดวงตาคมเข้มนั้นจะหรี่แคบลงเมื่อสายตาว่องไวจับบางสิ่งผิดปกติได้ในที่สุด 

“ไปเชิญพวกเขามารับรางวัลกับข้าสักหน่อยเถิดเหิงเซา” 

สั่งความเสร็จเจ้าของกายสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนจึงเดินไปรอยังห้อง ‘มอบรางวัล’ ซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินด้วยกิริยาเยือกเย็นคล้ายกำลังเตรียมตัวจะไปเดินชมสวนก็มิปาน 

…โครม!...โครม!... 

“ปล่อยพวกข้านะ!” 

บุรุษวัยราวสามสิบหนาวแต่งกายดูดีบ่งบอกว่ามีฐานะมิใช่น้อย ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วโยนโครมไปกองอยู่บนพื้นใกล้ปลายเท้าของสวีฉีเฟิ่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดียกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยกิริยาเนิบนาบใจเย็น ทว่ากลิ่นอายอำมหิตเข้มข้นกลับกรุ่นกำจายไปทั่วห้องใต้ดินแห่งนี้ 

“มิทราบว่าคุณชายเป็นคนของสกุลใดกันจึงบังอาจมา ‘หากิน’ ไม่ดูเจ้าของเช่นนี้” 

วันนี้เวลาของสวีฉีเฟิ่งนั้นมีน้อยเขาจึงไม่อยาก ‘เล่นสนุก’ กับ ‘สวะ’ ตรงหน้าเลยพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใดเพราะสำหรับเขาตอบก็ดีไม่ตอบก็ช่าง สุดท้ายสิ่งใดที่เขาอยากรู้ ในใต้หล้านี้ล้วนไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นไปไม่ได้สักครั้ง

“ข้าแซ่หนิงมีนามว่าซวงเป็นเพียงชาวบ้านผู้หนึ่งที่มาเล่นพนันมิได้มีจุดประสงค์ใด แล้วมิทราบว่านายท่านสวีจับข้ามาทำไมในห้องแห่งนี้” 

คนที่ดูเป็น ‘หัวโจก’ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำดูก็รู้ว่ามันคงจะโยกโย้อีกนาน เขามีเวลาไม่มากคงพูดกันเพียงเท่านี้ย่อมดีที่สุดแล้ว เขาจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้เหิงเซาจัดการค้นตัวอีกฝ่ายเอาของที่เป็น ‘เครื่องมือ’ คดโกงเงินในบ่อนใต้จมูกของเขาอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ 

…ตุ๊บ…ตุ๊บ…ตุ๊บ… 

‘ของกลาง’ ประจักษ์อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนถึงกับหน้าซีด หากแต่พวกมันยังไม่ทันแก้ตัวอีกสามชีวิตก็ถูกจับโยนไปกองรวมกันเสียแล้ว สวีฉีเฟิ่งไม่พูดมากเขารับมีดจากคนคุมบ่อนมากระชับมั่นคงในมือแล้วพยักหน้าให้อีกสามคนช่วยกันจับตรึงเจ้าคนที่ดูเป็น ‘หัวหน้า’ ให้กดมันลงกับพื้น 

“เปิดปากแล้วดึงลิ้นมันออกมา ในเมื่อข้าให้โอกาสเจ้าพูดแต่เป็นเจ้าที่ไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดไปจนสิ้นใจก็แล้วกัน” 

…ขวับ!... 

“อ๊าก!...” 

มีดคมกริบตัดฉับเดียวลิ้นก็หลุดออกจากปากของคนแซ่หนิงตกลงพื้น โลหิตมากมายพุ่งกระฉูดตามติดออกมาทันทีโดยที่ใบหน้าของสวีฉีเฟิ่งนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ก็นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาต้องลงมือ ‘เชือด’ พวกอยากลองดีกับ’ฟ่านไฉ’ ที่เขาดูแลอยู่ การเปิดกิจการโรงเตี๊ยมที่มีบริการบ่อนการพนันไปจนถึงคณิกาทั้งชายและหญิง หากไม่อำมหิตคงอยู่ยืนหยัดมิได้เป็นแน่ 

“ผู้ใดสมควรตัดนิ้ว ผู้ใดสมควรควักลูกนัยน์ตา เจ้าก็จัดการให้เรียบร้อยนะเหิงเซา มิต้องรอให้ข้ากลับมาจัดการอีก” 

ส่งมีดคืนให้คนคุมบ่อนผู้หนึ่งแล้วเขาจึงเดินเนิบนาบไปล้างมือที่เปื้อนโลหิตกับเช็ดคราบที่ติดตามอาภรณ์สำรวจดูจนดิบดีเมื่อไม่เห็นรอยเปื้อนแล้วเขาจึงเดินกลับขึ้นไปด้านบน ออกตรวจความเรียบร้อยอีกสองเค่อจึงขึ้นรถม้าตรงไปยังจวนสกุลจางต่อไปทันที 

“หนานเฉิงกั๋วกงเชิญด้านนี้ขอรับ” 

เพราะไม่มีพ่อบ้านใหญ่แล้วรองพ่อบ้านฮัวจึงออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญของท่านนายอำเภอจางด้วยกิริยานอบน้อมอย่างยิ่ง สวีฉีเฟิ่งมองสำรวจไปตลอดทางจากประตูไปจนถึงเรือนรับรองแขกของจวนสกุลจาง เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขามาเยือนจวนของว่าที่พ่อตาในอนาคต 

“ท่านนายอำเภอจาง” 

ถึงเขามีศักดิ์สูงส่งกว่าจางเสียนอีแต่ด้วยวัยที่อีกฝ่ายมีมากกว่า เขาซึ่งเป็นแขกมาเยือนเลยเอ่ยทักอีกฝ่ายขึ้นก่อน แต่เขาไม่ได้โค้งกายทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นบุรุษอ่อนวัยคารวะท่านผู้อาวุโสทั่ว ๆ ไป 

“ลำบากหนานเฉิงกั๋วกงแล้ว…เชิญนั่งก่อนเถิด” 

เป็นจางเสียนอีที่ต้องโค้งกายเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะเดียวกับเขา สวีฉีเฟิ่งทิ้งหางตามองไปที่เก้าอี้อีกตัวที่มีฉากผ้าม่านสีชมพูเข้มกั้นขวางเอาไว้คาดเดาได้ไม่ยากว่าหลังม่านนั้นจะมีผู้ใดอยู่ 

“หวังว่านัดข้ามาพบครั้งนี้คงมี ‘ข่าว’ ที่ดีจะแจ้งข้ากระมัง” 

พอทรุดนั่งแล้วดื่มน้ำชากินของว่างพูดคุยเรื่องทั่วไปครู่ใหญ่สวีฉีเฟิ่งก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที จางเสียนอีถึงกับกระแอมกระไอเล็กน้อย แล้วนึกไปถึง ‘บท’ ที่บุตรสาวคนที่ห้าได้ ‘เสี้ยมสอน’ และซักซ้อมก่อนหน้าที่ ‘แขก’ คนสำคัญจะมาเยือน 

“ข่าวจะดีหรือร้ายเห็นทีคงต้องแล้วแต่หนานเฉิงกั๋วกงจะเมตตาอาเซียงของข้าแล้ว” 

ได้ฟังคำกล่าวมาเช่นนี้มุมปากสวยพลันกระตุกมิคาดว่าจางเสียนอีจะ ‘เรียกร้อง’ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ เพราะหากเขาเรียกร้องด้วยกิริยาก้าวร้าวเขายังรับมือได้ง่ายกว่าท่านว่าที่พ่อตามาไม้นวมเช่นนี้ 

“หมื่นตำลึงพร้อมทองคำอีกสองพันชั่ง น้องเซียงคงซาบซึ้งต่อความจริงใจของข้าแล้วกระมัง” 

จางเสียนอีมิได้เป็นผู้ตอบ ทว่ากลับเป็นสาวใช้เช่นฟางปี้เหลียนรับเอากระดาษแผ่นหนึ่งจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังม่านผ้าแพรสีชมพูเข้มมาส่งให้แก่สวีฉีเฟิ่ง ซึ่งยิ่งอ่านมุมปากสวยก็ยิ่งกระตุก กลิ่นอายอำมหิตรุนแรงจนท่านนายอำเภอจางยังหายใจลำบากจริง ๆ 

“เงินหนึ่งแสนตำลึงทอง…ทองอีกหมื่นชั่ง…ที่นาห้าพันหมู่…คฤหาสน์ในเมืองหลวงหนึ่งหลัง…ทั้งหมดเหล่านี้น้องเซียงแน่ใจหรือไม่ว่าตนเองมีค่าคู่ควร?” 

จางเยว่เซียงไม่ตอบนางจดบางสิ่งอีกครู่แล้วส่งผ่านฟางปี้เหลียนมาให้เขาได้อ่านอีกครั้ง 

“เงินเพิ่มเป็นสองแสนตำลึงทอง…ทองคำเพิ่มเป็นสองหมื่นชั่ง…ที่นาห้าพันหมู่…ที่สวนอีกห้าพันหมู่…ตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่ให้แก่ท่านนายอำเภอจาง…น้องเซียงช่างเป็นคนใจกว้างเสียจริง!” 

มิคาดจางเยว่เซียงนั้นจะไม่พูดอีกแต่เริ่มตวัดพู่กันไปพร้อมกับเสียงฝนแท่นหมึกของสาวใช้ข้างกายก็ให้มันรู้ไปว่าเขาจะยอมให้นางขูดเลือดขูดเนื้อจน ‘ซีด’ ไม่เหลือเงินติดกายสักอีแปะ! 

สองคนคล้ายหลุดไปอยู่ในโลกที่มีเพียง ‘เราสอง’ คนอื่น ๆ ถูกกันให้ถอยห่างออกไปทั้งที่พวกเขาต่างยังนั่ง และยืนอยู่ในที่ในทางของตนเองเช่นเดิม ยิ่งกระดาษถูกส่งมาถี่เท่าใด ท่านนายอำเภอจางและท่านรองพ่อบ้านต่างเหงื่อกาฬแตกซ่านชวนน่าสงสารอย่างยิ่ง 

“ดี!...ในเมื่อน้องเซียงสูงค่าถึงเพียงนี้ พี่เฟิ่งก็จะเร่งส่งสินสอดทั้งหมดมาถึงจวนสกุลจางไม่เกินค่ำพรุ่งนี้ ส่วนตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่เจ้านั่งอยู่ในเรือนหอของสกุลสวีของข้าเมื่อใดท่านพ่อตาก็เตรียมตัวย้ายจวนได้เลยเช่นกัน!” 

สุดท้ายสวีฉีเฟิ่งก็ต้องจ่ายสินสอดเป็นเงินห้าแสนตำลึงทอง ทองคำถึงห้าหมื่นชั่ง คฤหาสน์อีกห้าหลัง ที่นาห้าพันหมู่ ที่สวนห้าพันหมู่ ที่ดินเป็นไร่ชาถึงห้าพันหมู่ กับตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่ให้บิดาของนางอีกด้วย 

…หึ… 

เสียเงินจนคลังเก็บสมบัตินั้นโล่งไปไม่น้อยโดยที่แม้นแต่เสียงหรือหลังมือของนางเขาผู้แซ่สวีก็ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน ก็นับว่าเขาก็ ‘ไม่เท่าไร’ สินะ แต่เช่นไรนางก็จะหลงระเริงมิได้ บุรุษผู้มีกิจการสีเทาไปจนถึงสีดำเต็มสองมือเขาคงไม่ยอม ‘เสียหน้า’ เป็นครั้งที่สองเป็นแน่ 

แต่นาง จางเยว่เซียงผู้นี้กลัวที่ใด ในเมื่อนางจะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยง บุรุษผู้นั้นเขาสมควรใจกว้างกับนางและครอบครัวสักหน่อยมิใช่หรือ? 

“ซั่วเจา!” 

พอกลับถึงจวนสวีฉีเฟิ่งก็เรียกหา ‘มือขวา’ ทันทีเพราะมิคาดว่าตนเองจะถูก ‘ขูดเลือดรีดเนื้อหนัง’ จากสตรีซึ่งขึ้นชื่อที่สุดแห่งแคว้นฉู่ว่า ‘โง่เง่า’ เป็นอันดับหนึ่งไม่พอนางยังหัวอ่อนไม่สู้คน และยอมไม่เคยมีปากมีเสียงมาไม่น้อยเช่นนี้ไปได้ 

“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาเหล่านี้ถูกต้องจริง ๆ แล้วใช่หรือไม่?” 

…โครม!... 

สมุดพับหลายเล่มถูกโยนไปตรงหน้าของซั่วเจาจนเขาถึงกับสะดุ้งเร่งคุกเข่าแล้วเปิดอ่านอย่างถี่ถ้วนจึงเงยหน้าขึ้นไปตอบผู้เป็นนายอย่างมั่นคงจับจ้องตากันไม่มีหลบ 

“ข้าน้อยมั่นใจเกินสิบส่วนเพราะติดตามดูการดำรงชีวิตของคุณหนูสี่ และคุณหนูห้าอยู่ถึงสามเดือนต่อให้พวกนางเป็นฝาแฝดใบหน้าแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทว่าติดตามดูไปจึงแยกออกชัดเจนว่าคนใดร้ายกาจไม่พอยังโง่ กับผู้ใดแสนดีจนดูโง่อีกเช่นกัน” 

ฟังคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตอบอย่างมั่นใจ หัวคิ้วเข้มของสวีฉีเฟิ่งจึงยับยุ่ง เพราะที่เขาเจอวันนี้ต่อให้ครึ่งคำนางจะไม่ได้พูด หากแต่วิธี ‘เรียกร้อง’ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียง ใช้เพียงน้ำหมึกกับพู่กันก็ขูดเลือดเขาได้ไม่น้อย ต่อให้จ่ายไปขนาดนั้นเขาก็มิได้สะเทือนแต่เขาคือพ่อค้าแล้วต้องมา ‘ค้าขายขาดทุน’ เขาย่อมรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง! 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่11

    ตอนที่11หลังจากได้ทำความรู้จักกับ ‘ญาติ’ ของสวีฉีเฟิง และส่งเขาไปทำกิจธุระแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่นางจะต้องไปทำความรู้จักกับเหล่าข้าทาสบริวารของสามีที่แน่นอนว่าต่อไปนี้คนเหล่านั้นจะต้องเป็นข้าทาสบริวารของนางด้วยเช่นกัน “นายหญิงเชิญที่เรือนกลางขอรับ” ท่านพ่อบ้านซูโค้งกายชี้นำทางให้แก่นางอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ แต่เพราะเด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวตรงหน้านั้นครอบครองตำแหน่ง ‘นายหญิงสวี’ เขาที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ย่อมต้องแสดงให้บริวารทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่างเอาไว้ มิให้คนใต้ปกครองได้กำเริบเสิบสานไม่เคารพผู้เป็นนายได้ในภายภาคหน้านั่นเอง “รบกวนท่านพ่อบ้านซูแล้ว” จางเยว่เซียงเองนั้นก็ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน มาถึงวันนี้ความทรงจำร่างนี้แทบไม่มี แต่ความทรงจำของ ‘ตะวันฉาย’ นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง เพราะในยุคนี้นอกบ้านสามียิ่งใหญ่ ทว่าในบ้านภรรยาต้องควบคุมให้สงบ สามีจะแต่งอนุภรรยาอีกกี่นาง จะมีบุตรต่างภรรยาอีกกี่คน ผู้ที่เป็นภรรยาเอกเฉกเช่นนางจะต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้ และมิใช่เพียงต้อง ‘ได้’ แต่จะต้องดีที่สุดอีกด้วย “พวกนางเหล่านี้คือสาวใช้ทั้งหมดที่จวนรอง ส่วนทางฝั่งนี้คือบ่าวชายกับคนงานทั้งห

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่10

    ตอนที่10ช่วงต้นยามอิ๋นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าพิโรธ อากาศเย็นสาดเข้ามากระทบคนไม่ชอบอากาศหนาวจนนางต้องตื่นขึ้นมา ก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ?” คนตัวโตที่เพิ่งปิดประตูลงด้วยกิริยาระวัง แต่คนบนเตียงนางก็ยังขยับกายตื่นลุกขึ้นมานั่งได้อยู่ดีเอ่ยถามขึ้น“มิได้เจ้าค่ะ ข้าตื่นเพราะเสียงฟ้าฝนด้านนอกที่แรงยิ่งนักนั่น ซ้ำละอองเย็นจากน้ำฝนก็สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าค่ะ” สวีฉีเฟิ่งหันไปก็เห็นจริงจึงเดินไปปิดมันลงเสียแล้วกลับมาปลดอาภรณ์ตัวนอกออกจนหมดเปลี่ยนมาเป็นเสื้อคลุมสวมใส่ในยามนอนเพียงตัวเดียว จากนั้นเขาก็เก็บนั่นเก็บนี่จนเรียบร้อยจึงเดินตรงไปที่เตียงสอดกายสูงใหญ่นั้นเบียดเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้จางเยว่เซียงจับสังเกตได้แล้ว ว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เป็นบุรุษที่มีระเบียบจัดอย่างที่สตรีบางคนยังต้องอับอายผู้หนึ่งเลยทีเดียว “พรุ่งนี้มีเวลาให้เจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน มะรืนหลังจากกลับไปยกน้ำชาให้แก่ท่านพ่อของเจ้าแล้ววันต่อไปพวกเราคงต้องเดินทางไปยังชายแดนแคว้นอี้ด้วยกัน เพราะการค้าที่นั่นมีปัญหาให้ข้าต้องไปดูแลแก้

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่9

    ตอนที่9ผ่านไปครู่หนึ่งสภาพของ ‘นายท่าน’ ที่ปรากฏต่อหน้าติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนนั้นกลับช่างน่าอนาถอย่างยิ่ง ทว่าจะน่าอนาถเพียงใดพวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ากลืนความขบขันลงท้องเท่านั้น “มิต้องตามหมอแน่นะเจ้าคะ?” จางเยว่เซียงนั้นที่ยังแตกตื่นเอ่ยถามคนที่นอนหงายหนุนตักของนางอยู่ด้วยความกังวลที่เจ้าบ่าวของตนเองนั้นเลือดกำเดาพุ่งออกมาราวกับน้ำพุเมื่อครู่ไม่หาย อากาศที่แคว้นฉู่นี้ต่อให้ช่วงนี้เป็นฤดูฝนแต่ก็หนาวจนคนที่มาจากยุคที่อยู่ได้ด้วยเครื่องปรับอากาศยังรู้สึกเย็นสบายไม่ต้องเปิดหน้าต่างนอนเลยสักคืน แต่บางทีหนานเฉิงกั๋วกงผู้นี้เขาคงเป็นโรคร้อนในเป็นแน่จึงเลือดกำเดาออกง่ายเช่นนี้ “ไม่ต้องหรอกพวกเจ้าก็ไปนอนกันได้แล้วข้านอนพักสักครู่ก็หายดีแล้ว” ขืนต้องไปตามหมอกันกลางดึกด้วยสาเหตุผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นเลือดกำเดาไหล เห็นทีชื่อเสียงเลวร้ายที่สะสมมาถึงสิบปีคงได้มลายหายไปจนสิ้นเป็นแน่ สวีฉีเฟิ่งคิดในใจด้วยความทดท้อไม่หายเพราะเพียงต้องขายหน้าท่านพ่อบ้านใหญ่กับอีกหนึ่งสาวใช้กับหนึ่งคนสนิทนี้เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ใดกันแล้ว “ขอรับนายท่าน อาเหลียน อาฮ่าวตามข้ามา” ซูจิ้งเหยาเรียกคนรับใช้ชาย

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่8

    ตอนที่8ดังนั้นเมื่อสวีฉีเฟิ่งเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเขาจึงขอตัวจากแขกที่คุ้นเคย เตรียมตัวไปหาเจ้าสาวในห้องหอจึงพบว่าเจ้าสาวคนงามของตนเองนอนหลับสนิทหมดสภาพไปเสียแล้ว “นายท่าน/นายท่าน” ติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนเห็นผู้เป็น ‘เจ้าบ่าว’ ถูกเพื่อนฝูงโดยแกนนำคือคุณชายตู้พากันมาส่งจนถึงหน้าประตูเรือนหอ ทว่าเจ้าสาวกลับยังนอนหลับได้ไม่ไหวติงเสียแล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงโค้งกายให้แก่ ‘นายท่าน’ จนศีรษะแทบโขกพื้นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าไปปลุก ‘เจ้าสาว’ ที่หลับประหนึ่ง ‘ซ้อมตาย’ เลยสักคน “ติงฮ่าวไปเตรียมน้ำ เจ้าปี้เหลียนสินะไปจัดเตรียมอาภรณ์ให้ข้า” ทว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นมิได้เดือดร้อนในเมื่อนางอยากจะหลับก็ให้หลับไปเขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กายกำยำปลดอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเนิบนาบโดยมีติงฮ่าวคอยช่วยเหลือผ่านไปครู่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เพียงเท่านั้นไม่มีอาภรณ์ใดอยู่ภายในอีกเลย “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ติงฮ่าวเจ้าพาปี้เหลียนไปส่งที่ห้องพักของนางด้วย พรุ่งนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเร่งเข้ามาที่เรือนนี้อีก” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนสนิทจัดการงานหน้าที่เสร็จแล้วรับคำสั่ง จากนั้นก็เร่งจากไปไม่อยู่ข

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่7

    ตอนที่7และแล้ววันวิวาห์ยิ่งใหญ่ระหว่างคุณหนูห้าของท่านนายอำเภอจางและหนานเฉิงกั๋วกงสวีฉีเฟิ่งก็บังเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าของต้นเดือนหกนั้นแสนจะแจ่มใจเป็นใจต่อฤกษ์มงคลนี้เสียเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านเองต่างร่ำลือกันไปทั่วถึงการที่เจ้าสาวถูกเปลี่ยนไป แต่เพราะอำนาจและเงินทองของฝ่ายเจ้าบ่าวผู้ใดเล่าจะกล้าสงสัยความต้องการของเขา ดังนั้นพิธีต่าง ๆ จึงเริ่มดำเนินไปตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ฝ่ายเจ้าสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวนั้น จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย รวมทั้งสิ่งของที่ต้องใช้ในงานพิธี ร่วมไปกับสินเดิมซึ่งมีดังต่อไปนี้ หนึ่งนั่นก็คือเอี๊ยมแต่งงาน เป็นเอี๊ยมผ้าแพรสีแดง มีกระเป๋าเล็ก ๆ ตรงหน้าอกเสื้อ ปักคำว่า ‘แป๊ะนี้ไห่เล่า’ ซึ่งมีความหมายสื่อว่า อยู่กินกันจนแก่เฒ่าซึ่งจางเยว่เซียงนางก็เพิ่งได้ทดลองสวมดูว่าต้องแก้ไขหรือไม่ไปเมื่อวันก่อนนี้นี่เอง ชิ้นที่สองคือเชือกแดงผูกเอี๊ยม ติดตัวหนังสือ และมีแผ่นหัวใจสีแดงสำหรับติดเครื่องประดับเช่นไข่มุกหรือทองคำแท้ แล้วแต่ว่าฐานะของเจ้าบ่าว และเจ้าสาวจะร่ำรวยเพียงใด ซึ่งในกรณีของจางเยว่เซียงนับว่าเจ้าบ่าว แ

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่6

    ตอนที่6...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... “นายท่าน” ซั่วเจามาพร้อมถุงผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตวัดพู่กันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ทั้งที่ก็เข้าสู่ต้นยามจื่อแล้วโดยแท้ สวีฉีเฟิ่งตวัดพู่กันลงไปบนตัวอักษรสุดท้ายแล้วจัดการพับเรียบร้อยเป็นจดหมายลับส่งออกไปกับพิราบสื่อสารสีขาวตัวอ้วนพี “เรียบร้อยดีทุกสิ่งใช่หรือไม่อาเจา” “เป็นไปตามบัญชาของนายท่านขอรับ” “ดี!” เรียวปากสวยเกินบุรุษแย้มยิ้มงดงามแล้วหยิบถุงผ้ามาเปิดออกเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่พูดสิ่งใด เดินออกจากห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสกุลสวีแล้วมุ่งตรงไปยังสวนด้านหลังเรือนดอกท้อก็พบกับกรงขนาดใหญ่ที่มีเสือดำตัวใหญ่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในถึงสองตัว “อาลี่” เจ้าตัวที่ใหญ่กว่าขยับหัวขึ้นดูแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมา กลับเป็นตัวที่เล็กกว่าที่ลุกขึ้นมาแล้วบิดตัวราวปวดเมื่อยอย่างยิ่ง แล้วเดินยักย้ายส่ายสะโพกมารับเอามือของมนุษย์คาบไปนอนแทะเล่นยังอีกมุมหนึ่งของกรงราวกับกินของว่างมื้อดึก ซึ่งพอส่ง อาหาร ‘ขบเคี้ยว’ ยามดึกให้เสือดำกำลังตั้งครรภ์เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งก็เดินไปล้างมือในอ่างด้านข้างที่บ่าวชายถือรอเอาไว้ “นายท่านจะกลับเรือนนอน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status