ภายในประตูเมืองพระราชวังศพของทหารกองทัพชั้นยอดที่เสียชีวิต ถูกวางเรียงอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ โดยมีผ้าขาวคลุมอยู่บนร่างส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในใจต่างรู้สึกหดหู่พวกเขาล้วนเป็นสหายร่วมรบ ที่ฝึกฝนและเติบโตมาด้วยกัน ไม่ว่าผู้ใดเสียชีวิตลง คนที่เหลือย่อมต้องโศกเศร้าและเสียใจเฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูศพเหล่านั้นอย่างสงบนิ่ง พร้อมสั่งการทหารคนอื่น ๆ“คนที่ได้รับบาดเจ็บ ให้ไปรักษาแผลก่อน ส่วนคนอื่นก็จัดแถวกลับค่าย!”“รับทราบ!”อู๋ไป๋ก็ถูกธนูยิงหนึ่งดอก แต่ไม่สนใจบาดแผลของตน ยังทูลถามขอคำชี้แนะ“ฮองเฮา จะเสด็จกลับวังก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ค่ำคืนนี้อันตรายยิ่งนักเริ่มจากมนุษย์โอสถที่คุกทางตะวันตกของเมือง แล้วต่อด้วยการไล่ล่าถานไถเหยี่ยนสิ่งที่น่าแค้นใจที่สุดคือ คนตายไปมากมายเพียงนี้ แต่ก็ยังจับคนเลวทรามอย่างถานไถเหยี่ยนไม่ได้!อู๋ไป๋รู้สึกไม่ยินยอม แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองดูศพเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย“จัดพิธีฝังศพให้ดี และนำเงินเยียวยาจากราชสำนัก ไปมอบให้ถึงมือครอบครัวของพวกเขาด้วยตัวเอง”“พ่ะย่ะค่ะ! ฮองเฮา!”......ในวังหลวงเซียวอวี
เฟิ่งจิ่วเหยียนนำทหารกองทัพชั้นยอดไล่ตามไป ระยะห่างก็สั้นลงเรื่อย ๆแม้นกไม้กลไกนั้นจะลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ แต่ความเร็วกลับห่างไกลจากวิชาตัวเบาของพวกเขาอย่างมาก เหมือนความเร็วในการเดินของคนธรรมดามากกว่าโดยเฉพาะยังต้องบรรทุกคนจำนวนมาก ความเร็วก็ยิ่งช้าลงไปอีกในบรรดาทหารกองทัพชั้นยอด มีบางคนพกเชือกปีนกำแพงมาด้วยที่ปลายเชือกนั้นมีตะขอเกี่ยวอยู่พวกเขาเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ ก็โยนตะขอขึ้นไปเกี่ยวที่นกไม้กลไกนั่นเชือกหลายเส้นที่คล้องเกี่ยวนกไม้ไว้จากทุกทิศทาง ราวกับควบคุมปีกของมัน ทำให้มันไม่อาจบินต่อไปได้การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ถานไถเหยี่ยนกับพรรคพวกสั่นสะเทือนตามไปด้วยเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่บนสันหลังคา ชายอาภรณ์พลิ้วไหว แววตาเย็นชาถึงขีดสุดนางสั่งการอย่างเฉียบขาด“ดึง!”เหล่าทหารกองทัพชั้นยอดที่จับเชือกอยู่ก็ออกแรงพร้อมกัน และตะโกน“ดึงมันลงมา!”“ลงมาซะ!”นกไม้แกว่งไปมาอย่างรุนแรง ราวกับเรือที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลม ที่พร้อมจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อมองเห็นได้ว่าตำแหน่งของนกไม้ลดต่ำลงเรื่อย ๆในขณะนั้นเอง แผ่นไม้ที่อยู่สองข้างของนกไม้ก็ยกขึ้นมา เผยให้เห็นกระบอกธนูนับไม
เฟิ่งจิ่วเหยียนแย่งม้ามาทันทีนางมิได้จะขี่ไปไล่ตามถานไถเหยี่ยน หนึ่งคือพวกเขาหนีไปเร็วเกินไป สองคือเวลาก็ผ่านไปนานเพียงนี้ คงยากที่จะไล่ตามทันแล้วนางจะรีบไปที่กำแพงเมืองมีเพียงที่สูงเท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า พวกถานไถเหยี่ยนน่าจะหนีไปยังทิศทางใดแม้ความหวังจะมีไม่มากนัก ก็ต้องลองดูในวังหลวงเซียวอวี้แววตาดูเยือกเย็น รีบเรียกบรรดาแม่ทัพป้องกันเมืองเข้าวังเป็นการด่วนประการแรกเพื่อเรื่องการจับกุมถานไถเหยี่ยนประการที่สองเพื่อเรื่องของมนุษย์โอสถ ต้องการให้พวกเขาต่อจากนี้เพิ่มการลาดตระเวนให้มากขึ้น หากพบเห็นมนุษย์โอสถ ให้ควบคุมทันทีพร้อมทั้งรายงานขึ้นมา“...จะต้องมั่นใจในความปลอดภัยของราษฎร!”เหล่าแม่ทัพต่างคำนับอย่างพร้อมเพรียง“น้อมรับพระบัญชา!”ในคืนวันนั้น ขณะที่ชาวบ้านกำลังหลับใหล เหล่าทหารก็ออกลาดตระเวน และค้นหาภายในเมือง ด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนตลอดทั้งคืนภัยจากมนุษย์โอสถ พวกเขาต่างก็เคยได้ยินมาเมืองชายแดนเพราะเคยประสบภัยนี้ ตอนนี้ต่างก็อยู่ระหว่างการฟื้นฟู ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งเมืองหลวงเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์ หากแม้แต่ทางนี้ยังถูก
ม้าห้อตะบึง พุ่งออกจากพระราชวังถานไถเหยี่ยนถูกย้ายออกจากคุกหลวงเมื่อหลายวันก่อน ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่คุกทางตะวันตกของเมืองคุกทางตะวันตกของเมืองแห่งนี้ก็มีทหารเฝ้ายามอย่างแน่นหนา ใช้คุมขังนักโทษคดีร้ายแรงโดยเฉพาะเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนใกล้จะถึง ก็มองเห็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเฉินจี๋ตะโกนลั่น: “แย่แล้ว! นั่นคือทิศทางของคุกทางตะวันตกของเมือง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้ขากระแทกข้างลำตัวม้า“ไป---”นางราวกับลูกธนูที่หลุดจากสายคันธนู พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพวกเฉินจี๋กับอู๋ไป๋ก็ตามมาด้านหลัง แต่ก็ยากจะไล่ตามทันเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนแรกที่มาถึงคุกทางตะวันตกของเมืองภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้นางรีบดึงบังเหียน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ...คนที่เดินออกมาจากในเปลวไฟ คือพวกโหดเหี้ยมอำมหิตพวกเขาไม่เหมือนคนปกติ แต่ละคนแววตาดูว่างเปล่า พุ่งชนประตูเหล็กของคุกจนเปิดออก และกัดขย้ำพัศดีที่หนีตายอย่างโกลาหลข้างหูมีแต่เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกถึงภัยร้ายจากมนุษย์โอสถที่เมืองชายแดนมือของนางสั่นรัวมิใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธแค้นเพลิงแค้นมหาศาลพุ่งขึ้นเหนือศีรษะ
เฟิ่งจิ่วเหยียนลองนึกย้อนดู เมื่อครั้งที่เซียวอวี้มอบกระบี่ชื่อหยวนให้นางในตอนนั้น ไม่ได้บอกนางอย่างละเอียดว่า เขาได้มันมาอย่างไรตอนนั้นนางไม่ได้ถามอะไรมากนัก การที่คนอื่นมอบของขวัญให้นาง แล้วนางถามนั่นถามนี่ก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกันด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจมาตลอดว่า กระบี่ชื่อหยวนนี้เป็นสิ่งที่เขาได้มาโดยบังเอิญคำพูดฝ่ายเดียวของท่านผู้เฒ่าหยวน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ได้เชื่อโดยง่ายเช่นกันมือของนางวางลงเบา ๆ บนฝักกระบี่ สีหน้าดูสงบนิ่งและสุขุมในขณะนั้น ท่านผู้เฒ่าหยวนเอ่ยอีกว่า“ข้ามีคำขอที่ไม่เหมาะสมนัก ขอฮองเฮาโปรดคืนมันมาได้หรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขาทันที“กระบี่เล่มนี้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ขออภัยที่ข้าไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้”ท่านผู้เฒ่าหยวนได้ยินดังนั้น ดูเหมือนจะไม่ยืนกรานอีกต่อไปเช่นกันเขาเอ่ยพึมพำ ด้วยน้ำเสียงแก่ชรา“ช่างเถอะ บางทีหลังจากที่ซีเอ๋อร์เกิดเรื่อง กระบี่เล่มนี้ก็คงถูกทิ้งอยู่ในวัง“ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นซีเอ๋อร์ หรือสิ่งที่นางทิ้งไว้ ข้าล้วนไม่อาจนำพาไปได้“วันนี้ต้องลำบากฮองเฮาเสด็จมาเอง เพื่อบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นแก
หนานเจียงอ๋องก็ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ฮองเฮาของแคว้นหนานฉี เป็นเพื่อนสนิทของหร่วนฝูอวี้ และรุ่ยอ๋องแห่งชายแดนใต้ ก็เป็นคนรักของนาง พวกเขาจะช่วยหร่วนฝูอวี้แน่นอน หากหร่วนฝู่อวี้ทรยศหนานเจียง แล้วมอบกู่ราชาให้ชาวฉี... เมื่อคิดเช่นนี้ หนานเจียงอ๋องยิ่งรู้สึกร้อนใจ โชคดีที่เขาได้สั่งปิดประตูเมืองทุกแห่ง และส่งคนไปซุ่มอยู่ที่ชายแดนระหว่างสองแคว้นแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะตามหานางเจอ หนานฉี ในเมืองหลวง เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบสวนคดีสายลับแคว้นตงซาน ใกล้จะได้ผลสรุปแล้ว นางตามหาผู้ที่เคยรับใช้หยวนเฟยในตอนนั้น รวมถึงพวกนางกำนัลที่ออกจากวังเมื่อถึงวัย และซักถามทีละคน เมื่อรวมกับข้อมูลจากผู้เฒ่าหยวน จึงคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้คร่าว ๆ แล้ว นางออกนอกวัง ไปพบผู้เฒ่าหยวนด้วยตนเอง มีบางเรื่อง ที่ต้องหารือกับเขา “เดิมเหยาเหนียงถูกแคว้นตงซานส่งไปเป็นสายลับในวัง นางตั้งใจจะอาศัยคำแนะนำของหยวนเฟย เพื่อเข้าใกล้อดีตฮ่องเต้ แต่หยวนเฟยกลับปฏิเสธ “เหยาเหนียงจึงแฝงตัวอยู่ในตำหนักของซูเฟย รอจังหวะลงมือ ในช่วงเวลาเหล่านี้ได้ปลอมลายมือของหยวนเฟ