บทที่ 10 ทุกอย่างคือการลงทุน
เยว่หรูมาเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้เรียนรู้แนวทางที่เธอจะเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณของที่นี่ จะต้องเรียนจบอะไร แล้วไปต่อที่ไหน มันดีตรงที่ว่าในนิยายเรื่องนี้สามารถสอบเทียบได้ ไม่ต้องเรียนตรงตามเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดก็ได้ แค่สอบผ่านระดับตามที่ทางโรงเรียนกำหนดก็พอ การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน สามารถสอบเทียบได้
ทุกวันก่อนกลับบ้าน เยว่หรูจะหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลับไปด้วย อาหารที่ได้มาก็คืออาหารที่เธอใช้คูปองที่คุณครู หมิงเว่ย ให้มาและนำไปยื่นที่โรงอาหาร เธอก็ได้ปิ่นโตใส่อาหารหนึ่งเถากลับบ้าน ในปิ่นโตจะมีข้าวและกับข้าวหนึ่งอย่าง บางวันอาจมีผลไม้เพิ่มให้หนึ่งอย่าง แต่ไม่ได้มีทุกวัน อาหารที่ได้ไม่ได้เยอะมากนัก แต่มันสามารถทำให้ครอบครัวของเธอประหยัดขึ้นและมีอาหารกินเพิ่มขึ้น พอเช้าวันต่อมาค่อยเอาปิ่นโตเปล่ามาส่งที่โรงอาหาร เยว่หรูทำแบบนี้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนแล้ว
เยว่หรูเริ่มปรับตัวได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต วางแผนเพื่อที่จะเรียนในด้านที่ตัวเองถนัด วางแผนเรื่องช่วยเหลือครอบครัวเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้น
ตอนนี้ในบ้านเธอมีผักที่ปลูกไว้กินเองหลายอย่าง เมล็ดผักก็ซื้อจากที่ร้านค้าชุมชน ซื้อได้เป็นบางอย่าง บางอย่างก็ห้ามขาย ตอนนี้เริ่มเข้าใจระบบเงินของที่นี่บ้างแล้ว ถึงในความเห็นส่วนตัวจะมองว่ามันแปลก ๆ บางอย่างมันไม่สมดุล สินค้าบางอย่างแพงมาก แต่บางอย่างที่น่าจะแพงกลับถูก
ต้องบอกว่าเยว่หรูต้องปล่อยเรื่องค่าของเงิน ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่เพราะทำความเข้าใจยาก ราคาสินค้าหรือค่าใช้จ่ายค่าบริการ ทางรัฐบาลเป็นคนกำหนดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ต้องบอกว่าราคาซื้อขายทุกอย่างในประเทศนี้มีรัฐบาลเป็นคนกำหนดทั้งหมด
"เยว่หรู อันนี้ของลูกสาวครู ไม่ได้ใช้แล้ว" หมิงเว่ยยื่นถุงเสื้อผ้าเก่าของลูกสาวให้ เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ เอามาให้คนที่ต้องการมันจะได้มีประโยชน์มากกว่าเก็บไว้เฉย ๆ และเด็กที่เขาเอามาให้ก็เป็นเด็กดี ตั้งใจทำทุกอย่างที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ และที่สำคัญคือกตัญญูช่วยเหลือพ่อแม่ที่ยากจนด้วย ยิ่งได้รู้ว่าครอบครัวของเยว่หรูลำบากเลยทำให้อยากช่วยเหลือ ถึงมันจะไม่มากมายนัก แต่เขาก็เต็มใจที่จะช่วย
"ขอบคุณค่ะครู น้ำขิงต้มค่ะครู ต้องรีบกินก่อนที่มันจะเย็น" เยว่หรูยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำขิงส่งให้คุณครูที่เคารพพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ เพราะบ้านเธอไม่มีกระติกน้ำที่สามารถเก็บความร้อนได้ ส่วนมากจะใส่กระบอกไม้ไผ่และความร้อนมันอยู่ได้ไม่นาน ยิ่งเจออากาศหนาว ๆ ผ่านไปไม่นานน้ำก็เย็นแล้ว
"ขอบใจมาก เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว" คุณครูยิ้มกับความมีน้ำใจของครอบครัวเยว่หรู ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีน้ำใจ เมื่อไม่กี่วันก่อน พ่อของเยว่หรูมาขอบคุณเขาด้วยตัวเองที่ให้ความช่วยเหลือเยว่หรู ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาแค่แนะนำเพียงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก
เยว่หรูเดินเข้าไปในห้องเรียน แล้วมองไปทางอาคารขนาดใหญ่ที่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคือโรงพยาบาล สถานที่ที่เธอจะต้องพยายามเข้าไปทำงานที่นั่นให้ได้... เยว่หรูวาดฝันเอาไว้เพื่อจะได้มีกำลังใจ พอละสายตาจากตรงนั้นก็มองดูเพื่อนร่วมชั้น เธอพูดคุยได้กับทุกคนแต่ไม่ได้สนิทมากนัก ส่วนมากจะต่างคนต่างเรียน พูดคุยกันบ้างแค่บางครั้ง ส่วนมากจะถามเรื่องเรียนกันเท่านั้น
สามวันแรกเธอไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้อง เหมือนไม่มีใครสนิทกับใครมากนัก แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน จนเยว่หรูที่ทนเก็บความสงสัยไม่ได้ เนื่องจากเธออยู่ในช่วงปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่...
สิ่งไหนที่ไม่รู้ก็ต้องสอบถามไว้ก่อน คำตอบที่ได้คือห้องนี้คือห้องรวมนักเรียนเรียนดีเรียนเก่งที่มีโอกาสสอบเทียบจบ เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างอยู่ แต่หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเรียนก็ช่วยเหลือหรือแนะนำกันได้
"อาทิตย์หน้าจะเริ่มไปช่วยชาวบ้านที่หน่วยคอมมูน แต่จะไปวันไหนบ้าง เดี๋ยวครูมาแจ้งอีกทีอาทิตย์หน้าเลย ไปกินข้าวและพากันกลับบ้านดี ๆ วันหยุดหากมีเวลาอย่าลืมทบทวนเรื่องเรียน" คุณครูบอกเสร็จก็เดินออกจากห้องไป
ส่วนนักเรียนก็เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนพากันทยอยออกนอกห้องเรียน เยว่หรูคือคนที่หอบหิ้วสิ่งของหลายอย่างเลยทีเดียว แบกทั้งหนังสือและหอบถุงผ้าที่ครูให้ด้วย
"ตัวก็เล็ก... ยังจะหอบหิ้วของเยอะแยะ เอามานี่ ฉันช่วย... " พูดไม่ทันขาดคำก็มีมือมาแย่งถุงผ้าไปถือไว้เอง
"ขอบใจนะ" เยว่หรูยิ้มให้คนที่มีน้ำใจมาช่วยเธอถือ ไม่ปฏิเสธหากมีใครยื่นมือมาช่วยด้วยความหวังดี แต่หากรู้ว่าหวังดีประสงค์ร้ายค่อยว่ากันอีกที... และคนนี้คือคนที่ทักเธอวันแรกที่มาเรียน คนที่นั่งด้านหลังของเธอนั่นเอง...
"ฉันเป็นพี่เธอ" หลิงฟาง บอกยัยเด็กตัวเล็กให้เข้าใจ ตัวก็เล็ก... อายุก็น้อย...
"ขอบคุณค่ะ พี่หลิงฟาง" เยว่หรูยอมถอยเสมอ... ไม่ได้ห่วงเรื่องที่ว่าจริง ๆ แล้วเธอมีอายุมากกว่า อาจเป็นน้าหรือพี่สาว หรืออาจเป็นแม่ของหลิงฟางก็ยังได้ เพราะคนที่นี่แต่งงานกันเร็ว
เยว่หรูต้องทำตัวให้เหมือนกับเยว่หรูที่อายุสิบสี่ ให้เหมือนกับเจ้าของร่างนี้จริง ๆ แต่บางครั้งก็หลุดวางตัวทำท่าเหมือนผู้ใหญ่ บางครั้งเธอมองเพื่อนร่วมชั้นเป็นเด็กแทบทุกคน ยังดีที่คุณครูที่สอนนั้นอายุห้าสิบกว่าแล้ว หากมีอายุสักสามสิบ เยว่หรูอาจลืมตัวมองเป็นรุ่นพี่ก็ได้
บางอย่างต้องค่อย ๆ ปรับและทำตัวให้ชิน... ทั้งที่ใจจริงอยากทำให้ได้ เดี๋ยวนี้! ตอนนี้! แต่เพราะคนมันเคยเป็นแบบนี้มาแล้วยี่สิบกว่าปี.... ระยะเวลาเดือนกว่าที่มาอยู่ที่นี่... ปรับตัวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว...
เมื่อสองสาวช่วยกันถือของเข้าไปในโรงอาหารแล้ว หลิวฟางก็แยกตัวออกไปเพื่อรับอาหารในส่วนของตัวเอง ส่วนเยว่หรูคิดว่าวันนี้จะกลับไปกินข้าวพร้อมพ่อกับแม่ที่หน่วยงานผลิต เพราะพ่อบอกว่าวันนี้จะมีลงงานแถวเส้นทางที่เธอเดินมาเรียนทุกวัน ซึ่งเดินออกจากโรงเรียนไม่นานก็จะเจอพ่อกับแม่เธอแล้ว เยว่หรูเลยขอให้ป้า ๆ ที่ทำหน้าที่แจกอาหาร เอาอาหารในส่วนของเธอใส่รวมในปิ่นโตที่ใช้คูปองแลกกลับบ้านทีเดียวเลย...
เยว่หรูเดินหอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง ทั้งถุงเสื้อผ้า ทั้งปิ่นโต และยังสะพายกระเป๋าหนังสือเรียนอีก หากเทียบกับขนาดตัวและน้ำหนักสิ่งของที่หอบหิ้วมานั้น... ต้องบอกว่ามันเกินตัวมากเลย แต่เพราะเยว่หรูคิดว่าเดินไม่ไกลก็เจอพ่อกับแม่แล้วเลยหอบทุกอย่างมา ไม่ทยอยเอามาเหมือนทุกครั้ง
"นังเด็กเหลือขอ!! " เสียงแหลมดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
"ป้าน่าจะว่างเนอะ ทำไมถึงขี้อิจฉา มีปมหรือว่าอะไร" เยว่หรูมองซ้ายมองขวาจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครก็หันไปพูดกับนางหลิว หรือก็คือย่าเลี้ยงนั่นแหละ
"แม่เจ้าเว้ย!! มึงกล้ายอกย้อนเหรอ เห็นเงียบ ๆ ที่แท้ก็สารเลวเหมือนแม่ไม่มีผิด!! " นางหลิวโมโหทันทีที่เห็นเด็กนี่มันยอกย้อน วันนี้มันปีกกล้าขาแข็งมาจากไหน ทำไมมันถึงกล้าที่จะยอกย้อน กล้าพูดกล้ามองหน้า ไม่เดินหนีเหมือนแต่ก่อน
"รู้เหรอว่าเลวเป็นแบบไหน... แบบป้าหรือเปล่า... หากมีเวลาก็คิดเยอะ ๆ หน่อยป้า รู้ว่าเด็กมันเดินหนีมันไม่คุย ก็ยังเสือกมาคุย คิดบ้างว่าที่เขาไม่คุยเพราะเขารังเกียจ ที่ไม่พูดไม่ได้กลัว พูดไปคนโง่แบบป้าจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้" เยว่หรูที่ปกติไม่ได้คุย ไม่ได้ตอบโต้ เพราะเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดที่เธอไม่ต่อปากต่อคำกับยัยป้านี่
"แก!! ปากดีนัก!! นังเด็กสารเลว!! ทุกคนมาดูกันเร็ว... นังเด็กนี่มันปากดี เถียงฉอด ๆ ยอกย้อนเก่ง ไม่มีสัมมาคารวะ พ่อแม่มันไม่สั่งสอน!!! " นางหลิวโมโหโวยวายเสียงดัง จากคนที่อยู่ห่าง ๆ ก็เริ่มมีคนเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
"เหมือนแม่ของป้าไหม... ที่ไม่สั่งสอนป้า ทำตัวแย่แบบนี้ไม่อายลูกหลานบ้างเหรอ" เมื่อเยว่หรูมองรอบ ๆ เริ่มมีคนเดินมาที่บริเวณที่เธออยู่ เป็นช่วงพักกลางวันของคนงานพอดี เยว่หรูเลยหันไปพูดท้าทายยัยป้าข้างบ้านคนนี้ หากเป็นต่อหน้าคนอื่นอาจเรียก ย่า หากไม่มีคนอื่นเรียกป้านี่ก็ถือว่าดีแล้ว ทั้งที่ใจจริงอยากเรียกอย่างอื่นมากกว่านี้ อยากจะหยุมหัวด้วย... แต่ต้องอดทน!!
"แก!! ปากดีนักใช่ไหม!! " นางหลิวโมโหหน้าดำหน้าแดง ไม่สามารถยั้งตัวเองได้ ผลักเยว่หรูล้มลงทันที
เพียะ!! เมื่อหลิวเจียอิงไม่สามารถยั้งอารมณ์กรุ่นโกรธได้... ก็ลงมือตบตีทันที...
บทที่ 53 ตอนพิเศษ"หนิงหนิงต้องเดินตามตา เข้าใจไหมครับ" จางหยวนบอกหลานสาวสุดน่ารักของเขา ที่วันนี้แต่งตัวมาพร้อมเก็บใบชา มีตะกร้าใบเล็กสะพายอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทำงานเป็นอย่างมาก"คุณตาเชื่อใจหนิงหนิงได้เลยค่ะ" หานเผยหนิงวัยห้าขวบที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนงานเก็บใบชาของคุณตาก็รับปากอย่างแข็งขัน"ยายว่ารอพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่าไหม" ลู่หลินที่มองหลานสาวก็อดเอ็นดูในความน่ารักไม่ได้ หลานสาวของเธอนั้นถอดแบบแม่มาแทบทั้งหมด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้จากคนเป็นพ่อ นั่นยิ่งทำให้หลานสาวของเธอน่ารักน่ามองมากกว่าเดิม"ไม่ได้ค่ะคุณยาย หากพี่ใหญ่พี่รองมา หนิงหนิงก็สู้ไม่ได้" หนิงหนิงต้องเก็บได้เยอะกว่า งานนี้หนิงหนิงต้องชนะ!!"หากแม่มาเจอ โดนดุอย่าหาว่ายายไม่เตือน" ลู่หลินแกล้งขู่หลานสาวตัวน้อยที่ดูจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ"ไม่ค่ะคุณยาย วันนี้คุณแม่มีงานที่โรงพยาบาล และตอนบ่ายคุณพ่อจะรับไปโรงงานค่ะ หนิงหนิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ" หนิงหนิงรีบบอกคุณยายทันที เธอจำได้ ก้นเธอไม่เจ็บแน่นอนเพราะคุณแม่ไม่อยู่"ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย" จางหยวนผู้ที่ตามใจหลานมากกว่าตามใจลูก มีหรือที่จะขัดใจหนิงหนิงตัวน้อยได้ เจอหลานออดอ้อนนิ
บทที่ 52 บทส่งท้าย ครอบครัววันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากเคยนับวันว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง กลายเป็นว่าเลิกนับวันเวลาแล้ว ตอนนี้ที่นับคืออายุของลูก ๆ ของเธอที่กำลังโต ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่ายุ่งกับการทำงานและการเลี้ยงลูก ยังดีที่พ่อกับแม่ของเธอมาช่วยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าเธอกับสามีไม่น่าจะเลี้ยงแฝดสามได้ และด้วยความที่แทบไม่มีเวลาพัก สามีของเธอบอกเลยว่า... พอแล้ว... มีสามคนก็พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเข็ดที่ลูกซนหรือว่ายังไงเยว่หรูทำงานที่โรงพยาบาลและทำงานที่บ้านด้วย ที่ตอนนี้ขยับขยายให้เป็นโรงงานขนาดเล็กผลิตยาสมุนไพรส่งทางสาธารณสุข โดยมีสามีของเธอเป็นคนดูแลตรงนี้ ส่วนในเรื่องของโรงงานตระกูลหานนั้นก็จัดแบ่งให้คนสนิทมาช่วยงาน แต่เขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่อง ดีที่ได้สามีของพี่เหมยมาช่วยงาน ทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งยากมากนักในส่วนเรื่องของพระเอกที่เยว่หรูกลัวนั้น ก็ยังได้ข่าวเขาบ้างบางครั้งจากอาจารย์หม่า หรือบางทีเขาก็มาหาสามีเธอ แต่ก็ยังไม่เห็นจะแต่งงานสักที เยว่หรูกับพี่เหมยลุ้นอยู่ว่าคนไหนคือนางเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นนางเอกเลยในส
บทที่ 51 วันที่รอคอย"คุณหมอคะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ" ลู่จิวหรือพี่เหมยเดินเข้ามาให้กำลังใจคุณหมอถึงหน้าห้องคลอดเลยทีเดียว"พี่เหมย... หมอกลัว" เยว่หรูบอกไปตามตรง เนื่องจากเธอท้องแฝด การคลอดเลยต้องผ่าคลอด และคนที่ติดต่อหมอต่างชาติให้มาทำคลอดให้เธอนั้นก็คืออาจารย์หม่านั่นเอง "อย่างน้อยก็ยังสามารถผ่าคลอดได้" ลู่จิวรู้ดีว่าคุณหมอกังวลเป็นอย่างมากเพราะทางการแพทย์ในสมัยนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่ายุคที่จากมา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่พร้อม ยังดีที่อาจารย์หม่าคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเธอจะกังวลหนักมากกว่านี้แล้ว"แล้วพี่มาอยู่นี่ใครดูลูกชาย อย่าบอกนะว่าไปทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกชายพี่ยังไม่สามเดือนเลยนะ" เยว่หรูถามหาหลานชายที่มีอายุเพียงสองเดือนกว่าพี่เหมยคลอดลูกในวันที่เยว่หรูจบการศึกษา ซึ่งได้ดั่งใจที่สามีพี่เหมยอยากได้ นั่นคือลูกชายตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ พี่ห่าวซวนนั้นหลงลูกมาก บางวันต้องหอบพาลูกไปทำงานที่โรงงานด้วย ตอนนี้พี่ห่าวซวนคือคนที่เข้าไปดูแลโรงงานของตระกูลหานแทนสามีของเยว่หรู เนื่องจากสามีของเยว่หรูต้องคอยดูแลเธอและดูแลโรงงานผลิตยาสมุนไพรส่งสาธารณสุขด้วย ทุกคนเลยต้องแบ่งงานกันทำ"สามีจะรออยู่ตรงนี้ ไม่
บทที่ 50 เรียนจบวันนี้คือวันที่ทางสมาพันธ์จะมอบใบประกาศสำเร็จการศึกษาให้แก่เยว่หรู ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะตอนที่อาจารย์หม่าเคยแจ้งนั้นบอกว่าหลังกลับจากค่ายแรงงานประมาณสามเดือน แต่นี่เพิ่งจะสองเดือนก็มีหนังสือรับรองออกมาแล้ว จึงทำให้วันนี้ครอบครัวเยว่หรูทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สมาพันธ์วันนี้แม่ของเยว่หรูอยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลือง ทำให้ขับผิวขาว ๆ ของแม่ดูสวยดูดีจนพ่อนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนพ่อเลี้ยงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขากระบอก รองเท้าหนังอย่างดี ทุกอย่างที่ใส่มานั้นเป็นเยว่หรูจัดเตรียมไว้ให้ น้อยคนนักที่จะได้ใส่แบบนี้ ยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงนั้นแทบไม่กล้าเดินไปไหนเลยทีเดียวส่วนสามีของเยว่หรูนั้นไม่ต้องจัดให้ เขาก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีอยู่แล้ว วันนี้อาจารย์หมิงเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งเยว่หรูนับถืออาจารย์หมิงเว่ยมาก เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือตั้งแต่ที่เธอยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนักส่วนพี่สาวหลิงฟางก็มีเพียงจดหมายส่งหากันเท่านั้น เพราะพี่สาวหลิงฟางย้ายไปอยู่เมืองอื่น เยว่หรูทำได้เพียงส่งยาสมุนไพรและสิ่งของไปให้ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย ต้องบอกว่าเยว่หรูตอบแทนทุกค
บทที่ 49 จุดไต้ตำตอเยว่หรูอยู่ค่ายจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามีไม่ได้ตามมาอย่างที่เคยบอกไว้ เยว่หรูคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องงานไม่เรียบร้อย ซึ่งมันดี... เพราะเยว่หรูไม่อยากให้เขาตามมาสักเท่าไหร่"ทำเหมือนคนนอนไม่พอเลยนะเยว่หรู" อาจารย์หม่าถือชามอาหารมานั่งข้าง ๆ ลูกศิษย์"เมื่อคืนหนูฝันค่ะ เลยทำให้ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ" เยว่หรูบอกไปตามความจริง"หากวันนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำอะไรมากเข้าใจไหม" วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนรู้แล้ว"แล้วเรื่องที่อาจารย์รักษาคุณโจวละคะ ยังต้องทำต่อเนื่องไหม" เยว่หรูถามเรื่องการบำบัดคนที่เครียดสะสมอย่างพระเอก ในตอนแรกอาจารย์บอกให้เธอลองรักษาด้วยตัวเอง แต่เธอไม่อยากทำก็อ้างว่าโน่นนี่นั่นไม่ค่อยสะดวกมากนัก ซึ่งอาจารย์หม่าก็ไม่ว่าอะไร"เยว่เยว่" เสียงเรียกดังมาจากทางประตู ทำให้เยว่หรูต้องหันไปมองทันที"อาจารย์บอกแล้ว เขามาแน่... ไม่ช้าก็เร็ว" อาจารย์หม่าบอกลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังนั่งกลอกตาไปมา"พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะคะ" ความหมายของเธอชัดเจนคือ ...จะมาทำไม..."ไม่เจอกันตั้งหลายวัน พูดแบบนี้กับสามีได
บทที่ 48 เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเยว่หรูเรียนรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากจะมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล พอไม่สมดุลก็นำพาไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่าย เยว่หรูทำงานร่วมกับอาจารย์หม่าและมีหมอเท้าเปล่าที่คอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ "เยว่หรูไปพักก่อนก็ได้" อาจารย์ที่รับปากครอบครัวของลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองรับปากแล้ว เพราะเยว่หรูนั้นทำงานทุกอย่าง ช่วยทุกคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ ทำงานหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเสียอีกทั้งที่ตัวเองท้องอยู่"ยังทำไหวค่ะอาจารย์ ไม่ได้เหนื่อยอะไร" เยว่หรูบอกไปตามความจริง ความรู้ทั้งนั้น เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย "ทำเท่าที่ไหว เข้าใจไหม" หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วรับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอนเยว่หรูทำงานจนเรียบร้อยทั้งหมด พอถึงเวลาที่เธอเองออกมานั่งพักผ่อนมองดูผู้คนที่อยู่ในค่าย มีทั้งทหารและยังมีนักโทษที่มาใช้แรงงานกำลังทยอยกลับค่ายกัน กลุ่มคนชุดนี้จะถูกตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้ ต้องถือว่าค่ายแห่งนี้ถูกดูแลอย่างนี้ ไม่ได้กดขี่มากนัก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นนักโทษ ต้องบอกว่าสถานที่กักกันหรือค่ายแรงงานจะแบ่งแยกนักโทษ "เป็นยังไงบ้างคุณหมอ" เสียงเรียกถามทำให้เยว่หร