Wanna be yours
ตอนที่ 3.1
เสนอตัวอีกครั้ง
หลายวันต่อมา
STUDIO M
นับดาวแทบไม่เจอหน้าฮาร์เปอร์เลยหลังจากเหตุการณ์ในโรงภาพยนตร์เมื่อคราวก่อน และคิดว่าอาจไม่ได้เจอไปอีกหลายวันหากเธอไม่ขอติดสอยห้อยตามนับคลื่นมาที่ สตูดิโอ
สตูดิโอถ่ายภาพขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปนักตั้งอยู่ในระหว่างอาคารพาณิชย์สี่ชั้นทอดยาวไปตามแนวทางติดกับถนนในซอยละแวกไม่ไกลจากตัวมหาวิทยาลัยโดยมีลานจอดรถสำหรับลูกค้าที่ด้านหลัง
หลังจากกลุ่มเพื่อนรวมถึงตัวพี่ชายของนับดาวได้เปิดรับคิวงานถ่ายภาพ หนึ่งในสมาชิกร่วมหุ้นก็มักจะต้องแวะเวียนมานอนเฝ้าที่นี่เสมอ เพราะไม่ได้เปิดทำการตลอดเวลา จะเปิดเฉพาะวันที่มีนัดหมายกับลูกค้าเท่านั้น
ทว่าระยะหลังก็ได้ฮาร์เปอร์ที่แทบจะย้ายสำมะโนครัวมานอนที่นี่เป็นฝ่ายรับผิดชอบหน้าที่นี้แทนทุกคน นอกจากห้องย่อยที่ใช้สำหรับถ่ายภาพหลากหลายประเภทก็ยังมีห้องส่วนกลางที่บริเวณชั้นล่างสุด รวมถึงมีห้องพักผ่อนอยู่ที่ด้านบนชั้นดาดฟ้าอาคารด้วยอีกห้อง และห้องหลังนี้เองที่ฮาร์เปอร์ใช้สำหรับหลับนอนตอนกลางคืน
“ไงไอ้เปอร์” ร่างสูงของนับคลื่นเป็นคนแรกที่เดินเข้าสตูดิโอ ต่อด้วยนับดาวซึ่งกอดโน้ตบุ๊กแนบอยู่กับอกตามเข้ามาอีกคน
“หวัดดีพี่เปอร์” คนตัวเล็กในชุดเสื้อยืดกับกระโปรงยีนตัวสั้นเอ่ยทักทาย ริมฝีปากอิ่มผุดยิ้มหวานให้คนที่ไม่ได้เจอหน้านานหลายวัน
“ไง” ร่างโปร่งกำยำซึ่งทอดกายนอนบนโซฟาตัวยาวผงกศีรษะขึ้นมองการมาถึงของผู้มาเยือน ฮาร์เปอร์พยักหน้าให้สองพี่น้องเพียงเล็กน้อยก่อนตั้งท่านอนต่อ ทว่าก็ต้องสะดุ้งกายขึ้นนั่งเมื่อมีคนปาหมอนใส่เขาเต็มแรง
ปั้ก!
“ตื่นมาแดกข้าวก่อนแล้วค่อยนอน”
“เมื่อกี้ดาวกับพี่คลื่นแวะตลาดที่หน้ามอ พี่เปอร์ตื่นมากินก่อนสิ”
ร่างเพรียวบางรีบวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะ กระวีกระวาดรับหน้าที่จัดการถุงอาหารเพื่อนำไปใส่จานอย่างกระตือรือร้น
ขณะเดียวกันฮาร์เปอร์ก็พยักหน้าส่ง ๆ ยกสองมือขึ้นกวาดลูบใบหน้าในท่าทางสะลึมสะลือหนักอย่างคนอดนอน สภาพท่อนบนเปลือยเปล่ารวมถึงเรือนผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทำเอาคนเพิ่งมาถึงอย่างนับคลื่นส่ายศีรษะไปมา
“มึงได้นอนครั้งสุดท้ายชาติไหน?”
“ชาตินี้” คนอดนอนหัวเราะขึ้นได้ มุมปากเผยยิ้มขันกับคำที่ได้ยิน
โชคไม่ดีที่ก่อนหน้านี้ฮาร์เปอร์ดันรับคิวถ่ายภาพเพิ่มจนงานหลังบ้านล้นมือ ไม่ใช่เฉพาะต้องกดชัตเตอร์ถ่ายให้ได้แสงและเงาแบบที่ลูกค้าต้องการ เขายังต้องจัดการไฟล์ภาพเพื่อแต่งการแสดงสีบนจอแสดงผลด้วยอีกอย่าง
ก็หากยังมีลูกมือที่พอจะช่วยแบ่งเบาได้ก็คงดี แต่อย่างที่เห็นว่าไม่มีใครว่างพอจะมาช่วยงาน เพื่อนเขาก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะงานส่วนตัว ไหนจะเรื่องสาว บอกเลยว่าพวกแม่งยุ่งสุด ๆ ยุ่งฉิบหายจริง ๆ
“ไอ้คีนไปไหน?” นับคลื่นตั้งคำถามเมื่อสังเกตเห็นหมวกกันน็อกใบโตวางอยู่บนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของบิ๊กไบค์ราคาแพงน่าจะอยู่แถวนี้ นอกจากฮาร์เปอร์แล้ว คีนก็เป็นอีกคนที่ขยันรับงานและเข้าสตูดิโอบ่อยที่สุด
“ไปตัดผมที่ร้านเฮียซ้ง ไอ้ทิศก็อยู่นั่นด้วย” คนให้คำตอบพยักพเยิดไปทางประตูกระจกบานโตซึ่งบัดนี้ปิดสนิท ร้านเฮียซ้ง ที่อ้างถึงเป็นร้านให้บริการตัดผม รวมถึงเปิดเป็นรับสักลายด้วยในตัว
“หัวแม่งก็โล้น ๆ ไม่รู้จะตัดเหี้ยอะไรนัก”
“เออ” ฮาร์เปอร์หัวเราะ ไม่รู้เพื่อนเขามันจะอยากเล็มเหี้ยอะไรนักผมก็มีอยู่ไม่กี่เส้นแท้ ๆ ทว่าจังหวะเดียวกันนี้เองที่ยิ้มกว้างเป็นอันต้องคลายลง เมื่อมีคนเดินกลับมาพร้อมจานใส่อาหารในมือ
แม้น้องสาวเพื่อนจะหน้าตาเหมือนเดิม ทั้งเรือนผมสีอ่อนที่มวยผมหลุดลุ่ย ทั้งยิ้มหวานแบบที่เจ้าตัวมักจะยิ้มให้เขาเสมอ กระทั่งท่อนบนอวบอัดที่ได้เห็นจนชินตาแม้ใส่เพียงเสื้อยืดธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ฮาร์เปอร์ถึงต้องดึงสติตัวเองหันเหความสนใจไปที่เพื่อนตัวโต
“มึงว่าไงนะ?” เขาไม่ทันได้ฟังสิ่งที่เพื่อนพูดจึงต้องถามย้ำทวนคำอีกครั้ง “อะไรเจ๊ฟ้า ๆ”
“กูบอกว่าไอ้คีนมันเจอเจ๊ฟ้า เห็นเขาว่าจะมาช่วยมึงทำงาน?” นับคลื่นถามอย่างให้ความสนใจ น่าแปลกที่ช่วงนี้ผู้หญิงคนนั้นโผล่มาบ่อย ๆ ต่างจากเมื่อก่อนที่ฝ่ายชายต้องเป็นคนวิ่งตาม
“เจ๊เขาโทรมาแล้ว” ฮาร์เปอร์ตอบรับส่ง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้เขาสนใจผัดหมี่ตรงหน้ามากกว่า “กูก็ว่าจะตกลง มีคนช่วยดีกว่าไม่มี”
“ถ้ามึงว่างั้นก็ดี”
“ก็ดี ดีเหมือนกัน…” ทว่าจู่ ๆ เสียงห้าวก็ชะงักหยุดลง เมื่อบังเอิญสบตากับคนที่กำลังฉีกตะเกียบส่งต่อให้เขา
อาจเพราะได้ยินข้อมูลเมื่อครู่ เจ้าของริมฝีปากอิ่มจึงคลายรอยยิ้มลง ตาใสก็คล้ายจะมองค้อนเขาอยู่ในที เห็นท่าทีแบบนี้ฮาร์เปอร์ก็ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่านับดาวกำลังคิดอะไร
“ไอ้คีนมันให้กูตามไปที่ร้านเฮียซ้งว่ะ เห็นว่ามีรอยสักแบบใหม่มา”
“อาฮะ” ฮาร์เปอร์เพียงพยักหน้าให้ร่างสูงของเพื่อนที่ผุดกายขึ้นยืนกะทันหัน ขณะที่นับคลื่นก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาต่อ หันไปคุยกับคนเป็นน้องซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“เรานั่งเล่นอยู่นี่ไปก่อน เดี๋ยวพี่มา”
“ดาวไปด้วยได้ไหม?”
“จะไปทำไม ที่ร้านนู้นมีแต่ผู้ชาย”
“เออ อยู่นี่แหละ” คนนอกร้องสนับสนุนอีกเสียง ฮาร์เปอร์พยายามคีบบะหมี่เข้าปากแต่เพราะสายตาไม่ได้ใส่ใจจะมองเลยคีบผิด ๆ ถูก ๆ ความสนใจทั้งหมดของเขาตอนนี้อยู่ที่ใบหน้าสวยซึ่งกำลังปั้นหน้างอ
“พี่คลื่นรีบมาแล้วกันนะ”
“เออ แป๊ปเดียวเดี๋ยวมา”
“อือ”
“เดี๋ยวกูมา”
“เออ” ฮาร์เปอร์โบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ
และทันทีที่เหลือกันเพียงสองคน เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าท่าทางผิดปกติของหญิงสาวมาจากสาเหตุใด
“พี่ว่าเธอเอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่าจะมาช่วยพี่ทำงาน” เขาว่าตามจริง แต่คนตัวเล็กที่ราวกับจะมีอาการ น้อยใจ ก็ไม่แม้แต่จะตอบกลับ จนเขาจำต้องวางตะเกียบลง “โกรธทำไม? เธออยากมาเป็นลูกมือพี่นักรึไง?”
“ดาวไม่ได้โกรธสักหน่อย” นับดาวถึงกับขมวดคิ้วจ้องสบตา แน่อยู่แล้วว่าเธอ โกหก มีอย่างที่ไหนเธอเป็นฝ่ายเสนอตัวก่อนแท้ ๆ แต่ฮาร์เปอร์กลับเลือกคนอื่น
“ไม่โกรธ? แต่หน้างอเป็นตูด” ร่างสูงในสภาพเปลือยท่อนบนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้านั่งบนพนักพักแขนโซฟาตัวเดียวกันกับหญิงสาว “เรื่องแค่นี้เธอจะโกรธทำไม?”
“ดาวไม่ได้โกรธ แต่ดาวแค่… แค่งงว่าทำไมพี่ถึงจะรับคนอื่นก่อน ทั้งที่ดาวเสนอตัวก่อนตั้งหลายวัน”
“เธอจะมาช่วยทำไม?” ฮาร์เปอร์รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากช่วย แต่มันก็พูดยากกว่าที่คิด สุดท้ายจึงทำทีเอ่ยส่งเดชเพื่อแก้สถานการณ์ “พี่จ้างคนอื่นก็ดี อย่างน้อยก็ให้เขาช่วยนู่นนี่แบบที่เธอช่วยไม่ได้”
“อะไรที่ดาวช่วยไม่ได้?” ใบหน้าสวยถึงกับค้อนตามอง แม้รู้ตัวว่าเริ่มออกอาการงอแง แต่นับดาวก็ห้ามปากไว้ไม่ทัน “พี่จะให้ทำอะไรดาวก็ทำเป็นทั้งนั้นแหละ”
“งั้นเธอมาลองนวดตัวให้พี่ดิ เธอทำได้รึไง? แต่ถ้าเป็นสาวคนอื่นนี่ทำได้แน่ คุ้มค่าจ้างกว่าจ้างเธอเห็น ๆ” ฮาร์เปอร์อ้างเหตุผลส่งเดชอีกเหมือนเคย แม้รู้ว่าไม่เกี่ยวกัน แต่เขาก็คร้านจะหาคำอธิบาย
เขาเพียงคิดว่าหากเอ่ยไปเช่นนั้นนับดาวคงไม่กล้า และเขาจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นไปคุยกับไอ้ห่าคลื่น ทว่าก็ดูเหมือนจะคิดผิด เมื่อจู่ ๆ ร่างบางก็ทะลึ่งตัวลุกพรวดมายืนที่ด้านหน้า
ขาอ่อนขาวเนียนของน้องเบียดแทรกตัวเข้าหาจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดวงตาคมกริบจึงจำต้องเงยหน้าขึ้นประสานสายตาในตอนที่ฝ่ามือนุ่มวางประทับเหนือบ่ากว้างเปล่าเปลือยพอดิบพอดี
Wanna be yoursตอนที่ 3.2เสนอตัวอีกครั้ง“จะนวด?” คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย ฮาร์เปอร์นึกขันกับใบหน้าสวยที่ยังคงมีท่าทีมึนตึง แต่เขาก็ไม่คิดจะขัดศรัทธา “อะ ไหนลอง” จบคำอนุญาต เจ้าของฝ่ามือนุ่มก็ออกแรงบีบนวดอย่างแรงด้วยนึกหมั่นไส้คนตัวโต นับดาวไม่ได้อยากทำงานนี้ขนาดนั้น เธอแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้รับเลือกทั้งที่เสนอตัวก่อนตั้งหลายวันจะให้พูดแบบไม่อายปากก็ยังไงอยู่ แต่เธอไม่ปฏิเสธใจว่าเป็นเพราะอยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายนั่นแหละ กระนั้นพี่เปอร์ก็ทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใบหน้าหล่อยังคงลอยหน้าลอยตาจ้อง มุมปากหยักลึกเผยรอยยิ้มในจังหวะที่มือกระด้างคว้าจับเข้าที่ข้อมือของเธอ “แรงไป” “พี่จะได้รู้ว่าดาวมีแรงพอจะทำงาน” “ตัวแค่นี้ ทำเป็นเก่ง” “ดาวเก่งนะ” นับดาวอดไม่ได้ที่จะฮาร์ดเซลล์ตัวเอง “เก่งหลายอย่างเลย จะใช้ให้ยกของจนกล้ามขึ้นยังได้ ดาวแข็งแรงจะตาย” “อย่างเธอแค่สะพายกระเป๋ากล้องก็ไหล่ช้ำแล้วมั้ง” ฮาร์เปอร์เลื่อนคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ศรัทธา แค่กระเป๋ากล้องกับเลนส์ถ่ายก็หนักร่วมกิโล ไหนบางครั้งอาจต้องช่วยเขาแบกไฟไปนอกสถานที่อีก ต
Wanna be yoursตอนที่ 3.1เสนอตัวอีกครั้ง หลายวันต่อมา STUDIO M นับดาวแทบไม่เจอหน้าฮาร์เปอร์เลยหลังจากเหตุการณ์ในโรงภาพยนตร์เมื่อคราวก่อน และคิดว่าอาจไม่ได้เจอไปอีกหลายวันหากเธอไม่ขอติดสอยห้อยตามนับคลื่นมาที่ สตูดิโอ สตูดิโอถ่ายภาพขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปนักตั้งอยู่ในระหว่างอาคารพาณิชย์สี่ชั้นทอดยาวไปตามแนวทางติดกับถนนในซอยละแวกไม่ไกลจากตัวมหาวิทยาลัยโดยมีลานจอดรถสำหรับลูกค้าที่ด้านหลัง หลังจากกลุ่มเพื่อนรวมถึงตัวพี่ชายของนับดาวได้เปิดรับคิวงานถ่ายภาพ หนึ่งในสมาชิกร่วมหุ้นก็มักจะต้องแวะเวียนมานอนเฝ้าที่นี่เสมอ เพราะไม่ได้เปิดทำการตลอดเวลา จะเปิดเฉพาะวันที่มีนัดหมายกับลูกค้าเท่านั้นทว่าระยะหลังก็ได้ฮาร์เปอร์ที่แทบจะย้ายสำมะโนครัวมานอนที่นี่เป็นฝ่ายรับผิดชอบหน้าที่นี้แทนทุกคน นอกจากห้องย่อยที่ใช้สำหรับถ่ายภาพหลากหลายประเภทก็ยังมีห้องส่วนกลางที่บริเวณชั้นล่างสุด รวมถึงมีห้องพักผ่อนอยู่ที่ด้านบนชั้นดาดฟ้าอาคารด้วยอีกห้อง และห้องหลังนี้เองที่ฮาร์เปอร์ใช้สำหรับหลับนอนตอนกลางคืน“ไงไอ้เปอร์” ร่างสูงของนับคลื่นเป็นคนแรกที่เดินเข้าสต
Wanna be yoursตอนที่ 2.2สัมผัสสองชั่วโมงต่อมา นับดาวเคยคิดว่าหากมีโอกาสได้ทำอะไร สองต่อสอง กับคนที่เธอแอบชอบก็คงจะดีต่อใจมิใช่น้อย กระทั่งคิดว่าบางทีอาจพอมีตัวตนในสายตาอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง และหากจะคิดไปไกลกว่านั้นก็ไม่ปฏิเสธว่าหวังที่จะได้รับความชิดใกล้มากยิ่งกว่าที่เคย ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงก็ราวกับจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงโรงภาพยนตร์ซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่อยู่ในขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนซึ่งจับจองที่นั่งจนเต็ม เพราะเป็นวันแรกที่หนังจากค่ายใหญ่เข้าฉายคนข้าง ๆ จึงสำรองที่นั่งชั้นพิเศษไม่ทัน ตอนนี้ระหว่างทั้งคู่เลยรายล้อมด้วยลูกค้าคนอื่นที่นั่งติดกันแบบเบาะชนเบาะเวลาฉายเดินหน้าไปนานกว่าค่อนชั่วโมงระหว่างเธอและเขาก็ยังไร้วี่แววว่าจะได้ชิดใกล้แบบที่คนคิดไม่ซื่อหวังจะให้เป็น แต่แม้จะ หวังสูง นับดาวก็ใช่ว่าจะใจกล้าอย่างที่สมองคิด สุดท้ายเลยได้แต่นั่งกอดอกกะพริบตามองภาพบนจอขนาดยักษ์โดยสาระสำคัญของภาพยนตร์แทบไม่เข้าโสตประสาทเลยแม้แต่นิดเดียวกระทั่งวินาทีหนึ่งจู่ ๆ ฮาร์เปอร์ก็ยกพนักพักแขนระหว่างเบาะขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย“ขยับมา”น้ำเสียงที่ผิดปกติไปจากทุกทีของเขาทำเอานับ
Wanna be yoursตอนที่ 2.1สัมผัสตอนค่ำไม่ใช่ครั้งแรกที่นับดาวมีโอกาสได้ร่วมมื้อเย็นกับเพื่อนสนิทของพี่ชาย แต่ทั้งสองได้ร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ทว่าส่วนมากก็จะมีนับคลื่นร่วมวงอยู่ด้วยเสมอ น้อยครั้งที่เธอและอีกฝ่ายจะได้อยู่กันเพียงลำพัง“ไอ้ฉายมันว่าจะไม่ทำต่อ เห็นว่าต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะ ที่ซวยคือช่วงนี้พี่มีคิวนัดลูกค้าอีกหลายเจ้า แม่งจะไม่ทำก็ไม่ว่าแต่อย่างน้อยก็ต้องบอกล่วงหน้า จะไปหาคนช่วยงานที่ไหนทันวะถามจริง…”แม้เสียงของคนซึ่งยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดตั้งแต่หัววันจะบ่งชัดว่าไม่ต้องการถามความเห็นจริงจัง แต่ผู้ฟังที่ดีอย่างนับดาวก็ผงกศีรษะรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ บ้างก็จะขานเสียงรับเป็นบางทีเพื่อไม่ให้เจ้าของคำบ่นร่ายยาวต้องรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว“แล้วที่สตูไม่มีคนอื่นเลยเหรอ?”“ก็อย่างที่เธอเห็น เพื่อนพี่แต่ละคนมันหวงตัวกันอย่างกับอะไรดี จะเลือกใครมาช่วยงานทีก็เรื่องมากฉิบหาย โดยเฉพาะไอ้ห่าคลื่นนี่แหละตัวดี จะแดกหัวเขาซะทุกคน”“อือ” คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย นับดาวรู้ดีแก่ใจว่าพี่คลื่นของเธอมีนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไรตอนนี้เธอกับฮาร์เปอร์กำลังนั่งอยู่ที่ร้านอาหารเอาต์ดอร
Wanna be yoursตอนที่ 1.2มองผ่านทว่าระหว่างนี้เอง เสียงของพี่ชายก็ดึงสติเธอให้ตื่นจากภวังค์ “เย็นนี้พี่ไม่ว่าง ไว้ให้ไอ้เปอร์มันรับเรากลับห้องแทน” ว่าพลางนับคลื่นก็กอดคอน้องเข้าหาตัว สายตาดุ ๆ หลุบมองผ่านเรียวขาขาวเนียนพร้อมบ่นให้ได้ยินแค่สองคน “ใส่กระโปรงสั้นขนาดนี้ ถ้าแม่รู้ได้โดนตีขาลายแน่” “พี่คลื่นก็อย่าบอกแม่สิ” คนตัวเล็กปั้นหน้างอ พยายามดึงชายกระโปรงทรงเอด้วยท่าทางปั้นปึ่งเหมือนทุกที “ถ้าพี่ไม่บอกใครจะรู้ได้” “ก็มันน่าโดนตีสักที” นับคลื่นอดไม่ได้ที่จะผลักหัวน้องเบา ๆ หากไม่ติดว่านับดาวเป็นลูกคนเล็กที่คนทั้งบ้านประคบประหงมเป็นอย่างดี ก็เขาเองนี่แหละที่จะฟาดให้สักที “อยู่กับพี่ก็ต้องเชื่อฟังให้มาก ๆ เข้าใจไหม?” “อือ ไม่ฟังพี่คลื่นแล้วดาวจะฟังใคร?” คนอยู่เป็นรีบพยักหน้าหงึกหงัก กับพี่คลื่นเธอเป็นเด็กดีเสมอนั่นแหละ ถึงอีกฝ่ายก็หัวเราะเบา ๆ กับท่าทีประจบประแจงด้วยสายตากึ่งขันระคนเอ็นดู สำหรับคนอื่นนับคลื่นอาจเป็นคนเอะอะโผงผางจนดูไม่น่าคบค้าสมาคม แต่สำหรับน้องสาวอย่างนับดาว พี่คลื่นเปรียบเสมือนเกราะคุ้มกันภัยอย่างดี แน่นอน
Wanna be yoursตอนที่ 1.1มองผ่าน มหาวิทยาลัย ร่างเพรียวระหงในชุดนิสิตขนาดพอดีตัวยังคงสวยเป็นปกติ รูปร่างหน้าตาแบบพิมพ์นิยมทำให้นับดาวเรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นที่หมายปองของหนุ่มรุ่นพี่ทุกชั้นปี ก็หากไม่มีนับคลื่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวจนใครต่อใครไม่กล้าจีบคนเป็นน้อง ป่านนี้นับดาวคงมีผู้ชายรุมขายขนมจีบต่อคิวยาวถึงนอกรั้วมหา’ลัย แต่แม้จะมีใครให้ความสนใจหญิงสาวจริง เจ้าเอย ก็ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของเธอจะให้ความสนใจตอบกลับ ขณะที่ใครต่อใครจับสายตามองมานับดาวก็คล้ายจะมองไม่เห็นใครอื่นนอกจากผู้ชายคนเดิมที่นั่งรวมกลุ่มกับรุ่นพี่ปีสามห่างออกไปที่ตรงนั้น “โชคดีที่วันนี้เค้กยังไม่หมด ฉันซื้อทันสองกล่องสุดท้ายพอดี” เสียงหวานพึมพำบอกโดยไม่แม้แต่จะหันมองคนที่เดินอยู่ข้างกัน กระทั่งแขนเรียวโดนกระตุกดึงให้หยุดเดิน นับดาวถึงเพิ่งหันให้ความสนใจ “แกจะรีบไปไหนรึเปล่า? ฉันขอเอาเค้กไปให้พี่คลื่นก่อนได้ไหม…” “เอาไปให้พี่คลื่น หรือเอาไปให้ใครกันแน่จ๊ะ?” เจ้าเอยหรี่ตามองอย่างจับผิด ใช่ว่าเอยไม่รู้เสียเมื่อไรว่าเพื่อนสนิทแอบชอบใคร “ก็ใช่…” ถึ