‘ถึงแล้วครับ’
โชติมนต์เปิดช่องแชทของคู่สนทนาค้างไว้ ขณะที่สายตาก็กวาดมองไปทั่วร้านอาหารกึ่งบาร์เพื่อหาตัวคนส่ง หน้านิ่วคิ้วขมวด
“เอ๊ะ หรือว่าเราจะมาผิดร้าน”
หญิงสาวชักเริ่มลังเล เธอย้อนกลับขึ้นไปอ่านข้อความเก่า ๆ อีกครั้ง แล้วเดินถอยหลังเพื่ออ่านชื่อร้านตรงเคาน์เตอร์บาร์
เอ้า ก็ถูกแล้วนี่
กำลังจะกดโทรผ่านแอปไปหาคู่นัดหมาย สายตาก็สะดุดเข้ากับเสี้ยวหน้าของชายที่นั่งจิบเหล้าตรงโต๊ะมุมในสุดของร้านเสียก่อน
ใส่เชิ้ตสีเทาเข้ม อืม น่าจะคนนี้แหละ
โชติมนต์สูดลมหายใจลึก รวบรวบความกล้าก่อนจะเดินเข้าไปอีกฝ่าย ร้องทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“พี่วินใช่ไหมคะ?”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง คิ้วขมวดนิด ๆ คล้ายงงแต่ก็ขานรับว่า
“ครับ”
ทว่าโชติมนต์ไม่ได้สนใจท่าทีเหล่านั้น ที่เธอกำลังสนใจคือหน้าตาเขาหล่อกว่าที่เธอคาดหวังไปมาก แถมดูเหมือนจะมีเชื้อลูกครึ่งเสียด้วย
สเปก!
ครั้นรู้สึกว่าลืมตัวเผลอจ้องผู้ชายมากเกินไป คนมาเกือบสายก็ยิ้มแก้เขิน หย่อนก้นลงนั่งร่วมโต๊ะกับเขา
“ขอโทษค่ะ พี่วินตัวจริงหล่อกว่าในรูปอีก ตอนแรกที่น้ำมนต์หาไม่เจอ น้ำมนต์คิดว่าจะโดนเบี้ยวซะแล้ว”
“ชื่อน้ำมนต์?”
หญิงสาวประหลาดใจที่เขาทักเรื่องชื่อ แต่พอนึกขึ้นได้ว่านอกจากถามไถ่ชื่อกันในครั้งแรก ที่ผ่านมาเธอก็แทนตัวเองในแชทว่า ‘หนู’ มาตลอดเพราะขี้เกียจพิมพ์ยาว ๆ เธอก็อมยิ้ม
“ค่ะ ชื่อเล่นเต็ม ๆ ว่าน้ำมนต์”
“อายุเกินยี่สิบแล้วแน่นะ”
“ถึงน้ำมนต์จะดูเด็ก แต่ยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ”
โชติมนต์ตอบเจือขำ ครั้นเห็นเขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกันเลยหยิบบัตรประชาชนตัวเองขึ้นมาให้ดู
“เห็นไหมคะว่าเกินมาแล้วจริง ๆ”
ปวินท์หลุบตามองบัตรแล้วก็พยักหน้า ถึงเธอจะเด็กกว่าที่คิดพอสมควร แต่หน้าสวย นมใหญ่ หุ่นทรงนาฬิกาทรายแบบที่เพื่อนโฆษณาไว้เด๊ะ … ผ่าน
ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังประเมิน ด้านโชติมนต์เองก็ลอบสังเกตผู้ชายที่มาเจอแล้วให้คะแนนอยู่ในใจเช่นกัน
พวกเธอคุยกันผ่านแอปหาคู่มาเกือบหนึ่งเดือน รูปที่ลงส่วนใหญ่ก็หันข้าง เห็นหน้าไม่เต็มเท่าไร แต่พอดูออกว่ามีเค้าความหล่อ
ซึ่งอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนชวนคุยไม่เก่ง แรกเริ่มเธอตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ทว่าหลังจากที่เธอเผลอทำพลาดในที่ฝึกงานแล้วบ่นกับเขา
ไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่เธอเคยปรามาสว่าไม่น่าดึงดูดใจ กลับให้คำปรึกษาและแนะนำทางแก้ได้อย่างน่าประทับใจ
เธอเริ่มตอบข้อความเขาไวขึ้น และขอวิดีโอคอลแทนการพิมพ์คุย ซึ่งผู้ชายก็แสนขี้อาย เปิดกล้องทีไรให้เธอเห็นแค่ครึ่งหน้าตลอด
หลังคุยกับหน้าผากเขาเป็นวรรคเป็นเวรนับเดือน ในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน ขอนัดเจอเขาก่อน
‘แต่ว่าตัวจริงผมธรรมดามากนะ’
นึกถึงคำที่เขาเคยบอกแล้วเธอก็นึกขัน แม้ตัวจริงเขาจะดูสุขุม เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุที่ใส่ไว้ว่า 32 แต่เรื่องธรรมดานี่เถียงได้ไหม
แบบเขานี่เรียกหล่อเลยเถอะ หล่อเกินปกไปมาก
ถ้าไม่เพราะเขาเป็นคนเดียวในร้านที่ใส่เชิ้ตสีเทาเข้มตามที่บอกไว้ในแชท เธอคงไม่กล้าเดินเข้ามาทัก
โอ๊ย ชอบอะ!
สาวที่มีสเปกชอบผู้ชายแก่กว่าร้องกรี๊ด ๆ ในใจ แต่ภายนอกยังสงวนท่าที พยายามเก็บอาการตื่นเต้น
ว่าแต่ ... จะจีบคนแก่ต้องทำยังไงน้าาาา
“เฮ้ย! ไอ้น้ำมนต์!”เสียงตะโกนดังแข่งกับเสียงแตร วินาทีต่อมาเรียวแขนเธอก็ถูกกระชากเต็มแรง หญิงสาวถลาเสียหลัก ถึงจะไม่ล้มแต่สะโพกกระแทกเข้ากับเหลี่ยมมุมของรถเข็นผลไม้จนเจ็บแปลบ“แก! เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม”มิรันตีถลันมาคว้าแขนเพื่อนช่วยประคอง หากพอตัวต้นเหตุไม่เพียงแสดงความรับผิดชอบ ก่อนบิดรถหนีไปยังกล้าหันมาชักสีหน้าใส่พวกเธอ ทำราวกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นฝ่ายผิด เธอก็ปรี๊ดแตก“ขับรถประสาไรวะ ไม่แหกตาดูหรือไงว่านี่ทางคนเดิน ไม่ใช่ถนนให้รถวิ่ง! คอยดูเถอะ ถ้าเจออีกแม่จะถ่ายทะเบียนแล้วส่งไปฟ้องกรมขนส่ง หาตังมากินขนม!”เสียงตะโกนด่าดังลั่น เมื่อคนหนึ่งกล้าเปิด ทีมไทยมุงผู้เห็นเหตุการณ์ก็ตะโกนด่าตาม เสียงบ่นดังระงมอยู่ครู่หนึ่ง คนเหล่านั้นก็หันมารุมถามเธอด้วยความห่วงใย“นะ...หนูไม่เป็นไรค่ะ”คนหวิดโดนรถชนหน้าถอดสีซีด ยังตกใจไม่หายแต่ก็พยายามฉีกยิ้มเพื่อไม่ให้ใครเป็นห่วง เมื่อเหตุการณ์สงบลงเหล่าไทยมุงก็สลายตัวโชติมนต์เอี้ยวหน้าไปกล่าวขอบคุณเจ้าของมือที่ช่วยดึงเธอใ
เมื่อใกล้เที่ยงเสียงคุยโทรศัพท์กับเสียงรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ของเหล่าพนักงาน ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยว่าวันนี้จะไปกินข้าวร้านไหนกันดีโชติมนต์วางงานในมือ ชะเง้อไปมองทางห้องประชุมเล็ก ประตูใสทำให้พอมองเห็นว่าด้านในยังคงประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ไร้วี่แววจะจบลงในเวลาอันใกล้หญิงสาวเลยก้มลงพิมพ์ข้อความไปบอกรุ่นพี่ว่าจะออกไปกินข้าว ถ้าอยากให้ซื้อมื้อเที่ยงมาเผื่อก็ให้แชทมาบอก จากนั้นก็ยื่นมือไปสะกิดเพื่อนที่กำลังนั่งตาลอยอยู่โต๊ะข้าง ๆอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมากระพริบตาถี่ ๆ ใส่“ว่า ๆ”“เที่ยงแล้ว”“อ้อ แล้วพี่บุ๊งล่ะ”“ยังไม่ออกมาเลย แต่ฉันไลน์ไปบอกแล้วล่ะ”มิรันตี เพื่อนสนิทที่มาฝึกงานพร้อมกันกับเธอพยักหน้าหงึกหงัก หยิบกระเป๋าสะพายแล้วลุกตามหลังมา ท่าทางยังง่วงงุนจนเธออดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแซว“แหมมมม สะโหลสะเหลมาก ทำไมยะ เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยหรือไง”“อุ้ย รู้ได้ไงอะ หรือว่าใต้ตาฉันดำมาก”ถ้อยคำเหมือนกังวลทว่าแววตาคนพูดกลับพราวระยับขึ้นจนคนมองกลอกตามองบน นึกหมั่นไส้ปกติแล้วมิรันตีจะชอบขอมานั่งเล่น
“....”“....”ต่างฝ่ายต่างเงียบ มองหน้ากันไปมา ก่อนคนอายุน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายเสหลบสายตาก่อน ใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความอับอายและเริ่มทำตัวไม่ถูกไหน ๆ เขาน่าจะหมดธุระที่ต้องการพูดแล้ว เธอว่าเธอกลับดีกว่าหญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบของส่วนตัว เตรียมจะกลับ หากเพียงลุกขึ้นข้อมือเธอก็ถูกเขาฉวยเอาไว้“เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหน”“พอดีว่าน้ำมนต์เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระค่ะ”“ก็ไหนเธอบอกว่าวันนี้ว่างทั้งวัน”“ตอนแรกว่าง แต่ตอนนี้ไม่ว่างแล้วค่ะ”โชติมนต์ว่าพลางพยายามชักมือกลับ แต่เมื่อใครอีกคนดันไม่ยอมปล่อยมันเลยกลายเป็นการยื้อยุดกันไปมา คนในร้านเริ่มสังเกตเห็นแล้วหันมามอง“คุณวิน น้ำมนต์มีธุระจริง ๆ ค่ะ”หญิงสาวพยายามยืนยันในคำโกหกอีกครั้ง แต่เขากลับทำเพียงชำเลืองมามองแวบหนึ่ง ก่อนหันไปพูดกับพนักงานที่เดินถือถาดมาเสิร์ฟอาหารในจังหวะนั้นพอดี“รบกวนห่อกลับบ้านให้หน่อยครับ แล้วก็เช็กบิลเลย”แม้พนักงานจะมีสีหน้างง ๆ กระนั้นก็รับคำแล้วถอยกลับไปพร้อมกับถาดอาหาร ข้อมือโชติมนต์ถูกกระตุกเบา ๆ“นั่งลงก่อน รอเอา
ปากเล็กอ้าพะงาบ ๆ หน้าถอดสี หลังยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชน และได้ฟังต้นสายปลายเหตุของการเข้าใจผิด เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจกับเรื่องไหนก่อนดีระหว่างคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เธอคุยด้วยมาตลอดจริงๆ เขาก็แค่มุมหน้าบางมุมคล้ายกัน และที่ไม่ได้ทักท้วงตอนเธอเดินเข้าไปหาก็เพราะคนทั่วไปเรียกเขาว่า ‘วิน’ เช่นกันหรือเรื่องที่เขาลากเธอขึ้นห้องก็เพราะหลงเข้าใจผิด คิดว่าเธอคือเด็กที่เพื่อนส่งมาเอนเตอร์เทน แถมเขายังอายุสามสิบแปดเข้าไปแล้วนี่โลกกำลังเล่นตลกอะไรกับเธออยู่เนี่ย!โชติมนต์โอดครวญในใจ สองมือกุมขมับ เธออุตส่าห์ชอบเขามาก ๆ แต่ทำไม…ทำไมเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ“ฉัน...ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้”เห็นคนร่าเริงตอนนี้กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางราวกับโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้าในพริบตาเดียว ปวินท์ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิมส่วนคนฟังได้แต่ยิ้มเซียว คำว่า ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ของเขา ทำเอาเธอจุกอก พูดอะไรไม่ออก และถ้าว่ากันตามจริงมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาไปทั้งหมดเรื่องเมื่อคืนมันอาจจะเป็นความผิดพลาด แต่เขาก็ไม่
ได้ยินชายหนุ่มเปรยว่ามีเวลาไม่มากนัก โชติมนต์ซึ่งได้รับสิทธิ์ให้เป็นคนเลือกร้านอาหารจึงพาเขาเดินเลี้ยวเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นเธอสั่งชุดกุ้งทอดเทมปุระกับน้ำส้ม ส่วนเขาสั่งสลัดปูนิ่ม ชุดสเต็กปลาแซลมอนกับชาเขียวร้อนปวินท์เห็นเธอแกะถั่วแระญี่ปุ่นกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ดันชามของตนไปให้“ขอบคุณค่ะ”ดวงตาคู่สวยหรี่โค้งจนเป็นสระอิ ในเมื่อเขายินดียกให้เธอก็ยินดีรับเข้าปาก“ชอบอาหารญี่ปุ่นเหรอ”“ก็ชอบค่ะ แต่ไม่ค่อยได้กินบ่อย ๆ มันเปลืองเงิน อ้อ แล้วร้านนี้น้ำมนต์ยังไม่เคยเข้านะ เห็นว่าคนน้อยดีก็เลยเลือก แต่ดูจากสีหน้าคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วน้ำมนต์ว่าเขาก็น่าจะทำอร่อยอยู่แหละ”โชติมนต์ทำหน้าทะเล้น แล้วหันไปขอบคุณพนักงานที่นำน้ำมาเสิร์ฟ จิบน้ำส้มแก้กระหายไปสองอึกก็เอ่ยต่อ“ว่าแต่ที่พี่วินบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนี่เรื่องอะไรเหรอคะ?”แววตาสุกใสของคนนั่งฝั่งตรงข้ามทำเอาปวินท์ชะงักไปครู่ ทั้งที่ผ่านการเจรจากับลูกค้าหน้าเลือดมามาก หากครั้งนี้กลับทำเขาหนักใจที่สุดเสียอย่างนั้น“คือ...” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวหนึ่งทีถึงเอ่ยต่อ
“หลบหน้าฉันทำไม”เสียงทุ้มดังใกล้ใบหูทำเอาคนกำลังจมอยู่กับห้วงความคิดของตนถึงกับสะดุ้งเฮือก หลุดอุทานเสียงดัง“ว๊ายยยย แม่ร่วง”ปวินท์ชะงักไปครู่แววตาก็หรี่โค้ง ไวระริกด้วยความขบขัน ยัยเด็กนี่อายุเพิ่งจะแค่ยี่สิบเอ็ดเองไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้อุทานเหมือนคนแก่รุ่นยายแบบนั้น“แม่ร่วงเลยเหรอ แล้วต้องเก็บไหม”คำถามกึ่งแซวทำให้คนที่ตื่นตกใจ แปรเปลี่ยนเป็นมองค้อนอย่างแง่งอน“พี่วินอะ ถามแบบนี้ จะมาช่วยเก็บหรือไงคะ”“ก็ได้นะ”“พี่วิน!”โชติมนต์ย่นจมูกใส่เขา แก้มแดงระเรื่อนิด ๆ ผู้ชายที่เคยพูดน้อยประหยัดวาจากลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร“แล้วนี่มาหาน้ำมนต์ถึงนี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ แล้วนี่...กำลังจะออกไปไหนหรือเปล่า”“กำลังจะออกไปหาอะไรกินค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถสิ ฉันยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเหมือนกัน”โชติมนต์เดินตามไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย ด้วยซอยที่พักนั้นอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย มีร้านรวงมากมายเปิดเรียงรายไล่ไปตั้งแต่ร้านข้าว ร้านน้ำ ร้านขนม เธอเลยหล