Share

แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย
แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย
Author: อี้ซัวเยียนอวี่

บทที่ 1

Author: อี้ซัวเยียนอวี่
“แม่ทัพน้อย สารด่วนที่สุด! คุณหนูใหญ่ได้รับความอัปยศจนปลิดชีพตัวเอง นายหญิงต้องการให้ท่านกลับโดยเร็วที่สุด เพื่ออภิเษกสมรสแทนคุณหนูใหญ่!”

ชายแดนแคว้นหนานฉี เกือกม้าย่ำผ่านลำธารที่เพิ่งละลาย หยดน้ำกระเซ็นซ่าน

เฟิ่งจิ่วเหยียนควบม้านำอยู่หน้าสุด นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแขนสอบสีดำ ใช้ปิ่นไม้อันเดียวรวบผมดำขลับ เส้นผมและชายชุดสะบัดพลิ้ว ในความองอาจเหนือคนนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์อันคุกรุ่น

นางกับเฟิ่งเวยเฉียงน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากการมีฝาแฝดไม่เป็นมงคล นางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็ก

เวยเฉียงมีนิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยผูกความแค้นกับใคร

นางไม่เข้าใจเลย ใครจะทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนั้น

นางจะจับคนผู้นั้นมาถลกหนังเลาะกระดูก สับเป็นชิ้น ๆ ป้อนให้สุนัขกินเสีย!

องครักษ์เห็นว่าจะตามไม่ทันความเร็วของนางแล้วจึงตะโกนว่า

“แม่ทัพน้อย ตอนนี้ควบม้าตายไปสองตัวแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม แวะพักก่อนดีหรือไม่...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดแส้ม้า

“ตามไม่ทันก็ไสหัวกลับค่ายทหาร! ย่าห์!”

โง่เง่า!

มีเวลามาพักผ่อนเสียที่ไหน!

สิ่งที่นางแบกรับอยู่ตอนนี้คือหนึ่งร้อยกว่าชีวิตในตระกูลเฟิ่ง!

องครักษ์ไล่ตามนางอย่างไม่คิดชีวิต

แต่นั่นคือแม่ทัพน้อยทหารม้าเบา[1]ที่ฝีเท้าไวที่สุดในค่ายทหารเป่ยต้าเชียวนะ! ว่องไวดั่งสายลม รวดเร็วประดุจเงา

……

เจ็ดวันให้หลัง ณ เมืองหลวง

ตระกูลเฟิ่งตบแต่งบุตรี ทั้งยังเป็นถึงฮองเฮาแห่งแว่นแคว้น นี่คือเกียรติยศอันสูงสุด

ชาวบ้านทยอยล้อมเข้ามาดู อยากเห็นฉากอันแสนยิ่งใหญ่ที่โอรสสวรรค์แต่งภรรยาเป็นบุญตาสักครั้ง

ทว่า จนขบวนรับเจ้าสาวมาถึงแล้ว แต่เจ้าสาวกลับยังไม่ออกมาเสียที

ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา

“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งถูกโจรภูเขากลุ่มหนึ่งลักพาตัวไป ถูกทารุณอย่างหนัก ตระกูลเฟิ่งต้องเคลื่อนย้ายองครักษ์หลวงจึงสามารถช่วยเหลือคนกลับมาได้ แต่ดูเหมือนจะไม่บริสุทธิ์แล้ว ไฉนยังสามารถเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้อีกเล่า?”

“บุตรีตระกูลเฟิ่งโชคดีจริง ๆ เป็นตัวเลือกฮองเฮาอันดับหนึ่งมาทุกรัชสมัย สามารถคุ้มครองแคว้นหนานฉีของพวกเราให้รุ่งเรืองสถาพร!”

“คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ หรอกนะ? เหตุใดเจ้าสาวจึงยังไม่ออกมาเสียทีเล่า?”

คนทั้งหลายเขย่งเท้า สายตาต้องการมองทะลุประตูใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่งเข้าไปเสียให้ได้

ณ ห้องโถงหลักในจวนตระกูลเฟิ่ง

หมัวมัวที่รับราชโองการมารับตัวเจ้าสาวดื่มชาไปหลายจอกจนดื่มต่อไปไม่ไหว จึงโบกมือปฏิเสธน้ำชาที่นายท่านเฟิ่งส่งมาให้

“ใต้เท้าเฟิ่ง ลูกสาวท่านเป็นอะไรไป? ให้ข้าแวะไปดูที่ห้องเจ้าสาวดีหรือไม่? มัวแต่รออยู่เช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีหรอกนะ! ถ้าพลาดฤกษ์มงคลไป ข้าก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรแล้ว!”

ชาวบ้านทั่วไปแต่งงานยังให้ความสำคัญกับฤกษ์ยาม นับประสาอะไรกับราชวงศ์ ราชันผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นหนานฉี

ตระกูลเฟิ่งชักช้าเช่นนี้ หรือคิดจะเล่นตัว? จะไม่รู้หนักเบาเกินไปแล้ว!

นายท่านเฟิ่งได้ยินหมัวมัวบอกว่าจะไปห้องเจ้าสาว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลง

เขาปรับสีหน้า ลุกขึ้นทำเป็นเรียกนางไว้อย่างหนักแน่น “เฮ้อ! จะต้องเป็นเพราะภรรยาข้าตัดใจปล่อยลูกสาวออกเรือนไม่ได้แน่ ๆ นางเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ข้าจะให้คนไปเร่งนางอีกครั้ง ท่านโปรดรอสักครู่ รับรองว่าไม่พลาดฤกษ์มงคลแน่นอน!”

กล่าวจบ เขาก็ส่งสายตาให้พ่อบ้าน

พ่อบ้านเข้าใจจึงรีบวิ่งออกไปทันที

จนไปถึงหน้าห้องเจ้าสาว พ่อบ้านเคาะประตูห้องอย่างเคารพนบนอบ

“นายหญิง คุณหนู คนจากในวังเร่งรัดมาอีกแล้วนะขอรับ!”

ภายในห้องไร้เงาเจ้าสาว

เฟิ่งฮูหยินกระวนกระวายใจเหลือประมาณ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากไม่หยุด

“เจ้ากลับไปบอกว่า แจ้งว่า...ว่าชุดเจ้าสาวมีปัญหา ช่างเย็บผ้ากำลังซ่อมให้อยู่”

พ่อบ้านกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เอ่ยเตือนจากหน้าประตู

“นายหญิง ไม่ได้นะขอรับ! หมัวมัวผู้นั้นเร่งรัดมาหลายรอบแล้ว ถ้ายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้ละก็ น่ากลัวว่าคงจะบุกเข้ามาแล้ว!”

เฟิ่งฮูหยินกัดฟัน

จะทำอย่างไรดี!

ขณะกำลังร้อนรุ่มใจอยู่นั่นเอง เงาคนสายหนึ่งก็เบี่ยงร่างเข้ามาทางหน้าต่าง ความเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดุจสายลม

เห็นว่ามีคนมา เฟิ่งฮูหยินเริ่มจากตกใจ จากนั้นจึงถอยหลังกรูดด้วยความตื่นตัว

“เจ้า เจ้าเป็นใคร!”

“ท่านแม่ ข้าเอง”

เฟิ่งจิ่วเหยียนปลดหน้ากากลงมา เผยให้เห็นโฉมหน้าพิลาศล้ำดวงนั้น เมื่อเฟิ่งฮูหยินจำนางได้แล้วก็น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดีสุดขีด

“จิ่วเหยียน! ลูกแม่! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้เสียที!” นางเดินเข้าไปกอดบุตรสาวราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ จิตใจที่พะวักพะวนค่อยปล่อยวางได้เสียที

“คารวะท่านแม่” แม่ลูกพบหน้า เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับสงบนิ่งอย่างมากจนไม่เอ่ยคำทักทายปราศรัยที่ไม่จำเป็น กระทั่งแฝงความห่างเหินอยู่บ้าง

นางรู้ว่าสายมากแล้วจึงถอดชุดชั้นนอกออก แล้วปล่อยผมลงมา

เฟิ่งฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาช่วยนางสวมชุดเจ้าสาว

“จิ่วเหยียน ลำบากเจ้าแล้ว แม่รู้ว่าเจ้าชอบชีวิตที่อิสระเสรี ตอนนี้กลับมาให้เจ้าแต่งเข้าวังหลวง...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดอาภรณ์นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

“ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ ข้ารู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยามนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือการปกป้องตระกูลเฟิ่ง”

ตระกูลเฟิ่งไม่สามารถส่งมอบบุตรีออกไปได้ ทำให้พิธีอภิเษกสมรสเสียหาย จะต้องมีจุดจบถูกประหารทั้งตระกูลอย่างแน่นอน

เฟิ่งฮูหยินถอนหายใจ

“เจ้ากลับมาก็ดีเหมือนกัน หลายปีมานี้ ทุกวันแม่คิดถึง...”

“ท่านแม่ ตอนนี้เวยเฉียงเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งเกินไป จนชวนให้คนรู้สึกกลัว

แต่หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าสองมือของนางกำแน่น นางยังคงหวังว่าสวรรค์จะทรงเมตตา เวยเฉียงฆ่าตัวตายไม่สำเร็จและยังมีชีวิตอยู่ ยังหวังว่าเวยเฉียงจะปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันเหมือนสมัยเด็ก เรียกนางว่า “พี่สาว ข้ามาหาท่านแล้ว”...

แต่สีหน้าของเฟิ่งฮูหยินฉายความโศกเศร้ารวดร้าวอย่างไม่อาจควบคุม ทำให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของนางต้องสูญสลาย

“เวยเฉียง...ได้พักผ่อนอย่างสงบใต้ธรณีแล้ว

“เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางได้รับความทุกข์แสนสาหัส ถ้ารอดมาได้ก็คงมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น

“คืนนั้น นางถูกคนโยนทิ้งไว้หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่ง บาดแผลเต็มร่าง อาภรณ์ไม่ปิดบังเรือนกาย บนทรวงอกยังถูกเหล็กไฟนาบ...”

เฟิ่งฮูหยินพูดต่อไปไม่ไหว ได้แต่เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง

แล้วหันไปมองจิ่วเหยียน นางดูราวกับไม่สะทกสะท้าน เย็นชาเหมือนก้อนน้ำแข็ง

เฟิ่งจิ่วเหยียนถามต่อไป

“ผู้ใดทำร้ายนาง มีเบาะแสหรือไม่?”

“เป็น...เป็นหวงกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงคนเดียวผู้นั้น! นางสนมตัวร้ายนั่น นางทำร้ายเวยเฉียง!”

กร๊อบ!

เฟิ่งจิ่วเหยียนจดบัญชีนี้ไว้แล้ว พอออกแรง ตลับแป้งในมือก็ปริแตก

เฟิ่งฮูหยินขมวดคิ้ว วางมือลงบนไหล่นาง

“จิ่วเหยียน แม่รู้ว่าเจ้าฝึกฝนในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก มีฝีมือไม่ธรรมดา แต่วังหลังต่างจากสนามรบ แค่ปกป้องตัวเองให้ดีก็พอแล้ว หวงกุ้ยเฟยผู้นั้นวางอำนาจบาตรใหญ่นัก ทำร้ายคนนับไม่ถ้วน แต่ถึงนางจะก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ฮ่องเต้ก็ยังคงโปรดปรานนางไม่คลาย เจ้าอย่าไปสู้กับนางเลย”

เวยเฉียงไม่อยู่แล้ว นางไม่อยากให้จิ่วเหยียนถูกทำร้ายไปอีกคน

ทว่า ถึงต้นไม้อยากอยู่นิ่ง ลมก็ไม่มีทางหยุดพัด

ขณะที่เฟิ่งจิ่วเหยียนคลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงตระเตรียมจะออกไปก็มีเสียงแหลมเสียดโสตดังมาจากข้างนอก

“หยุดพิธีอภิเษกสมรสไว้ก่อนชั่วคราว! ข้ารับบัญชาหวงกุ้ยเฟยมาจัดการธุระ!”

เฟิ่งฮูหยินกดเฟิ่งจิ่วเหยียน “แม่ออกไปดูข้างนอกก่อน”

ขันทีนอกห้องผู้นั้นโอหังยิ่งนัก พาดแส้ไว้เหนือแขน ท่าทางหยิ่งผยองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งถูกโจรร้ายลักพาตัว หวงกุ้ยเฟยเป็นห่วงชื่อเสียงราชวงศ์จึงมีบัญชาให้นางกำนัลจากในวังมาตรวจสอบ”

“ตรวจสอบอะไร?” เฟิ่งฮูหยินหน้าซีด

ขันทีผู้นั้นแค่นหัวเราะ “ตรวจสอบว่าร่างกายคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่อย่างไรเล่า!”

“อะไรนะ!”

ตรวจร่างกายในวันที่เจ้าสาวออกเรือน ความอัปยศอดสูเช่นนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!

----------------------------------------------

[1] ทหารม้าเบา คือ ทหารม้าที่สวมเกราะเบาหรือไม่สวมเลย
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (33)
goodnovel comment avatar
นลิน ลิดา
ทำไมมันกลับมาบทที่1 กด เสียเวลาชิบหาย
goodnovel comment avatar
Piyada Kampeerapawong
ขอติดตามตลอดไปค่ะ
goodnovel comment avatar
Piyada Kampeerapawong
สนุกค่ะเริ่มต้นก็โหดเหี้ยมอำมหิตชอบๆๆ
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1653

    เพื่อความไม่ประมาท ตงฟางซื่อจึงตรวจสอบแมงมุมยักษ์ตัวนั้นอย่างละเอียดเดิมทีเขาแค่พูดเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าภายในจุดศูนย์กลางค่ายกล กลับมีเจ้าสิ่งนี้อยู่จริง ๆเมื่อครู่คนอื่นถือคบไฟอยู่ เขายืนดูอยู่ข้าง ๆ จึงไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดตอนนี้เข้ามาใกล้แล้ว ถึงเห็นชัดว่า แมงมุมยักษ์ตัวนี้มีเปลือกนอกทำจากโลหะ ส่วน “อวัยวะภายใน” ที่อยู่ด้านในทำจากไม้ส่วน “ปาก” ที่ซ่อนสมุดบันทึกไว้นั้น ตอนนี้ยังมองไม่เห็นกลไกหลังจากตงฟางซื่อหยิบสมุดบันทึกออกมา ก็ส่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วหันไปตรวจดูแมงมุมยักษ์ตัวนั้นด้วยตัวเองต่อโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดหน้าแรกของสมุดบันทึก มีอักษรสามตัวเขียนไว้ว่า “ถานไถหมิ่น”คิดว่า นี่คงเป็นชื่อของเจ้าของสมุดบันทึก และก็คือหญิงสาวในภาพวาดฝาผนังนั่นด้วยผ่านทางสมุดบันทึกเล่มนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้เข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดเมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน ในยุคสงครามและความวุ่นวายตระกูลถานไถในเวลานั้น ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง ทว่ากลับถูกสังหารกวาดล้าง เหลือเพียงเด็กไม่กี่คนที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของตระกูลถานไถหมิ่นก็คือหนึ่งในนั้นนางได้รู้จักกับฮ่อง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1652

    กลุ่มคณะเดินผ่านทางเดินยาว ด้านหน้าก็ปรากฏประตูอีกบานหนึ่งประตูนี้ไม่ได้สูงใหญ่เท่าประตูสำริดด้านนอก แค่มีขนาดเท่ากับประตูทั่วไป บนประตูมีสลักกลไกอยู่สามอัน ซึ่งถูกเปิดไว้หมดแล้วเห็นชัดว่า เป็นถานไถเหยี่ยนที่เคยมาก่อนหน้านี้และเปิดไว้เขาเดินอยู่ข้างหน้า และผลักประตูบานนั้นเปิดออกไปทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนยังคาดเดาอยู่ว่า หลังประตูคงจะเป็นหลุมบริวารอีกหลุมหนึ่ง แต่กลับพบว่า หลังประตูคือโลกอีกใบหนึ่งโลกที่สว่างเจิดจ้าราวกับกลางวัน...นอกจากถานไถเหยี่ยนแล้ว คนอื่น ๆ ก็เผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึงไม่มากก็น้อยเมื่อก้าวเข้าประตูบานนี้ ราวกับเข้าสู่อีกห้วงมิติหนึ่งท้องฟ้าสีครามก้อนเมฆสีขาวมองดูสุดลูกหูลูกตา เบื้องล่างเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ไม่ไกลนัก ก็เป็นบ้านไม้หลังหนึ่งทุกสิ่งที่ตามองเห็น ล้วนดูเหมือนจริงอย่างมากทว่าหากดูอย่างละเอียดจะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นภาพลวงตาท้องฟ้าคือหลังคาโค้งที่สร้างขึ้นภายในห้อง ซึ่งถูกวาดขึ้นด้วยปลายพู่กันอันประณีตของจิตรกรส่วนที่ไกลออกไปดูเหมือนมองดูสุดลูกหูลูกตา แท้จริงแล้วก็คือภาพวาดบนผนังทั้งสี่ด้านบางทีอาจจะใช้ผงสีที่เรืองแสง ทำให้ทั่วทั้งสถานที่สว่าง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1651

    ขณะที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เซียวอวี้จับมือนางไว้ทันที เพื่อห้ามไว้อย่างเงียบ ๆเซียวอวี้ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว มองตรงไปยังถานไถเหยี่ยน“ถานไถเหยี่ยน เจ้าไม่จำเป็นต้องยุยงให้เรากับฮองเฮาผิดใจกัน“ตอนนี้เราไม่ฆ่าเจ้า ไม่ใช่เพื่อมาฟังคำพูดเหลวไหลไร้ประโยชน์ที่เจ้าพูดเหล่านี้“จุดศูนย์กลางค่ายกลของ ‘ใยแมงมุม’ หาเจอแล้วหรือไม่”“ใยแมงมุม” นี้เป็นทั้งโชคและหายนะเซียวอวี้ไม่ต้องการให้มันกลายเป็นอาวุธตอบโต้ของแคว้นอื่นดังนั้น เขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับมัน หากสามารถควบคุม และใช้มันได้เพียงคนเดียว ก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้ เช่นนั้นเขายอมทำลายมันทิ้งดีกว่า!ส่วนเรื่องการหา “จุดศูนย์กลางค่ายกล” บางทีก็ยังต้องการตัวถานไถเหยี่ยนเพราะถึงอย่างไร “ใยแมงมุม” ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของตระกูลถานไถสร้างขึ้นมาถานไถเหยี่ยนเป็นคนที่คุ้นเคยกับ “ใยแมงมุม” มากที่สุดในใต้หล้านี้เสียวอู่กระจ่างในทันทีไม่แปลกใจที่ศิษย์พี่นำกองกำลังนับหมื่นเข้ามา รวมถึงเรื่องการยิงธนูเมื่อครู่ ก็ไม่ได้สังหารถานไถเหยี่ยนในทันทีถานไถเหยี่ยนพลันยกยิ้มมุมปากเขามองมายังเซียวอวี้กับเฟิ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1650

    ด้านหลังของเซียวอวี้คือกองกำลังนับหมื่นเฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักไปชั่วครู่นี่จะยกทัพกลับราชสำนักแล้วหรือ?ถานไถเหยี่ยนมองมาที่เซียวอวี้ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเย้ยหยัน“ฮ่องเต้ฉี หรือว่าในใจของท่าน ทั้งใต้หล้านี้ ยังไม่สำคัญเท่าสตรีผู้หนึ่งหรือ?“ท่านไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่“ช่างน่าเสียดายจริง ๆ...”เซียวอวี้ยิงธนูออกไปดอกหนึ่งด้วยความแน่วแน่ถานไถเหยี่ยนไม่ได้หลบ ธนูดอกนั้นปักลงข้างหน้าเท้าของเขา ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ชุ่นเขามองเซียวอวี้อย่างเย็นชา และชี้กระบี่ไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮ่องเต้ฉี ท่านเทียบฮ่องเต้ซวี่หยางไม่ได้จริง ๆ“ข้าควรจะตัดสินใจเรื่องนี้ให้ท่านแต่แรก”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เจ้าอยากฆ่าข้า ก็เพื่อฝ่าบาทงั้นหรือ?”สายตาของถานไถเหยี่ยนเปลี่ยนเป็นมืดมน“ยังต้องถามอีกหรือ?“เมื่อเห็นฮ่องเต้ฉีปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เจ้ายังไม่เข้าใจหรือว่า สำหรับเขาแล้ว เจ้าคืออุปสรรคที่ใหญ่หลวงเพียงใด!”เสียวอู่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาขวางด้านหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน“ศิษย์พี่สะใภ้ ท่านถอยไปยืนข้างหลัง ระวังคนบ้าผู้นี้!”ตงฟางซื่อก็ลืมตาขึ้นจากตาที่เคยหรี่ “วา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1649

    เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“ไม่ว่าจะเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่หรือความลวงที่ยิ่งใหญ่ ล้วนทำเพื่อกษัตริย์ที่ตนภักดีทั้งสิ้น“ที่ถานไถเหยี่ยนกำหนดตนเองว่าเป็น ‘ความลวงที่ยิ่งใหญ่’ คือการแสดงความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่ต่างจากการบอกฝ่าบาทว่า ‘ข้าคือขุนนางของท่าน จะวางแผนครองใต้หล้าเพื่อท่าน”เสียวอู่รู้สึกเหมือนกระจ่างขึ้นมาในทันทีไม่คิดเลยว่า คำกล่าวง่าย ๆ และสั้น ๆ เพียงไม่กี่ตัวอักษร กลับซ่อนความหมายลึกซึ้งไว้มากมายเพียงนี้!“ทว่า... คำพูดนั้นมาจากใจจริงหรือไม่?“ถานไถเหยี่ยนจะทำเพื่อศิษย์พี่ได้อย่างไร?”“นี่ต้องเป็นแผนล่อศัตรูของเขาเป็นแน่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น“ดังนั้นข้าถึงบอกว่า ฝ่าบาททรงกำลังเดิมพัน”ตงฟางซื่อบอกความคิดเห็นของเขา“ข้าเชื่อคำพูดนั้น”เสียวอู่เบิกตากว้าง คล้ายกับจะบอกว่าเขาบ้าไปแล้ว ถึงเชื่อคำพูดหลอกลวงของถานไถเหยี่ยนตงฟางซื่อเอ่ยอย่างช้า ๆ“เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน เคยมีคนผู้หนึ่งนามว่าจางจื่อที่ทำงานรับใช้แคว้นฉิน ช่วยแคว้นฉินเตรียมพร้อมกำลังพล ก่อนจะพิชิตแคว้นอื่นทีละแคว้น“เรื่องที่ถานไถเหยี่ยนทำ โดยพื้นฐานแล้ว ก็ไม่แตกต่างจากเขา“หากปฏิ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1648

    เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบาย: “ในวลี ‘อยู่เหนือกว่าคน’ ตัวอักษร ‘ซ่าง’ หมายถึง ด้านบน หรือตำแหน่งข้างหน้า หากนำขีดแรกของตัวอักษรสามตัวคือ ‘ไจ้[1]’ ‘เหริน[2]’ และ ‘จือ[3]’ มารวมกัน ก็จะได้ตัวอักษรหนึ่งตัว” เสียวอู่ได้ยินดังนั้น จึงรีบใช้กิ่งไม้ เขียนลงบนพื้นทันทีขีดขวาง ขีดลากซ้าย และจุด...แต่เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่า จะได้เป็นตัวอักษรใดในเวลานั้น ตงฟางซื่อก็ใช้กระบี่ ลากออกมาเป็นตัวอักษรหนึ่ง“คือตัว ‘ต้า[4]’”เสียวอู่มองดูแล้ว พลันกระจ่างในทันทีใช่จริงด้วย!“ศิษย์พี่สะใภ้ แล้ววลีที่ว่า ‘มองคนเป็นคน’ล่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบเฉยยังไม่ทันรอให้นางเอ่ย ตงฟางซื่อก็เดาได้แล้วเขาถาม: “คือตัว ‘เหว่ย[5]’ ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“ข้าก็เดาว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”“ตัว ‘เหริน’ กับ ‘เหวย[6]’ รวมกัน ก็จะกลายเป็นตัวอักษร ‘เหว่ย’”เสียวอู่ถึงกับนิ่งงัน“ศิษย์พี่สะใภ้ ตัว ‘ต้า’ ข้าพอเข้าใจ แต่ตัว ‘เหว่ย’ ได้มาจากที่ใดกัน? มันดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรือ?”ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็ไม่อาจโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะขับเข็มพิษออกมา ร่างกายยังคงพักฟื้น

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status