“ย่าคะ บ้านเรามีเก๋ากี้หรือเปล่าคะ” เด็กหญิงถามหญิงชราเมื่อเห็นข้อความที่ลอยอยู่ในหม้อว่าต้องเติมสิ่งใดลงไป
“ตายจริง! ย่าว่าแล้วลืมอะไร ดีนะที่หลานพูดขึ้น” กู้หนิงเช็ดมือก่อนจะเดินไปหยิบในสิ่งที่หลานสาวต้องการมาใส่ในหม้อ
“ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงว่าย่ายังไม่ได้ใส่อะไร” หญิงชราหลังจากใส่สิ่งที่ตนลืมแล้ว หันมามองหน้าหลานสาวอย่างสงสัยก่อนถาม
“ฮ่า ๆ หนูเดาเอาค่ะ ปกติเวลาย่าทำสิ่งนี้มักจะต้องใส่ลงไปทุกครั้งนี่คะ” หลินซีหัวเราะกลบเกลื่อนตอบออกไป
“หนูนี่ช่างสังเกตดีนะ” กู้หนิงกล่าวชม จากนั้นเธอก็เดินไปหั่นผักที่ล้างเรียบร้อยแล้วเพื่อจะนำมาผัด
“ย่าคะ ให้หนูเป็นคนทำกับข้าวเองนะคะ” เด็กหญิงกล่าวอาสา แม้ว่าฝีมือของเธอจะไม่ถึงขั้นเลิศรสแต่ก็จัดได้ว่าอร่อย ดังนั้นเธอจึงคิดอยากแบ่งเบาภาระของผู้เป็นย่าอีกทั้งยังได้สร้างความสนิทสนมภายในตัวไปด้วย
“ลูกสาวแม่แน่ใจหรือจ๊ะ” เจียวเหมยหลังจากเก็บข้าวของที่นำมาจากโรงพยาบาลเข้าที่เรียบร้อยแล้วเดินเข้าครัวมาทันได้ยินคำพูดของลูกเข้าพอดีจึงได้กล่าวแซวออกมา
“แม่ลองชิมดูได้เลยค่ะ หนูรับรองได้ว่าทุกคนจะต้องติดใจ” หลินซีตอบออกมาอีกครั้ง
การกระทำของหลินซีในเรื่องนี้ไม่จัดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เนื่องจากเด็กหญิงมักจะช่วยแม่เข้าครัวอยู่บ่อยครั้ง ทว่ารสชาติของอาหารก็ไม่ได้จัดว่าอร่อยอย่างที่เจ้าตัวคุย
“ตามใจหลานเถอะ ว่าแต่เธอจะไปทำงานเมื่อไหร่กัน หยุดมาหลายวันแล้วผู้อำนวยการหม่าจะไม่ว่าอะไรเอาหรือ” กู้หนิงพูดอย่างเอาใจหลานก่อนถามถึงเรื่องงานของลูกสะใภ้
“พรุ่งนี้ค่ะ ฉันใช้วันลาของทั้งปีเลยทีเดียว จะได้หยุดอีกทีคาดว่าคงเป็นช่วงก่อนปีใหม่สามวันแล้วละค่ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวตอบหญิงชราตามจริง
“แม่คะ หนูขอโทษนะคะ เป็นเพราะหนูแท้ ๆ ทำให้แม่ต้องมาเหนื่อยไปด้วย” เด็กหญิงผู้ได้ยินคำตอบของแม่กล่าวอย่างสำนึกผิด หากว่าเธอไม่แต่งชุดกระโปรงผ้าที่เหมาะกับช่วงหน้าร้อน ที่ผู้หญิงคนนั้นให้ในช่วงอากาศเย็น หล่อนก็คงไม่ป่วยจนทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนกันไปทั่ว
“เรื่องมันผ่านมาแล้วช่างมันเถอะ ลูกแค่จำเอาไว้เป็นบทเรียนก็พอแล้ว” ผู้เป็นแม่กล่าวปลอบลูกสาวที่กำลังมีสีหน้าหมองด้วยความรู้สึกผิดตามที่เจ้าตัวพูด
“เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้ว รีบทำกับข้าวเถอะยังมีปลาอีกตัวที่ยังต้องการจัดการอีกอย่างนะ ว่าแต่หลานต้องการเอามาทำอะไรดีล่ะ”
“ทำปลานึ่งบ๊วยค่ะ” หลินซีตอบโดยไม่ต้องคิดเนื่องจากอาหารจานนี้ผู้เป็นย่าของเธอชอบ
“ตามใจ” กู้หนิงเอ่ยขึ้นก่อนจะไปเตรียมวัตถุดิบโดยมีเจียวเหมยคอยช่วยอีกแรง
ส่วนหลินซีก็จัดการตั้งกระทะเพื่อจะทำผัดผัก ด้านประตูหน้าห้องครัวเหล่าชายต่างวัยทั้งสี่พากันมองภาพด้านหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“พ่อครับ น้องสาวเปลี่ยนไปแล้ว” หลินชิวพูดขึ้นโดยที่สายตายังจับจ้องทุกอากัปกิริยาของน้องที่กำลังทำอาหารด้วยความคล่องแคล่ว
“เปลี่ยนไปในทางที่ดีก็ดีแล้วนี่ ต่อจากนี้บ้านของเราจะได้อยู่กันอย่างสงบรักใคร่ปรองดอง” ปู่ผู้ชราขยับขาแว่นกล่าวขึ้น สีหน้ามีความสุข
“ผมเห็นด้วยกับคำพูดของปู่” หลินชุนกล่าวอย่างเห็นตาม
กับข้าวที่หลินซีกำลังทำในบัดนี้ก็เกิดกลิ่นหอมไปทั่วบ้านชวนให้ผู้คนอยากลิ้มลอง
“น้องสาวทำอะไรครับ ทำไมกลิ่นมันหอมแบบนี้” หลินชิวได้เดินเข้าไปในครัวมองสิ่งที่น้องกำลังทำพร้อมถามออกมา
“ผัดผักค่ะ พี่รองหิวหรือคะ” เด็กหญิงตอบในขณะที่กำลังผัดผักตามระยะเวลาที่ตนเห็นจากขีดที่ปรากฏออกมาในกระทะ
จนกระทั่งขีดนั้นหมดลง เด็กหญิงก็หยุดมือพร้อมกับตักสิ่งที่ตนทำใส่จาน “พี่รอง ชิมดูสิคะว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นน้องได้ใช้ช้อนตักสิ่งที่ตัวเองทำจ่อไปยังริมฝีปากของพี่ชายคนที่สอง
“ระ..ร้อน แต่ว่าอร่อยมากเลย น้องสาวพี่เก่งใหญ่แล้ว” เด็กหนุ่มอ้าปากรับในสิ่งที่น้องป้อนโดยไม่เป่าพูดออกมาเสียงดัง
“อร่อยจริง ๆ นะคะ ไม่ใช่ว่าพี่พูดเอาใจฉันนะ” หลินซีถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจ เนื่องจากเธอแค่ลองทำตามสิ่งที่เห็นเพื่อทดสอบดูเท่านั้น
“ขอพี่ชิมด้วยสิครับ” หลินชุนผู้ไม่อยากน้อยหน้าน้องชายคนรองกล่าวออกมาบ้างเมื่อเดินมาถึงตัวน้องทั้งสองคน
“ได้สิคะ พี่ใหญ่ระวังร้อนนะคะ เดี๋ยวจะเหมือนพี่รอง” คนเป็นน้องตักสิ่งที่ตนทำใส่ช้อนป้อนให้คนเป็นพี่ โดยที่หลินชุนนั้นเป่าสิ่งที่อยู่ในช้อนก่อนจะอ้าปากกินสิ่งที่น้องป้อนอย่างระวัง
เด็กหนุ่มเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากอย่างช้า ๆ “อร่อยมากเลย” หลินชุนพูดหลังจากกลืนสิ่งที่เคี้ยวลงคอไปแล้ว
“ไหน ให้แม่กับย่าชิมดูบ้างสิ” เจียวเหมยเดินเข้าไปหาบุตรทั้งสามพูด
จากนั้นหญิงต่างวัยทั้งคู่ก็กล่าวชมออกมาเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน
“หลานย่าเก่งมาก” กู้หนิงกล่าวชมอย่างนึกทึ่งเพราะไม่คิดว่าหลานสาวจะทำอาหารได้อร่อยถึงเพียงนี้
“ได้ยินย่าพูดแบบนี้หนูใจชื้นขึ้นเยอะเลยค่ะ” หลินซีกล่าวประจบพร้อมกอดแขนผู้เป็นย่าแน่น
“อย่ามัวแต่ปากหวานอยู่เลย รีบไปทำปลานึ่งที่หนูต้องการเถอะ ดูสิว่ารสชาติของจานปลาจะเป็นยังไง” หญิงชรากล่าวอย่างเก้อเขินเนื่องจากยังไม่ชินกับการกระทำของผู้เป็นหลาน
เด็กหญิงก็รีบไปทำอาหารทันทีอย่างไม่ขัด ซึ่งในขณะที่เธอกำลังทำอาหารอยู่นั้นผู้ที่ยืนมองต่างคิดเหมือนกันว่าพวกเขากำลังดูการแสดง เนื่องจากเด็กหญิงทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว ทั้งมือและนิ้วก็สัมพันธ์กันอย่างเหลือเชื่อ
อย่าว่าแต่คนในครอบครัวจะตกตะลึงเลยแม้แต่ตัวหลินซีเองก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของตนเช่นกัน ทุกสิ่งที่เธอหยิบจับนั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
คล้ายรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำต้องใช้เครื่องปรุงอะไรต้องใส่ปริมาณเท่าไหร่ ‘มันเกิดอะไรกับมือของเรากัน’ หลินซีคิดอย่างไม่เข้าใจ
“เสี่ยวซี มือน้องเป็นอะไร” หลินชิวผู้เห็นว่าน้องสาวยืนมองมือของตัวเองอยู่นาน เด็กหนุ่มจึงได้เดินเข้าไปจับมือเล็กของน้องพร้อมพลิกไปมาก่อนถามออกมาอย่างนึกสงสัย
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่ามือของตัวเองคู่นี้สามารถทำอาหารได้อร่อยมากขนาดนี้ ยังไงก็ต้องดูแลให้ดี” หลินซีกล่าวเบี่ยงประเด็น
“แม่คะ หลานสาวแม่อวยตัวเองเสียแล้ว” เจียวเหมยยกยิ้มสัพยอกลูกสาวหลังได้ยินคำตอบของหล่อน
“ฮ่า ๆ สิ่งที่เสี่ยวซีกล่าวออกมาก็เป็นเรื่องจริงนี่ เก่งแบบนี้ช่างเหมือนย่าไม่มีผิด” หญิงชราหัวเราะออกมาพร้อมแสร้งกล่าวยกยอตัวเองด้วย ทำให้ภายในครัวเกิดเสียงหัวเราะหลังได้ยินคำกล่าวของผู้สูงวัย
หลินซีมองภาพความสุขตรงหน้าทำให้หล่อนรู้สึกขอบคุณผู้ที่ส่งตัวเองกลับมาเป็นล้นพ้น พร้อมกับสัญญาว่าเธอจะใช้ชีวิตให้ดีอย่างแน่นอนจนทำให้เด็กหญิงหลงลืมเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสงสัยไปเสียสิ้นว่าตกลงแล้วมันคืออะไร
ดังนั้นมื้ออาหารกลางวันของครอบครัวหลินจึงทำให้ทุกคนเจริญอาหารกันเป็นอย่างมากเนื่องจากรสชาติที่อร่อยแล้วยังรวมถึงความปรองดองของสมาชิกในครอบครัวด้วย
หลังจากกินอาหารและเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว สมาชิกบ้านหลินจึงได้มานั่งพูดคุยกันในห้องโถงหลัก “พวกหลานใกล้จะเปิดเรียนกันแล้วใช่ไหม” ชายชราเปิดปากถามหลานทั้งสามคน
“ใช่ครับ/ค่ะ” สามพี่น้องตอบรับพร้อมกัน
“เสี่ยวซี หลานไปเรียนมาภาคการศึกษาหนึ่งแล้วเป็นอย่างไรบ้างคุ้นกับโรงเรียนใหม่หรือยัง” อดีตครูใหญ่ของโรงเรียนประจำอำเภอถามกับหลานสาวอย่างเป็นห่วง
“หนูสบายมากค่ะ” หลินซีตอบอย่างสดใสแม้ว่าในชีวิตที่แล้วเธอจะไม่ค่อยมีความสุขกับโรงเรียนมัธยมประจำมณฑล มากนักเพราะฟังคำผู้หญิงคนนั้นพูดเปรียบเทียบระหว่างสถานที่แห่งนี้กับเมืองหลวง
ดังนั้นหลังจากปิดภาคฤดูหนาวเธอก็จึงได้ชวนพ่อแม่ให้ย้ายไปเมืองหลวงทำให้ในตอนนั้นเธอเรียนที่นี่ได้เพียงหนึ่งปี
เด็กหญิงคิดขึ้นอย่างเสียดาย หากเธอได้เรียนอยู่ที่นี่ต่อเพื่อนในวัยเด็กสมัยประถมโม่เซียงคงไม่ประสบเคราะห์กรรมบางอย่างจนทำให้ชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็น
แม้ว่าในภายหลังเมื่อเติบใหญ่หล่อนจะประสบความสำเร็จก็ตาม ‘เซียงเซียง ฉันจะช่วยเธอเอง’ ทว่าท้ายที่สุดเรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงเป็นตราบาปติดตัวเธอ ‘ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้เพื่อนของฉัน’ หลินซีนิ่งคิด
เหตุที่เจ้าตัวต้องการจะช่วยเหลือโม่เซียงเป็นเพราะเพื่อนของเธอคนนี้ได้ช่วยหาหลักฐานเกี่ยวกับการทำความผิดของพี่ใหญ่และนำมามอบให้เธอ
“พี่ชายของเธอเป็นคนดี ฉันอยากช่วยเขา เธอรับหลักฐานเหล่านี้ไปซะ” คำพูดของหญิงสาวในชุดนักข่าวของสถานีช่องหนึ่งที่โด่งดังมากในยุคนั้นกล่าวกับเธอ