LOGINวันเวลาผันผ่านเผลอแป๊บเดียวซินซินก็ได้อายุสามหนาวแล้ว ซานซานตัวน้อยปีนี้ก็อายุได้เจ็ดขวบและก็ได้ไปเข้าโรงเรียนที่อยู่ในเขตสีซือซึ่งเป็นโรงเรียนประถมแห่งเดียวในเขตหมู่บ้านของเขา
ทางด้านอาฮัวเหมยก็ได้แต่งงานไปแล้วเมื่อตอนซินซินอายุได้สองหนาว อาเขยของซินซินทำงานเป็นเลขาให้กับพรรคการเมืองในท้องถิ่นชื่อว่าจางหยาง ครั้งแรกที่ซินซินได้เห็นหน้าอาเขยของตัวเองบอกได้เลยว่านี่มันพ่อแกะน้อยอดีตสามีในฝันของเธอชัดชัด
“ซินซินลูกมานั่งทำอะไรอยู่หน้าบ้านคนเดียวคะ” แม่เหมยของหนูน้อยเอ่ยถามลูกสาวของตน ฝ่ายซินซินเมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาหาเธอคือผู้เป็นแม่เจ้าตัวน้อยก็ได้แต่ยิ้มหวานจนตาปิดพร้อมแก้มที่บุ๋มลงไปทั้งสองข้างเล็ก ๆ นั้นก็ได้ปรากฎออกมา
“วาดรูปค่ะ” ซินซินตัวน้อยได้ชูแท่งดินสอในมือพร้อมกับสมุดวาดรูปที่เธอมักจะวาดอะไรต่าง ๆ ลงไปให้ผู้เป็นแม่ได้ดู
“เอาอาหารกลางวันไปให้คุณย่ากับพ่อกันค่ะลูก” ซูเหมยก็พูดชวนลูกสาวของตนขึ้นมา เด็กน้อยเมื่อได้ยินก็ยืนขึ้นบนโต๊ะพร้อมทั้งกางแขนที่สั้นป้อมของตัวเองออกเพื่อให้ผู้เป็นแม่อุ้มลงจากโต๊ะ
“จิวจิวไปกับซินซินไหมจ๊ะ” ซินซินหันไปถามเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ด้วยกัน ตอนนี้ทุกคนที่บ้านได้รู้จักจิวจิวกันหมดแล้ว และต่างก็หลงในความน่ารักของเจ้าตัวเล็กนี้กันทุกคนเลย
“ไปฮับ” จิวจิวตอบขึ้นมาพร้อมกับเด้งตัวเองมานอนแปะอยู่บนหัวกลางกลุ่มผมทรงซาลาเปาสองลูกของเพื่อนรักตน
“แม่จ๋า ที่ทุ่งนาน่าจะต้องมีกระต่ายใช่ไหมจ๊ะ เพราะช่วงนี้เป็นหน้าเก็บเกี่ยว หากเราจับได้เรานำมันมาเลี้ยงได้ไหมจ๊ะ” ซินซินตัวน้อยเอ่ยถามแม่ของตนพร้อมเงยหน้ามองแม่ด้วยดวงตากลมโตฉ่ำน้ำเหมือนลูกแมว
“ได้สิจ๊ะ ถ้าหากบ้านเราเป็นคนจับได้ก็จะถือว่าเป็นของบ้านเราไงคะลูกสาว หนูอยากเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นเหรอลูก” ฝ่ายแม่ที่จับมือลูกน้อยอยู่ก็ก้มหน้าลงมามองลูกของตนเช่น เดียวกัน
“เปล่าจ้ะกระต่ายมันมีลูกเร็วมาก หนูจะเอามาขายจ้ะ” ฝ่ายลูกสาวก็ตอบผู้เป็นแม่อย่างเสียงใส แต่ทางผู้เป็นแม่เมื่อได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออกกับความคิดลูกของตนเลยทีเดียว
สองแม่ลูกพากันเดินมาได้สักพักก็ถึงบริเวณทุ่งนาที่แม่สามีและสามีของตนทำงานอยู่ เมื่อสองแม่ลูกหาร่มไม้ใหญ่นั่งได้แล้วเสียงกริ่งสัญญาณพักเที่ยงก็ดังขึ้น
“จุณพ่อ จุณย่าทางนี้จ้ะ” ซินซินรีบตะโกนโบกไม้โบกมือเรียกผู้เป็นพ่อและย่าของตนทันที พ่อและย่ารีบเดินมาหาหลานตัวน้อยที่แสนฉลาดและรู้ความเกินเด็กทั่วไปของตนอย่างเร่งรีบ
“พ่อจ๋าข้าว ย่าจ๋าจินข้าว” ซินซินพูดออกมา ในบางครั้งซินซินก็สามารถพูดได้ชัดแต่ในบางครั้งก็ไม่สามารถพูดได้ชัดเหมือนอย่างตอนนี้แต่ทุกคนก็เข้าใจที่เธอสื่อสาร ดังนั้นก็ช่างมันเถอะโตมากกว่านี้ก็ดีขึ้นเองแหละ
หลังจากแม่และลูกชายล้างมือจากน้ำที่ซูเหมยส่งมาให้แล้วก็พากันลูบหัวน้อย ๆ ของลูกและหลานรักของตน โดยหลีกเลี่ยงเจ้าจิวจิวที่กำลังนอนผึ่งพุงน้อย ๆ ของมันอยู่
พวกเขาทั้งครอบครัวรู้สึกภูมิใจในตัวลูกทั้งสองของเขามากโดยเฉพาะลูกสาวตัวน้อยคนนี้เพราะซินซินไม่เคยงอแงเลยตั้งแต่เกิดมา แถมยังรู้ความมากกว่าเด็กวัยเดียวกันเป็นอย่างมาก
รวมถึงเรื่องความเป็นอยู่ในบ้านด้วยต่างก็ได้อาศัยสิ่งของที่ซินซินเสกออกมาจากความว่างเปล่าทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ซินซินก็อายุได้สามหนาวแล้วสิ่งของที่เสกออกมาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมด จนเขาและภรรยารวมทั้งผู้เป็นแม่ก็กังวลใจว่าสิ่งเหล่านี้จะมีผลอะไรกับร่างกายของลูกสาวตัวน้อยที่แสนจะน่ารักนี้หรือไม่ พวกเขาก็ได้แต่รอและเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง หากลูกเขามีอะไรผิดปกติก็จะได้รีบพาไปหาหมอ
แต่พวกเขาก็ได้รู้สึกโล่งใจเมื่อตอนที่ซินซินอายุได้หนึ่งหนาวลูกสาวของเขาก็พูดขึ้นมา เขาถึงได้รู้ว่าลูกสาวเขารู้ถึงความกังวลใจนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนั้นยังเป็นเด็กทารกจึงไม่สามารถบอกได้
พอพูดได้ลูกสาวของเขาก็ได้พูดถึงคำตอบของเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนแทนที่จะเรียกแม่เรียกพ่อก่อนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขาก็คิดว่าลูกสาวเขาต้องเป็นเทพธิดามาเกิดจริง ๆ เป็นแน่ ทั้งเขาและครอบครัวต่างก็ได้คุกเข่าอยู่ที่พื้นและก็ทำความเคารพไปยังสวรรค์เบื้องบนที่ยอมให้เทพธิดามาเกิดเป็นลูกของเขา
“ป๋อจ๋า จะต่ายจ๊ะ หนูอยากเลี้ยงกระต่าย” ซินซินพยายามเรียกพ่อของตนหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เห็นพ่อของตนตอบตัวเองสักที จึงได้ใช้แขนสั้น ๆ ป้อม ๆ ของตนมาเขย่าแขนที่มีแต่กล้ามเนื้อของพ่อตนอีกแรง
“ห๊ะ! ละลูกว่าอะไรนะครับ” ผู้เป็นพ่อถามลูกขึ้นมาด้วยเสียงไม่แน่ใจ ฝ่ายเจ้าตัวน้อยตอนนี้ก็ได้อมลมจนแก้มป่องยกมือกอดอกมองพ่อของตนด้วยอาการงอน พ่อที่เห็นลูกของตนเหมือนจะงอนตนไปแล้วก็เริ่มที่จะร้อนรน
ทางด้านผู้เป็นแม่และย่าที่มองเห็นภาพนี้ก็ได้แต่อมยิ้มกับการช่างกลั่นแกล้งของลูกและหลานสาวของตน คนในครอบครัวต่างก็ดูออกกันทั้งนั้นว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้ชอบแกล้งผู้เป็นพ่อและพี่ชายเป็นที่สุด ก็คงจะมีแต่สองคนนี้เท่านั้นแหละที่มองไม่เห็น
“กระต่าย หนูอยากได้กระต่ายจ๊ะป๋อจ๋า” ซินซินพยายามพูดออกเสียงให้ช้าลงและค่อย ๆ เอ่ยอย่างชัด ๆ เมื่อผู้เป็นพ่อได้ฟังก็ไม่อยากขัดความปรารถนาของลูกสาวตัวน้อย แต่กระต่ายมันปราดเปรียวมากและมันจะอยู่นิ่ง ๆ ให้เขาจับได้อย่างไรกัน
“พ่อจะพยายามนะลูก หากพ่อเห็นมันและมันยอมให้พ่อจับพ่อก็จะจับมันมาให้หนู” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นอย่างกลาง ๆ ออกมาเพราะเขาก็ไม่อยากให้ลูกสาวของเขาผิดหวังเช่นกัน
“ได้แน่นอนจ้ะ” ซินซินตัวน้อยกล่าวขึ้นพร้อมยืดอกน้อย ๆ ของตนด้วยความมั่นใจ เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสามคนเห็นต่างก็ยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวน้อยนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อสัญญาณกริ่งเริ่มงานดังขึ้นพ่อและย่าก็เดินลงไปทำงานในแปลงนาต่อทันที ตอนนี้ย่าเยว่จินอายุสี่สิบสองปีแล้วแต่รูปร่างและใบหน้ายังคงเหมือนคนอายุแค่สามสิบกว่า ๆ เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะทำงานในทุ่งนาก็ไม่ได้มีผลอะไรมากระทบความงามของผู้เป็นย่าของตนได้เลย
ทางด้านแม่และลูกสาวก็ต่างพากันจูงมือเดินกลับบ้าน หากถามว่าทำไมแม่ถึงไม่ขี่จักรยานออกมาทั้ง ๆ ที่ก็มีจอดอยู่ถึงสองคัน นั่นก็เพราะจักรยานมันสูงเกินไปแม่กลัวว่าตอนที่แม่ขี่ซินซินอาจจะพลัดตกลงมาได้ และอีกอย่างแปลงนาก็อยู่ไม่ไกลการเดินก็เหมือนเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
เมื่อเดินเข้าบ้านมาเรียบร้อยแม่ก็พาลูกสาวที่ตาปรือแทบจะปิดอยู่ร่อมร่อมาล้างมือล้างเท้าและเช็ดให้แห้ง แล้วหลังจากนั้นก็พาเจ้าตัวน้อยเข้านอนกลางวัน
หน้านี้เริ่มที่จะเข้าหน้าฝนแล้วอากาศจึงไม่ร้อนเท่าใดนัก ซินซินตัวน้อยจึงหลับสบายตอนนี้ที่บ้านก็มีไฟฟ้าเข้ามาแล้วเช่นกัน ซินซินเองก็ได้เอาเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ออกมาอย่างมากมายและได้เคยให้อากับพ่อของตนเอาไปขายมาหลายอย่างแล้วด้วย
ทางด้านฮัวเหมยที่แต่งงานออกไปก็ต้องไปอาศัยอยู่กับสามีที่บ้านในเมืองสีซือทำให้ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยนักแต่มาทีก็มักจะมาคุยเล่นแต่กับเจ้าตัวน้อยนี้อย่างเดียว ทั้งสองอาหลานต่างก็สนิทกันมาก ดูอย่างตอนที่ฮัวเหมยแต่งงานซินซินก็นำสินเดิมที่ควรจะมีก็นำมาให้อาของตนอย่างมากมายรวมทั้งพัดลมและตู้เย็นด้วยจนคนที่มาในงานแต่งนั้นไม่กล้าที่จะดูถูกฮัวเหมยอีกเลยว่าเป็นแค่ลูกชาวนา ถึงแม้ว่าตัวฮัวเหมยเองจะทำงานเป็นถึงรองผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเหมืองก็ตาม
เมื่อฮัวเหมยได้รู้ความจริงเรื่องหลานของตนอีกคนก็ได้แต่ตกตะลึงและคิดว่าตนจะต้องปกป้องหลานเทพธิดาน้อยของตนจากคนที่คิดไม่ดีให้จงได้
สาเหตุที่ฮัวเหมยตัดสินใจแต่งงานกับจางหยางก็เพราะนอก จากที่เขาเป็นผู้ชายที่ดีแล้ว เธอเองก็ต้องการอำนาจของเขาเพื่อที่จะได้นำมาปกป้องคนในครอบครัวของเธอได้ ถึงใครเขาจะพูดว่าลูกสาวแต่งงานไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไปก็ตาม
แต่สำหรับครอบครัวเธอไม่ใช่อย่างนั้นจะมีใครกันที่สามารถมอบสินเดิมให้กับลูกสาวได้เหมือนอย่างบ้านของเธอซูเหมยก็ได้แต่นั่งระลึกถึงความหลังขึ้นมา แล้วก็เย็บเสื้อที่ตัดค้างเอาไว้ให้ลูกชายของตนไปด้วย ส่วนของลูกสาวนั้นเธอเย็บเสร็จหมดแล้วจนต้องแก้ก็หลายรอบเพราะลูกสาวของเธอโตเร็วมากกินก็เก่ง เผลอแป๊บ ๆ กระดุมเสื้อกระเด็นหลุดบ้าง กางเกงคับบ้าง เจ้าตัวเองก็ไม่ได้เคยสงสัยในตัวเองเลยว่ากินจนตัวกลมแทบจะกลิ้งได้อยู่แล้ว
ซูเหมยได้มองลูกสาวตัวเองที่ตอนนี้กำลังหลับพร้อมกับเกาพุงและน้ำลายไหลยืดออกมาด้วย เธอจึงได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำลายเจ้าตัวน้อยเพียงเท่านั้น
“แม่ครับ ผมกลับมาแล้วครับ” ซานซานตะโกนเรียกผู้เป็นแม่อยู่หน้าบ้านเพราะเขารู้ว่าแม่ต้องอยู่กับน้องแค่สองคนเป็นแน่
แอ๊ด เสียงเปิดประตูจากด้านในดังขึ้น
“ปีจายมาแย้ว” แต่เสียงที่พูดขึ้นมาต้อนรับเขาคือน้องน้อยผู้น่ารัก
“ทำไมวันนี้น้องตื่นเร็วจังครับ” ซานซานก็ถามน้องสาวของตนด้วยความแปลกใจ
“น้องจะไปจับกระต่าย” ซินซินพยายามพูดขึ้นชัด ๆ ผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ด้วยต่างก็ฟังสองพี่น้องที่สนทนากันด้วยความเอ็นดู
“เข้าบ้านก่อนลูก หนูมีการบ้านหรือเปล่าครับ” ผู้เป็นแม่ถามลูกชายของตน
“มีครับแม่ เดี๋ยวผมจะรีบทำให้เสร็จเพื่อที่จะได้พาน้องไปที่ทุ่งนา แม่ไปทำกับข้าวเถอะครับเดี๋ยวผมดูน้องเอง” ซานซานก็บอกกับผู้เป็นแม่พร้อมกับจูงมือน้องของตนไปยังห้องของเขาเอง ฝ่ายผู้เป็นน้องก็เชื่อฟังพี่ชายจับจูงไปก็ไปเมื่อมาถึงห้องพี่ชายก็หยิบการบ้านของตนขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“น้องนั่งรอพี่ก่อนนะ พี่จะรีบทำการบ้านให้เสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปจับกระต่ายกัน” ฝ่ายพี่ชายพูดขึ้น
“ใจแล้ว” น้องสาวก็ตอบรับคำพร้อมกับหยิบอุปกรณ์วาดรูปของตนออกมาวาดรูประหว่างรอพี่ชายทำการบ้าน ทั้งสองพี่น้องต่างก็จมอยู่กับในโลกของตนเอง
“พี่ทำการบ้านเสร็จแล้วครับเราจะไปกันเลยไหม ตอนนี้พ่อและย่าน่าจะยังไม่เลิกงาน” ซานซานพูดขึ้นขณะที่เก็บการบ้านที่ทำเสร็จแล้วลงกระเป๋านักเรียนของตนที่น้องสาวนำออกมาให้ตอนที่เขาเริ่มไปโรงเรียน
“ไปกันจ้ะ” ซินซินก็เก็บอุปกรณ์ของตนเข้ามิติไปแล้วเงยหน้าตอบพี่ชายพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้ด้วย สองพี่น้องได้เดินจูงมือกันมาหาผู้เป็นแม่ในครัวแล้วผู้เป็นพี่ชายก็เป็นคนขออนุญาตแม่ตัวเองออกมา
“แม่ครับผมพาน้องไปทุ่งนานะครับ เดี๋ยวผมกับน้องจะกลับมาพร้อมย่ากับพ่อ” ซานซานพูดขอกับผู้เป็นแม่
“พาน้องเดินไปดี ๆ นะลูก อย่าทิ้งน้องไปไหนเด็ดขาดเข้าใจไหมครับ” ผู้เป็นแม่กล่าวย้ำถึงแม้จะรู้ว่าลูกสาวของตนฉลาดก็ตามแต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กเท่านั้น
“ครับ/ค่ะ หนูจะไม่ดื้อด้วย” พี่ชายและน้องสาวตอบรับขึ้นมาพร้อมกัน และเจ้าตัวน้อยก็เอ่ยสำทับออกมาอีกครั้งเพื่อว่าแม่จะได้มั่นใจ
เมื่อมาถึงทุ่งนาก็มองไปที่พ่อและย่าเห็นทั้งสองต่างก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้นแล้วเสียงกริ่งเลิกงานก็ดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ทุกคนที่อยู่ในทุ่งนาก็เริ่มทยอยพากันออกมา
แต่ยกเว้นพ่อและย่าที่ตอนนี้กำลังมองจ้องกระต่ายสองตัวที่อยู่ต่อหน้าตน กระต่ายเหมือนจะยืนรอเขาและแม่ให้เดินเข้าไปจับมันอย่างเชิญชวนว่ามาจับฉันสิ มาจับฉัน เมื่อพ่อและย่าเห็นแบบนั้นจึงได้จับมันขึ้นมาทันทีและมันทั้งสองตัวก็ไม่หนีซะด้วย
เขากับแม่ได้นำกระต่ายมาผูกเชือกที่ขากระต่ายทั้งสองตัวแล้วก็นำไปใส่ไว้ในตะกร้าแล้วเอาเศษหญ้ามาคลุมปิดไว้อีกชั้น เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็เพิ่งจะเห็นว่าลูกน้อยของตนมายืนรอตนอยู่ ฝ่ายพ่อก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากระต่ายสองตัวนี้คงเป็นฝีมือของลูกสาวตัวน้อยเป็นแน่
เมื่อเด็ก ๆ พากันกลับบ้านมาแล้วคนในบ้านที่พากันกลับบ้านมาก่อนก็โล่งใจเพราะพ่อกับทวดหมิงกำลังจะออกไปตามหาลูกและหลานของตนเนื่องจากพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับมาจากทุ่งนาแล้วไม่เห็นเด็ก ๆ พอถามคนที่อยู่บ้านจึงได้รู้ว่าเด็ก ๆ พากันออกไปข้างนอกกับซานซานพวกเขาจึงได้แต่ร้อนใจเพราะตอนที่พวกเขาทั้งสามกลับมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว“ปี้ชายจินไก่ย่างฮับ” เสียงแฝดผู้น้องพูดกับซานซานเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้านแล้ว จินเป่าและทวดหมิงเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งออกมาดู“มานี่กันทั้งสี่คนเลยทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งกลับมากันรู้ไหมว่าทุกคนในบ้านเป็นห่วงพวกลูกมากขนาดไหน ซานซานลูกพาน้อง ๆ ไปถึงไหนมาพ่อจะทำโทษพวกลูกบ้างแล้ว” จินเป่าพูดกับลูก ๆ ของตนด้วยความโล่งใจและโมโห“เอาหน่าพวกเด็ก ๆ ก็กลับมาแล้วหลานก็เลิกโมโหเถอะ แต่เรื่องลงโทษตาเองก็เห็นด้วยนะ” ทวดหมิงพูดกับจินเป่า แต่ประโยคหลังหันไปมองหน้าเด็กน้อยทั้งสี่“พวกเราขอโทษครับ/ค่ะ/ฮะ” ทั้งสี่คนก้มหน้ายอมรับผิดแล้วขอโทษพ่อและทวดของตน“คราวหลังพวกซานซานห้ามพาน้องออก
ตั้งแต่ที่ซินซินและซานซานมีน้องทุกวันทั้งสองจะต้องมานั่งเล่นกับน้องชายตลอด เด็กน้อยเองก็ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและรู้ความมากจนซินซินคิดว่าน้องชายคนใหม่ทั้งสองไม่น่าจะอายุแค่หนึ่งปีได้เลยพ่อได้ตั้งชื่อให้กับน้องชายทั้งสองพ้องกับผู้เป็นพี่ชายและพี่สาว โดยแฝดผู้พี่ให้ชื่อว่าซินซาน และแฝดคนน้องให้ชื่อว่าซานซิน ทั้งสองเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากและถึงแม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนซินซานนั้นจะมีความสุขุมนิ่ง ๆ เมื่อเจอกับคนอื่นแต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวเจ้าตัวมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ส่วนซานซินนั้นมักจะขี้อ้อนแต่ถ้าเวลาเจอกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้าตัวเล็กนี้ก็จะแค่ยิ้มเหมือนกับเด็กอารมณ์ดีธรรมดาเพียงเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาถูกตัวเหมือนกับแฝดพี่ของตนทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ช่างหวงเนื้อหวงตัวเสียจริง กาลเวลาก็ผันผ่านไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วซึ่งก็เป็นอะไรที่ร้อนมากจริง ๆพ่อ ทวดหมิง และแม่ซูเหมยก็พากันไปทำงานในทุ่งนาหมดแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ซินซินเมื่อเห็นทั้งสา
เมื่อเจ้าตัวน้อยตื่นนอนแล้วเธอก็ยังคงงง ๆ อยู่แล้วพยายามทบทวนความฝันว่าเจ้าแม่บอกว่ายังไงบ้าง ตอนนี้ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วจากหิมะที่ตกหนักขึ้นก็เริ่มที่จะเบาบางลง วันนี้ตั้งแต่คนบ้านซูตื่นนอนแล้วมาทานอาหารเช้าร่วมกันทุกคนต่างก็พากันแปลกใจที่เจ้าตัวน้อยของบ้านนั่งเงียบผิดปกติ เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง“ซินซินหนูเป็นอะไรคะกับข้าววันนี้ก็เป็นของโปรดของหนู ทำไมถึงได้กินน้อยจัง” ซูเหมยถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง“คือตอนรุ่งเช้าหนูฝันถึงเจ้าแม่หนี่วาค่ะ ท่านมาบอกว่ามีคนต้องการขอความช่วยเหลือจากหนูท่านให้หนูไปที่ทะเลสาบ จิวหูก็จะรู้เองค่ะ หนูก็เลยคิดว่าจะเป็นใครกัน” เจ้าตัวน้อยตอบกับทุกคนในครอบครัว“ถ้าท่านบอกมาอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อพาลูกไปดูก็แค่นั้นเอง ลูกไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเยอะหรอกครับรีบทานข้าวเถอะ เมื่อท้องอิ่มเราก็จะได้มีกำลังไงครับ” จินเป่าพูดกับลูกสาว“ทวดว่าเราทุกคนพากันไปหมดบ้านนี่แหละเหลือจินเยว่กับฮุยฟางไว้สองคนก็พอเผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้รู้” ทวดหมิง บอกกับสมาชิกทุกคน“ตกลงครับ/ค่ะ”ดังน
“ซินซินครับหนูพูดแบบนี้ไม่น่ารักนะครับลูก เรื่องของคุณปู่คุณย่าเราตัดสินใจแทนไม่ได้นะครับ” จินเป่าพูดสอนลูกสาวตัวน้อย“หนูขอโทษค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” เจ้าตัวน้อยทำหน้าตาสลดลง เธอยอมรับว่าเธอดีใจที่ได้เห็นผู้เป็นปู่จนเธอลืมคิดว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรพูดออกมา เสียทีนะเราที่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเมื่อผู้ใหญ่ทุกคนเห็นว่าเจ้าตัวน้อยที่น่ารักมีสีหน้าเศร้าหมองจากการสำนึกผิดของตนแล้วก็พากันใจอ่อนด้วยความสงสาร“รู้จักว่าตัวเองทำผิดแล้วยอมรับผิดย่าและทุกคนก็จะให้อภัย” เยว่จินพูดกับหลานสาวพร้อมลูบหัวปลอบโยนเจ้าตัวน้อยไปด้วย“ค่ะคุณย่า” เจ้าตัวน้อยเมื่อได้รับการปลอบโยนจากผู้เป็นย่าก็ยิ้มอย่างดีใจตอนนี้เธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่อยู่ ตอนเยว่จินเข้ามาใกล้อี้เฟิงเพื่อลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากหญิงในดวงใจจนหัวใจของอี้เฟิงเต้นแรงมากขึ้นจนเขากลัวว่ามันจะเต้นแรงจนจะสามารถทะลุอกของเขาออกมาได้ไหมแต่สำหรับการแสดงออกทางใบหน้าเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการเขินอายออกมา ทำไมม
หลังจากที่ทุกคนอยู่คุยกันที่บ้านของซูจ้านไปสักพัก จนตอนนี้เวลาก็บ่ายมากแล้วพวกเขาทุกคนก็ต่างมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะกลับบ้านของจินเป่าได้แล้ว“อาจ้านพ่อกับแม่ไปก่อนนะอย่าลืมล่ะว่าถ้ามีเวลาก็ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนั้น แล้วก็บอกลูกเมียของแกไว้ด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องแวะไปหาพ่อที่โรงถ่านหินนั่นอีกแล้ว และเมียแกกับลูกสะใภรวมทั้งหลานชายของแกจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ หรือว่าทางฐานทัพที่ซูอวิ้นอยู่ก็มีหิมะตกหนักเหมือนกัน จนรถเดินทางไม่ได้” ซูหมิงถามผู้เป็นลูกชาย“ใช่ครับพ่อวันก่อนผมโทรไปสอบถามที่ฐานที่ซูอวิ้นประจำการอยู่บอกว่ารถไม่สามารถเดินทางได้ ทุกคนจึงต้องอยู่กับเขาอีกสักพักจนหิมะหยุดและสามารถเปิดทางเดินรถได้โน่นแหละครับ”“ถ้าอย่างนั้นแกก็ปิดบ้านแล้วไปอยู่บ้านน้องสาวของแกกับพ่อแม่ไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงนี้โรงงานก็ปิดอยู่นี่” ฮุยฟางก็ถามผู้เป็นลูกขึ้นมาบ้าง“ยังไปไม่ได้หรอกครับถึงโรงงานจะปิดผมก็ยังต้องตรวจเอกสารบางอย่างอยู่ แล้วช่วงนี้เจ้าหลานเขยก็ต้องไปลงพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยด้วยทำให้ฮัวเหมยต้องอยู่คนเดียวผมก็ต้องแวะไปดูหลานสาวบ่อย ๆ เพราะเจ้าหลานเ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากครอบครัวบ้านซูกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อและลูกชายหญิงก็พากันออกไปด้านนอก ตอนนี้หิมะได้กองทับถมกันตามพื้นทำให้มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ซินซินเห็นดังนี้จึงคิดว่าควรจะใช้รถลากสำหรับการเดินทางผ่านหิมะดีกว่า“พ่อจ๋าเราใช้รถลากเลื่อนสำหรับการเดินทางผ่านหิมะกันดีไหม หนูจะขอพรให้เรามีรถลากเลื่อนพร้อมสุนัขตัวโตสักหกตัวให้สามารถลากรถพาพวกเราทั้งสามเข้าไปเมืองได้” เจ้าตัวน้อยถามความคิดเห็นของผู้เป็นพ่อ“ก็ดีเหมือนกันนะลูก ขอแบบมีหลังคากันหิมะด้วยได้ไหมครับ”หลังจบคำพูดของผู้เป็นพ่อก็มีรถลากเลื่อนคันใหญ่ขนาดที่ผู้ใหญ่สามคนนั่งได้สบาย ๆ พร้อมสุนัขตัวโตขนปุยสีเทาขาวตาสีฟ้าปรากฎขึ้นพร้อมกับรถลากหกตัว แต่ละตัวสูงเท่าเอวของจินเป่าที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเลยทีเดียว จินเป่าและซานซานที่ได้เห็นรถพร้อมสุนัขที่ลูกสาวและน้องสาวขอพรออกมาต่างก็ตกใจจนตาโตกันไปแล้ว“ฮ่า ๆ พ่อคะพี่คะเรามาขึ้นรถสุดหรูกันเถอะค่ะ” เจ้าแสบตัวน้อยหัวเราะพ่อของตนและพี่ชายเมื่อทั้งสามขึ้นมานั่งบนรถลากเลื่อนคันนี้แล้







