LOGINหลังจากที่พ่อได้จับกระต่ายและซ่อนไว้ก็ได้หันมาเห็นลูกทั้งสองของตน โดยเฉพาะลูกสาวที่ส่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบครบทุกซี่ส่งมาให้ พ่อจึงได้รับรู้อย่างแน่ชัดว่าต้องเป็นเพราะลูกสาวของตนเป็นแน่ที่สามารถทำให้ตนและผู้เป็นแม่จับกระต่ายได้อย่างง่ายดาย
“พ่อจ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นพ่อเดินเข้ามาใกล้ตนแล้ว ซินซินก็ได้พูดขึ้นกับผู้เป็นพ่อแล้วก็อ้าแขนของตนออกทั้งสองข้าง
“ครับลูกสาวพ่อ แต่ต้องทนเหม็นเหงื่อจากตัวพ่อนะครับ” ฝ่ายผู้เป็นพ่อผู้หลงลูกอยู่แล้วมีหรือจะขัดใจ เขาได้ถอดเสื้อตัวนอกออกเพราะกลัวลูกน้อยจะคันตัวเพราะเขาทำงานในทุ่งนามาทั้งวัน
“ม่ายเหม็นค่ะ” ฝ่ายลูกสาวเมื่อถูกพ่ออุ้มขึ้นมาแล้วก็พูดขึ้น คนทั้งหมดก็พากันเดินกลับบ้านของตน แต่พวกเขาไม่ได้รับรู้เลยว่าในขณะที่พวกเขาจับกระต่ายได้มีสายตาคู่หนึ่งมองตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อพวกเขาพากันเดินห่างออก ไปแล้วร่างที่แอบมองอยู่นั้นก็ได้วิ่งตามออกมาเช่นกัน
“จินเป่า หยุด! แฮก ๆ” ร่างที่วิ่งตามมานั้นได้ตะโกนให้จินเป่าหยุดขณะที่พวกของจินเป่ากำลังจะเดินเลยบ้านตระกูลหลง เมื่อได้ยินเสียงที่บอกให้หยุดจินเป่าก็หยุดชะงักลงทันทีด้วยความแปลกใจว่าใครมาเรียกตนกัน
เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบว่าคนที่เรียกตนนั้นเป็นน้องชายต่างมารดาของตน เมื่อจินเป่าเห็นแล้วว่าเป็นใครเขาจึงไม่ได้สนใจอีกและกำลังจะหันหลังให้กับคนคนนั้น
“แหมพี่จับกระต่ายได้ตั้งสองตัวพี่ไม่คิดจะแสดงความกตัญญูกับย่าและปู่บ้างเหรอ” หลงเหวินได้ตะโกนเสียงดังขึ้นถามกับจินเป่า
“ถ้านายอยากแสดงความกตัญญูก็ไปจับเอาเองสิกระต่ายในทุ่งมีเยอะแยะ แล้วอีกอย่างที่บ้านของนายคนก็ตั้งมาก กระต่ายแค่ตัวสองตัวคงไม่พอกินหรอกมั้ง” ฝ่ายพ่อเองก็ไม่ยอมจึงได้โต้เถียงกลับไป
“ใครมาเอะอะหน้าบ้านของฉันกัน ห๊ะ” เสียงร้องแหลมที่ดังมานี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจินเซียงยายย่าทวดมหาประลัย ซินซินอยากจะกลอกตาขึ้นฟ้าแหมช่างโผล่มาได้จังหวะจริง ๆ
“ย่าครับผมเห็นพี่สามจับกระต่ายมาได้ตั้งสองตัวผมก็แค่ถามว่าจะไม่แบ่งมาให้ย่ากับปู่เพื่อแสดงความกตัญญูบ้างเหรอ แค่นั้นพี่สามก็ตอบโต้ผมขึ้นมาว่าให้ผมไปจับเอาเอง” หลงเหวินก็รีบกุลีกุจอมาฟ้องย่าของตน
“แหม ๆ คนบ้านซูนี่ดีนะคะ เคยเข้ามาอยู่บ้านหลงก็ต้องหลายปีพอได้ดิบได้ดีก็ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันเลย” เสียงจีบปากจีบคอที่พูดออกมาก็คืออี้เหลียน
ที่ตอนนี้ยิ่งมองก็จะยิ่งหาความงามใด ๆ ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เพราะตั้งแต่ที่ย่าตัดขาดออกมางานทุกอย่างผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นคนทำทั้งหมดก็เลยทำให้ไม่สามารถเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ได้เหมือนแต่ก่อนนั่นเอง
เมื่อย่าเยว่จินและพ่อได้ฟังก็ไม่ได้โตเถียงอะไรและก็กำลังจะเดินจากไปอยู่เช่นเดิม ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินออกมา
“นี่จินเป่า เยว่จิน พวกเธอยังไปไม่ได้นะ ต้องเอากระต่ายที่จับมาได้เอามาให้พวกฉันก่อนสิ” ย่าจินเซียงพูดกับจินเป่า
“ถ้าอยากกินกันมากก็ไปจับกันเอาเองเถอะครับผมไม่ให้ใครทั้งนั้นแหละ อีกอย่างพวกผมก็คนบ้านซูไม่ใช่คนบ้านหลงพวกคุณลืมกันไปหรือเปล่าว่าเราได้ตัดขาดกันมานานหลายปีแล้ว” พ่อก็พูดขึ้นมาอย่างเหลืออดกับความหน้าด้านของคนบ้านนี้
“นี่เยว่จิน หล่อนเลี้ยงลูกของหล่อนมาแบบไหนกันถึงได้ไม่มีความเคารพกับผู้อาวุโสเลย” ย่าทวดปากร้ายก็พูดขึ้นมาอีก
“พ่อจ๋า ย่าจ๋า กลับบ้านเตอะจ๊ะ" ซินซินพยายามจะพูดให้ชัดแล้วนะแต่มันได้แค่นี้จะให้ทำไง
เมื่อทั้งสองได้ยินที่หลานสาวและลูกสาวตัวน้อยพูดก็กำลังจะก้าวเดินจากไปและไม่คิดที่จะสนใจเหล่าคนตรงหน้านี้อีก เมื่อหลงเหวินเห็นว่าพี่ชายต่างแม่ของตนกำลังจะจากไปก็ได้เดินมาดึงแขนของจินเป่าที่กำลังอุ้มซินซินอยู่แล้วกระชากอย่างแรง เป็นเหตุให้ซินซินรีบผวากอดคอพ่อของตนด้วยความตกใจทันที
ด้านจินเป่าเองก็ตกใจไม่แพ้กันเพราะหากลูกรักของเขาตกลงมาอาจจะต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อเขาตั้งสติได้แล้วและเห็นว่าลูกสาวตัวน้อยกลัวจนตัวสั่นเขาก็ได้มาปลอบลูกสาวของตนพร้อมลูบหัวลูบหลังไปด้วย
ย่าและพี่ชายของเจ้าตัวน้อยต่างก็ตกใจไม่แพ้กันและรีบเข้ามาดูซินซินด้วยความเป็นห่วงทันที เมื่อเขาทั้งสามเห็นว่า ซินซินปลอดภัยดีแล้วพ่อจึงได้วางซินซินลงกับพื้น ส่วนตัวเองก็ได้เดินเข้าไปหาหลงเหวินที่ยืนอยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก
“โอ๊ย พี่ทำบ้าอะไรมาต่อยหน้าผมทำไม” หลงเหวินร้องโวยวายขึ้นมาเพราะเมื่อจินเป่าเดินมาถึงตัวเขาก็เข้ามาชกที่ใบหน้าของเขาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ก็เป็นการลงโทษที่นายมากระชากแขนของฉันเมื่อกี้จนเกือบทำให้ลูกสาวของฉันตกลงมาไง อยากได้อีกสักหมัดไหม” จินเป่าพูดขึ้นด้วยความโมโห
“ช่วยด้วยจ้า ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว จินเป่ามันจะฆ่าน้องชายมันแล้ว” เสียงที่ร้องดังแสบแก้วหูตะโกนโหวกแหวกขึ้นมานี้มาจากอี้เหลียนแม่ของหลงเหวินนั่นเอง
ชาวบ้านหลายคนต่างก็ได้ออกมายืนดูคอยชมเรื่องสนุกตรงหน้า เข้าทำนองที่ว่าเรื่องคนอื่นคืองานของเราแต่ถ้ามีเหตุการณ์บานปลายก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้นกันล่ะจินเป่า แฮ่ก ๆ” เสียงนี้เป็นเสียงของลุงผู้ใหญ่บ้านที่มีคนวิ่งไปตามเขาว่าจินเป่ากำลังมีเรื่องกับคนบ้านหลงอยู่ เมื่อเขาได้ยินจึงรีบวิ่งมาดู
“ก็คนบ้านหลงนะสิพี่ผู้ใหญ่มาขวางทางพวกเราไม่ให้กลับบ้านและเจ้าหลงเหวินก็ยังมากระชากแขนของจินเป่าที่กำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่ทำให้เจ้าตัวเล็กเกือบจะตกลงมาที่พื้น จินเป่าก็เลยเดินไปชกหน้าของมันหนึ่งทีด้วยความโกรธนี่แหละจ้ะ” คนเป็นย่าของเจ้าตัวเล็กเป็นคนพูดกับผู้ใหญ่บ้านขึ้นมา
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ ทางด้านจินเป่ากับหลงเหวินจึงไม่มีใครได้สังเกตเห็นซินซินที่กำลังเดินเตาะแตะมายังอดีตย่ารองจอมวายร้ายนี้ อยากได้เนื้อกันนักใช่ไหม อยากได้ใช่ไหมกระต่ายอะ เดี๋ยวซินซินจัดให้ตามความต้องการ หึ ๆ
“จิวจิว ผงเรียกสัตว์ตัวน้อยเหล่านี้ได้ผลแน่นะซินซินกลัว เห็นผลช้าซินซินเลยโรยไปที่รองเท้าทั้งสองข้างของผู้หญิงเสียงแหลมนี้หมดซองเลย” ซินซินพูดขึ้นมาพร้อมคิดว่าก็อยากจะโรยให้สูงกว่านี้แต่จนใจก็ตัวเตี้ยได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
“เทซะหมดซองแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้เรียกมากันยกทุ่งหรอกเพื่อนรัก” จิวจิวตอบกลับมา
“ก็ดีแล้วนิพวกเขาจะได้เนื้อสมใจถ้าจับพวกมันได้ล่ะนะ” ซิน ซินก็ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
จิวจิวก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเพื่อนตนแต่มันก็ไม่ได้แย้งอะไร ในสายตามันเพื่อนทำอะไรก็ถูกเสมอ เพราะซินซินไม่เคยรังแกใครก่อนนั่นเอง
เมื่อเจ้าตัวน้อยวางกับดักเรียบร้อยแล้วก็ค่อย ๆ เดินเตาะแตะกลับมายืนข้างย่าของตนดังเดิม ทุกการกระทำของซินซินตกอยู่ในสายตาของพี่ชายอยู่ตลอดเวลาแต่ที่เขาไม่ได้ห้ามน้องสาวเพราะคิดว่าน้องสาวคงมีเหตุผลที่จะทำ
ก็ใครใช้ให้น้องสาวฉลาดกว่าเขากันล่ะ ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนก็อ่านหนังสือออกหมดแล้วเขาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายหากน้องไม่ทำอะไรที่เกินเลยเขาก็จะพยายามปิดหูหลับตาทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก็แล้วกัน
ฝ่ายซินซินที่ย่อมรู้ว่าพี่ชายคิดยังไงก็ได้แต่หันไปยิ้มหวาน ๆ ให้พี่ชายตาใส ประมาณว่าหนูไม่ได้ทำอะไรเลยพี่เชื่อหนูนะ
ตอนนี้ทางด้านบ้านหลงทั้งสามคนต่างก็ไม่ยอมที่จินเป่าเข้ามาชกหน้าหลงเหวินก่อนแม้หลงเหวินจะเป็นฝ่ายผิดที่ไปกระชากแขนจินเป่าก่อนก็ตาม
แต่ลูกสาวของจินเป่าก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บสักหน่อย แต่ตรงกันข้ามกับจินเป่าที่เข้ามาชกใบหน้าหลงเหวินจนมุมปากเริ่มที่จะมีสีม่วง ๆ จากรอยช้ำให้ได้เห็นแล้ว
“ให้ทางคนบ้านซูส่งกระต่ายที่จับได้มาวันนี้ชดใช้แล้วเราจะไม่เอาเรื่อง” เสียงเล็กแหลมของอี้เหลียนพูดขึ้นมา
“ใช่ ๆ ส่งมาทั้งหมดด้วยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งทางการข้อหาทำร้ายร่างกายหลานชายฉัน” เสียงที่ไม่ต่างจากลูกสะใภ้ของตนก็ดังขึ้นมาสมทบ
“จินเป่าจับกระต่ายได้หรือทำไมพวกเราถึงไม่มีใครเห็นกันล่ะ” เสียงชาวบ้านก็พากันพูดขึ้นมาอย่างเอ็ดตะโร
เพราะยุคนี้การจะได้มีเนื้อกินไม่ได้จะมีโอกาสหาได้บ่อย ๆ ซินซินเมื่อได้ยินเสียงชาวบ้านพูดคุยเรื่องที่พ่อเธอจับกระต่ายได้ก็คิดขึ้นมาอย่างรำคาญใจ ถ้าอยากกินกันก็ไปหากันตามโพรงตามรูกันเองจะดีกว่าการใช้ปากพูดไหมคะ
“จิวจิวเก็บกระต่ายเข้ามิติตัวเองก่อนเร็วเข้า เราต้องรีบซ่อนเอาไว้ก่อน” ซินซินรีบสื่อสารกับจิวจิวในหัวของตน
“รับทราบ” หลังจากจบคำของจิวจิวกระต่ายที่อยู่ในตะกร้าทั้งสองตัวก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จิวจิวเป็นภูตผู้พิทักษ์ต้นไม้และสัตว์พิเศษบางชนิดมีมิติเก็บสิ่งมีชีวิตได้ รวมทั้งสามารถทำการควบคุมเหล่าพืชพันธุ์ ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ถึงจะได้ขึ้นชื่อว่าผู้พิทักษ์สัตว์แต่ห่วงโซ่อาหารก็ต้องเป็นไปตามนั้น ดังนั้นเจ้าตัวเล็กนี้จึงชอบกินอาหารที่ทำจากเนื้อเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทอด จะตุ๋น จะย่าง ก็ตาม
ซินซินได้มาดึงขากางเกงของพ่อของตนเพื่อที่เธอจะให้พ่อก้มลงมาคุยกับเธอ เมื่อจินเป่าเห็นลูกสาวตัวน้อยกระตุกขากางเกงตนก็มองด้วยความแปลกใจ ซินซินจึงได้ทำมือให้พ่อนั่งลงเพื่อคุยกับตัวเอง ฝ่ายจินเป่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวบอกแล้วก็ได้ยืนตัวตรงขึ้นแล้วหันไปทางคนบ้านหลงพร้อมพูดว่า
“หากในตะกร้าของผมไม่มีกระต่ายและการที่พวกคุณมาหาเรื่องผมพวกคุณจะชดใช้ยังไงกัน” จินเป่าพูดขึ้นมาบ้าง ทางด้านอี้เหลียนและแม่สามีตอนนี้ต่างก็เริ่มลังเลใจขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเธอสองคนก็ไม่ได้เป็นคนเห็นเองมีแต่อาเหวินที่เป็นคนพูดขึ้นมา
“อย่ามาทำเฉไฉผมเห็นกับตาว่าพี่จับกระต่ายแล้วซ่อนไว้ในตะกร้ามันจะไม่มีได้ยังไง แต่ถ้าหากมันไม่มีจริง ๆ ผมจะไม่เอาเรื่องที่พี่มาชกหน้าผม” หลงเหวินก็พูดขึ้นมาอย่างคน เห็นแก่ตัว
“ลุงผู้ใหญ่มู่เป็นพยานให้ผมด้วยนะครับ” จินเป่าก็หันมาทางผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้เป็นพยานในเรื่องนี้
“ได้สิเดี๋ยวลุงเป็นพยานให้ ชาวบ้านที่อยู่ก็ตั้งเยอะคงไม่มีใครกล้าบิดพลิ้วหรอก” ผู้ใหญ่บ้านตอบตกลงและเหล่าชาวบ้านที่อยู่ล้อมรอบก็พยักหน้าตกลง
“เอาตะกร้าไปค้นดูได้เลยตามสบายทั้งสองใบนี้แหละ” จินเป่าก็ได้เป็นฝ่ายยื่นตะกร้าให้กับคนบ้านหลง คนทั้งสามค้นจนถึงกับเทตะกร้าออกมาก็ไม่เจออะไรนอกจากเศษใบไม้และเสื้อตัวนอกของจินเป่าเพียงเท่านั้น
“ข้าว่าแล้วกระต่ายมันจะจับได้ง่าย ๆ ที่ไหนกันเหอะเสีย เวลาพวกเรากลับบ้านใครบ้านมันกันเถอะหมดเรื่องสนุกแล้ว” เสียงหนึ่งในชาวบ้านพูดออกมา แล้วชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้แยกย้ายกันไปรวมทั้งผู้ใหญ่บ้านและคนบ้านซูที่เก็บตะกร้าของตนกลับมาแล้วเช่นกัน
เมื่อเด็ก ๆ พากันกลับบ้านมาแล้วคนในบ้านที่พากันกลับบ้านมาก่อนก็โล่งใจเพราะพ่อกับทวดหมิงกำลังจะออกไปตามหาลูกและหลานของตนเนื่องจากพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับมาจากทุ่งนาแล้วไม่เห็นเด็ก ๆ พอถามคนที่อยู่บ้านจึงได้รู้ว่าเด็ก ๆ พากันออกไปข้างนอกกับซานซานพวกเขาจึงได้แต่ร้อนใจเพราะตอนที่พวกเขาทั้งสามกลับมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว“ปี้ชายจินไก่ย่างฮับ” เสียงแฝดผู้น้องพูดกับซานซานเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้านแล้ว จินเป่าและทวดหมิงเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งออกมาดู“มานี่กันทั้งสี่คนเลยทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งกลับมากันรู้ไหมว่าทุกคนในบ้านเป็นห่วงพวกลูกมากขนาดไหน ซานซานลูกพาน้อง ๆ ไปถึงไหนมาพ่อจะทำโทษพวกลูกบ้างแล้ว” จินเป่าพูดกับลูก ๆ ของตนด้วยความโล่งใจและโมโห“เอาหน่าพวกเด็ก ๆ ก็กลับมาแล้วหลานก็เลิกโมโหเถอะ แต่เรื่องลงโทษตาเองก็เห็นด้วยนะ” ทวดหมิงพูดกับจินเป่า แต่ประโยคหลังหันไปมองหน้าเด็กน้อยทั้งสี่“พวกเราขอโทษครับ/ค่ะ/ฮะ” ทั้งสี่คนก้มหน้ายอมรับผิดแล้วขอโทษพ่อและทวดของตน“คราวหลังพวกซานซานห้ามพาน้องออก
ตั้งแต่ที่ซินซินและซานซานมีน้องทุกวันทั้งสองจะต้องมานั่งเล่นกับน้องชายตลอด เด็กน้อยเองก็ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและรู้ความมากจนซินซินคิดว่าน้องชายคนใหม่ทั้งสองไม่น่าจะอายุแค่หนึ่งปีได้เลยพ่อได้ตั้งชื่อให้กับน้องชายทั้งสองพ้องกับผู้เป็นพี่ชายและพี่สาว โดยแฝดผู้พี่ให้ชื่อว่าซินซาน และแฝดคนน้องให้ชื่อว่าซานซิน ทั้งสองเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากและถึงแม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนซินซานนั้นจะมีความสุขุมนิ่ง ๆ เมื่อเจอกับคนอื่นแต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวเจ้าตัวมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ส่วนซานซินนั้นมักจะขี้อ้อนแต่ถ้าเวลาเจอกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้าตัวเล็กนี้ก็จะแค่ยิ้มเหมือนกับเด็กอารมณ์ดีธรรมดาเพียงเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาถูกตัวเหมือนกับแฝดพี่ของตนทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ช่างหวงเนื้อหวงตัวเสียจริง กาลเวลาก็ผันผ่านไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วซึ่งก็เป็นอะไรที่ร้อนมากจริง ๆพ่อ ทวดหมิง และแม่ซูเหมยก็พากันไปทำงานในทุ่งนาหมดแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ซินซินเมื่อเห็นทั้งสา
เมื่อเจ้าตัวน้อยตื่นนอนแล้วเธอก็ยังคงงง ๆ อยู่แล้วพยายามทบทวนความฝันว่าเจ้าแม่บอกว่ายังไงบ้าง ตอนนี้ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วจากหิมะที่ตกหนักขึ้นก็เริ่มที่จะเบาบางลง วันนี้ตั้งแต่คนบ้านซูตื่นนอนแล้วมาทานอาหารเช้าร่วมกันทุกคนต่างก็พากันแปลกใจที่เจ้าตัวน้อยของบ้านนั่งเงียบผิดปกติ เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง“ซินซินหนูเป็นอะไรคะกับข้าววันนี้ก็เป็นของโปรดของหนู ทำไมถึงได้กินน้อยจัง” ซูเหมยถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง“คือตอนรุ่งเช้าหนูฝันถึงเจ้าแม่หนี่วาค่ะ ท่านมาบอกว่ามีคนต้องการขอความช่วยเหลือจากหนูท่านให้หนูไปที่ทะเลสาบ จิวหูก็จะรู้เองค่ะ หนูก็เลยคิดว่าจะเป็นใครกัน” เจ้าตัวน้อยตอบกับทุกคนในครอบครัว“ถ้าท่านบอกมาอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อพาลูกไปดูก็แค่นั้นเอง ลูกไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเยอะหรอกครับรีบทานข้าวเถอะ เมื่อท้องอิ่มเราก็จะได้มีกำลังไงครับ” จินเป่าพูดกับลูกสาว“ทวดว่าเราทุกคนพากันไปหมดบ้านนี่แหละเหลือจินเยว่กับฮุยฟางไว้สองคนก็พอเผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้รู้” ทวดหมิง บอกกับสมาชิกทุกคน“ตกลงครับ/ค่ะ”ดังน
“ซินซินครับหนูพูดแบบนี้ไม่น่ารักนะครับลูก เรื่องของคุณปู่คุณย่าเราตัดสินใจแทนไม่ได้นะครับ” จินเป่าพูดสอนลูกสาวตัวน้อย“หนูขอโทษค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” เจ้าตัวน้อยทำหน้าตาสลดลง เธอยอมรับว่าเธอดีใจที่ได้เห็นผู้เป็นปู่จนเธอลืมคิดว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรพูดออกมา เสียทีนะเราที่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเมื่อผู้ใหญ่ทุกคนเห็นว่าเจ้าตัวน้อยที่น่ารักมีสีหน้าเศร้าหมองจากการสำนึกผิดของตนแล้วก็พากันใจอ่อนด้วยความสงสาร“รู้จักว่าตัวเองทำผิดแล้วยอมรับผิดย่าและทุกคนก็จะให้อภัย” เยว่จินพูดกับหลานสาวพร้อมลูบหัวปลอบโยนเจ้าตัวน้อยไปด้วย“ค่ะคุณย่า” เจ้าตัวน้อยเมื่อได้รับการปลอบโยนจากผู้เป็นย่าก็ยิ้มอย่างดีใจตอนนี้เธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่อยู่ ตอนเยว่จินเข้ามาใกล้อี้เฟิงเพื่อลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากหญิงในดวงใจจนหัวใจของอี้เฟิงเต้นแรงมากขึ้นจนเขากลัวว่ามันจะเต้นแรงจนจะสามารถทะลุอกของเขาออกมาได้ไหมแต่สำหรับการแสดงออกทางใบหน้าเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการเขินอายออกมา ทำไมม
หลังจากที่ทุกคนอยู่คุยกันที่บ้านของซูจ้านไปสักพัก จนตอนนี้เวลาก็บ่ายมากแล้วพวกเขาทุกคนก็ต่างมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะกลับบ้านของจินเป่าได้แล้ว“อาจ้านพ่อกับแม่ไปก่อนนะอย่าลืมล่ะว่าถ้ามีเวลาก็ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนั้น แล้วก็บอกลูกเมียของแกไว้ด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องแวะไปหาพ่อที่โรงถ่านหินนั่นอีกแล้ว และเมียแกกับลูกสะใภรวมทั้งหลานชายของแกจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ หรือว่าทางฐานทัพที่ซูอวิ้นอยู่ก็มีหิมะตกหนักเหมือนกัน จนรถเดินทางไม่ได้” ซูหมิงถามผู้เป็นลูกชาย“ใช่ครับพ่อวันก่อนผมโทรไปสอบถามที่ฐานที่ซูอวิ้นประจำการอยู่บอกว่ารถไม่สามารถเดินทางได้ ทุกคนจึงต้องอยู่กับเขาอีกสักพักจนหิมะหยุดและสามารถเปิดทางเดินรถได้โน่นแหละครับ”“ถ้าอย่างนั้นแกก็ปิดบ้านแล้วไปอยู่บ้านน้องสาวของแกกับพ่อแม่ไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงนี้โรงงานก็ปิดอยู่นี่” ฮุยฟางก็ถามผู้เป็นลูกขึ้นมาบ้าง“ยังไปไม่ได้หรอกครับถึงโรงงานจะปิดผมก็ยังต้องตรวจเอกสารบางอย่างอยู่ แล้วช่วงนี้เจ้าหลานเขยก็ต้องไปลงพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยด้วยทำให้ฮัวเหมยต้องอยู่คนเดียวผมก็ต้องแวะไปดูหลานสาวบ่อย ๆ เพราะเจ้าหลานเ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากครอบครัวบ้านซูกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อและลูกชายหญิงก็พากันออกไปด้านนอก ตอนนี้หิมะได้กองทับถมกันตามพื้นทำให้มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ซินซินเห็นดังนี้จึงคิดว่าควรจะใช้รถลากสำหรับการเดินทางผ่านหิมะดีกว่า“พ่อจ๋าเราใช้รถลากเลื่อนสำหรับการเดินทางผ่านหิมะกันดีไหม หนูจะขอพรให้เรามีรถลากเลื่อนพร้อมสุนัขตัวโตสักหกตัวให้สามารถลากรถพาพวกเราทั้งสามเข้าไปเมืองได้” เจ้าตัวน้อยถามความคิดเห็นของผู้เป็นพ่อ“ก็ดีเหมือนกันนะลูก ขอแบบมีหลังคากันหิมะด้วยได้ไหมครับ”หลังจบคำพูดของผู้เป็นพ่อก็มีรถลากเลื่อนคันใหญ่ขนาดที่ผู้ใหญ่สามคนนั่งได้สบาย ๆ พร้อมสุนัขตัวโตขนปุยสีเทาขาวตาสีฟ้าปรากฎขึ้นพร้อมกับรถลากหกตัว แต่ละตัวสูงเท่าเอวของจินเป่าที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเลยทีเดียว จินเป่าและซานซานที่ได้เห็นรถพร้อมสุนัขที่ลูกสาวและน้องสาวขอพรออกมาต่างก็ตกใจจนตาโตกันไปแล้ว“ฮ่า ๆ พ่อคะพี่คะเรามาขึ้นรถสุดหรูกันเถอะค่ะ” เจ้าแสบตัวน้อยหัวเราะพ่อของตนและพี่ชายเมื่อทั้งสามขึ้นมานั่งบนรถลากเลื่อนคันนี้แล้







