เด็กหญิงนั่งเหม่อคิดถึงอดีตเพื่อนสาวผู้ที่เคยสดใส จนกระทั่งได้ยินเสียงของพี่ชายทำให้หล่อนได้รู้สึกตัว
“เสี่ยวซี น้องเตรียมอุปกรณ์การเรียนพร้อมหรือยัง มีอะไรขาดหรือเปล่า” หลินชุนถามน้องสาวผู้มักหลงลืมอยู่เป็นประจำ
“ฉันคิดว่าไม่นะคะ หากมีอะไรขาดก็ค่อยไปหาซื้อเอา” เด็กหญิงตอบออกมาอย่างไม่คิดอะไร
“น้องลืมไปหรือเปล่าครับว่าบริเวณโรงเรียนไม่มีสถานที่ให้ซื้อ หากอยากได้อะไรต้องไปถึงตัวมณฑล” หลินชิวแย้ง
“แหะ ๆ ฉันลืมไปสนิทเลยค่ะ จะว่าไปพ่อคะ ทำไมพ่อไม่เปิดร้านเครื่องเขียนหน้าโรงเรียนล่ะคะ หรือว่าจะรวมเอาร้านอาหารเข้ามาด้วยก็ได้เพราะแถวนั้นไม่ได้มีแค่โรงเรียนที่ตั้งอยู่อย่างเดียว
ไหนจะโรงพยาบาลประจำชุมชน ที่ทำการไปรษณีย์ โรงพัก โรงงานที่แม่ทำงาน อีกทั้งไหนจะโรงงานเหล็ก โรงงานรองเท้าก็ตั้งอยู่โดยรอบด้วย หากว่าเปิดร้านอาหารเช้าหนูว่าน่าจะขายดี” เด็กหญิงยิ้มแห้งตอบกลับผู้เป็นพี่ก่อนจะร่ายยาวออกมาให้คนในครอบครัวฟัง
“ลูกคิดว่าทำได้แน่เหรอ เพราะส่วนใหญ่คนมักจะประหยัดโดยการห่อข้าวมาจากบ้านหรือไม่ก็กินก่อนมาทำงานกันทั้งนั้น
ส่วนเรื่องของร้านเครื่องเขียนพ่อเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เพราะร้านค้าของเราที่เปิดอยู่ก็เป็นเกี่ยวกับพืชผลจากทางไร่ ทางสวน ที่ได้มาจากชาวบ้านทั้งนั้น” หลินไท่ถามลูกสาวสีหน้าลังเลระคนประหลาดใจที่ลูกสาวของตนมีความคิดแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นหนูมีความคิดบางอย่าง พ่อจะลองฟังดูก่อนไหมคะ” หลินซีพูดเข้าเรื่อง
เนื่องจากการขายของกินเป็นกิจการในอดีตที่พ่อของตนเคยทำเมื่อตอนย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง ทำให้ต่อมาที่บ้านจึงได้เป็นเจ้าของร้านอาหารอันเลื่องชื่อ
ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกฉกชิงไปอย่างหน้าด้าน ๆ พร้อมกับความตายของพ่อแม่ ‘คราวนี้อย่าได้หวังว่าใครหน้าไหนจะมาชุบมือเปิบไปได้ง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด’ เด็กหญิงคิดแววตาวาวโรจน์
“พรุ่งนี้เช้าเราลองไปสำรวจแถวนั้นกันดูดีไหมคะว่ามีอะไรขายบ้างแล้วเราค่อยมาตัดสินใจกันอีกที” หลินซีเสนอความคิดตนออกมา
“ตามใจลูกก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปพร้อมแม่เลยเถอะ” เจียวเหมยไม่คิดค้าน
หากว่าสามีสามารถเปิดร้านภายในตัวอำเภอได้จะดีมาก เพราะจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าไปถึงตัวมณฑล
ในครั้งแรกที่หลินไท่ตัดสินใจเปิดร้านในตัวมณฑลนั้นเป็นเพราะทั้งสามีและเธอเห็นว่าภายในอำเภอมีชาวบ้านเดินทางเข้ามาขายสินค้ากันเยอะ ซึ่งผิดกับตัวมณฑลที่ห่างไกลจากพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้
เช้าวันต่อมาอากาศยังคงเย็นอยู่เนื่องจากเพิ่งจะสิ้นสุดฤดูหนาวไปไม่กี่วัน
หลินซีผู้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงของตนกำลังทำเปลือกตาขยุกขยิกก่อนที่เธอจะลืมตาตื่น ‘ยังคงเป็นห้องของเราในบ้านของคุณปู่’ เด็กหญิงกวาดตามองไปรอบห้อง
เธอเพ่งมองปฏิทินที่แขวนอยู่กับผนังก่อนที่จะยกยิ้มออกมา จากนั้นเด็กหญิงก็ลงมือเก็บข้าวของภายในห้องที่ตนไม่ต้องการโดยเฉพาะสิ่งของที่ได้มาจากหญิงคนนั้น
เด็กหญิงเดินเข้าเดินออกเพื่อนำของที่ไม่ต้องการมาทิ้งอยู่หลายรอบจนพี่ชายคนโตผู้กำลังเดินออกมาจากห้องมองการกระทำของน้องสาวอย่างแปลกใจ
“เสี่ยวซี น้องทำอะไรแต่เช้าครับ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับหาวออกมา
“หนูกำลังเก็บสิ่งของที่ตัวเองไม่ต้องการอยู่ค่ะ เสียงดังรบกวนพี่หรือคะ” เด็กหญิงผมสั้นเอียงคอมองพี่ใหญ่สีหน้าเกรงใจ
“ไม่หรอกครับ พี่ตื่นเวลานี้เป็นปกติอยู่แล้ว น้องบอกว่าอยากออกกำลังกายนี่ ถ้าอย่างนั้นเริ่มออกไปวิ่งกับพี่เลยดีไหม” หลินชุนกล่าวชวน
“ก็ดีค่ะ หนูเก็บของเสร็จพอดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แล้วพี่รองล่ะคะไม่ไปกับเราด้วยหรือ” ผู้เป็นน้องนำมือมาปัดกางเกงขายาวที่ตนสวมพูดขึ้นพร้อมถามถึงพี่ชายอีกคน
“คิดถึงพี่หรือครับ” เด็กหนุ่มผู้มีไฝเม็ดเล็กใต้ตาซ้ายกล่าวพร้อมกับอ้าปากหาวเมื่อเดินออกมาจากห้องได้ยินคำพูดของน้องสาวเข้าพอดี
“ค่ะ คิดถึงมาก พวกเราออกไปวิ่งกันเถอะ” หลินซีเดินเข้าไปกอดแขนของพี่ทั้งสองเพื่อดึงให้ออกไปวิ่งด้านนอกด้วยกัน
เด็กทั้งสามวิ่งออกกำลังกายโต้ลมเย็นไปรอบหมู่บ้าน ซึ่งทำให้หลินซีรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากสามพี่น้องเจอใครก็กล่าวทักทาย
เช่นเดียวกับชาวบ้านที่ยกยิ้มพูดคุยกับสามพี่น้องบ้านหลินเช่นเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นหลินซีมากับพี่ชายทั้งสองของตนด้วย
“เสี่ยวซี วันนี้ก็มาวิ่งกับเสี่ยวชุน เสี่ยวชิวด้วยหรือ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งรู้จักกับแม่ของสามพี่น้องถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ค่ะ หนูอยากให้ร่างกายแข็งแรงจะได้ไม่ป่วยอีก คุณป้าพวกเราขอตัวก่อนนะคะ” เด็กหญิงตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขอตัวอย่างสุภาพ
พวกเขาสามคนก็ได้พากันวิ่งมาจนถึงที่ดินตีนภูเขาของผู้เป็นย่า หลินซีจึงได้มองขึ้นไปยังบนภูเขาลูกตรงหน้า
“พี่ใหญ่ พี่รอง ฉันอยากปลูกไม้ผลบนภูเขาพี่ทั้งสองคิดว่าย่าจะเห็นด้วยไหมคะ” หลินซีกล่าวขึ้น
เนื่องจากในอนาคตที่ดินบนภูเขาลูกนี้ได้กลายเป็นสวนผลไม้อันเลื่องชื่อจากการลงแรงของย่าที่ปลูกมันขึ้นหลังจากที่ครอบครัวของเธอทั้งหมดจากไป
“พี่ว่าย่าคงเห็นด้วยนั่นแหละ ดีกว่าให้มันรกอยู่อย่างตอนนี้” หลินชุนกล่าวตามจริง
“พี่ก็ไม่คิดว่ามีปัญหาหรอก แต่ว่าน้องจะต้องลงแรงด้วยนะไม่ใช่คิดอย่างเดียว” หลินชิวกล่าวดักคอ
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใส ในเมื่อเธอต้องการมาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเรื่องพวกนี้เธอย่อมเต็มใจทำอยู่แล้ว
จากนั้นพวกเขาก็พากันวิ่งกลับบ้านของตน ซึ่งตอนนี้อาหารเช้าได้ถูกตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว
“เด็ก ๆ ไปไหนกันหรือว่ายังไม่ตื่น” ชายวัยกลางคนถามถึงลูกชายหญิงเมื่อเห็นว่าบ้านเงียบผิดปกติ
“ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยค่ะ ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะพากันไปวิ่ง” เจียวเหมยบอกในขณะจัดตะเกียบ
ยังไม่ทันที่ฝ่ายสามีจะได้พูดอะไรเพิ่ม คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงของบุตรสาวดังขึ้น
“พวกเรากลับมาแล้วค่ะ” เสียงสดใสของเด็กหญิงตะโกนบอกคนในครอบครัวหลังจากเปิดประตูเข้าบ้านมา
“กลับมาแล้วก็ไปล้างหน้าล้างมือมากินข้าวกันเถอะ เสี่ยวชุน เสี่ยวชิว ลูกสองคนไปช่วยย่ายกกับข้าวในครัวออกมาด้วย” เจียวเหมยกล่าวหลังจากมองเห็นลูกทั้งสาม
“หนูก็จะไปช่วยด้วยค่ะ” หลินซีขันอาสาพร้อมกับเดินไปด้านในครัวก่อนผู้เป็นพี่ชายทั้งสองคน
“ลูกเราเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ค่ะสามี” เจียวเหมยกระซิบเสียงเบากับคนข้างกายหลังลูกสาวเดินหายลับไปทางครัวก่อนพี่ชายทั้งสอง
“เปลี่ยนไปในทางที่ดีก็ดีแล้วนี่ครับ” หลินไท่ยิ้มกว้างตอบภรรยา
หลังจากมื้ออาหารเช้าแสนอร่อยจากฝีมือของย่าจบลง สามพี่น้องก็ได้นั่งรถเพื่อเข้าไปตัวอำเภอกับพ่อ ซึ่งจุดประสงค์ของหลินซีก็คือการมาสำรวจร้านรวงต่าง ๆ
“พ่อคะ เห็นหรือยังว่าร้านของกินแทบไม่มีเลย ดังนั้นนี่เป็นโอกาสทองของเราแล้วละค่ะ” หลินซีพูดขึ้นเมื่อรถได้เข้ามาถึงตัวอำเภอแล้วมองเห็นแต่ชาวบ้านนำผักมาขายเพียงเท่านั้น
“ก็ข้าวของยังแพงอยู่นี่ลูก อีกทั้งผู้คนก็ยังคงยึดติดอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตอยู่ก็เลยทำให้ยังไม่มีร้านค้ามากนัก ว่าแต่ลูกคิดว่าเราจะสามารถเปิดร้านได้จริงอย่างนั้นหรือ” หลินไท่ถามบุตรสาวโดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากถนนเบื้องหน้า
เนื่องจากรถยนต์ในยุคนี้มีน้อย ทำให้ผู้คนไม่กลัวเกรงรถ เป็นรถที่จะต้องเกรงว่าจะไปชนคนเหล่านั้นเข้ามากกว่า
จนกระทั่งถึงโรงงานทอผ้าของมารดา หลังจากบอกลา ผู้เป็นแม่แล้วสี่คนพ่อลูกก็เคลื่อนตัวรถออกมายังจุดหมายที่เด็กหญิงต้องการต่อไป
“พ่อคะ จอดรถตรงนั้นก่อนค่ะ” หลินซีชี้นิ้วบอกเมื่อเห็นเป้าหมายของตนอยู่ด้านหน้าห่างจากรถไปไม่ไกล
พ่อผู้ไม่เคยขัดก็ทำตามความต้องการของลูกสาวทันที ก่อนถามออกมาอย่างสงสัย “มีอะไรหรือลูก”
“พวกเราลงจากรถกันก่อนเถอะค่ะ” เด็กหญิงพูดโดยยังไม่ตอบคำถาม
หลังจากคนทั้งสี่ลงจากรถเรียบร้อย ทั้งพ่อและพี่ก็มองไปทางเด็กหญิงด้วยสายตามีคำถาม
“ทุกคนลองมองไปรอบ ๆ นะคะ แล้วลองบอกมาว่าเห็นอะไรบ้าง” เด็กยิ้มกว้างในขณะบอกกับคนทั้งสาม
“ตรงนั้นเป็นร้านอาหารรัฐ ข้างกันเป็นที่พัก อีกด้านก็ที่พัก ฝั่งนั้นเป็นโรงเรียนของพวกลูก ด้านนี้เป็นโรงพยาบาลชุมชน เยื้องกันเป็นสถานีบรรเทาสาธารณะภัย ส่วนฝั่งโน้นเป็นสถานีตำรวจ ติดกันเป็นที่ทำการไปรษณีย์ ห่างจากตรงนี้ไปสองกิโลเป็นสถานีรถไฟ พ่อเข้าใจแล้ว” หลินไท่เป็นคนตอบบุตรสาวหลังจากที่เขามองไปรอบด้านของสถานที่แห่งนี้
“พ่อหมายความว่ายังไงหรือครับ” หลินชุนถามขึ้นอย่าง มึนงง
“ก็หมายความว่าน้องเล็กต้องการให้พ่อเปิดร้านอาหารเช้าตรงนี้ยังไงล่ะพี่ชาย จะว่าไปหากเปิดได้ก็สามารถเปิดขายอาหารได้ทั้งวันเหมือนกันนะ เพราะตรงนี้เป็นแหล่งชุมชนอีกทั้งรอบ ๆ ก็ไม่มีร้านขายอาหารด้วยนอกจากร้านอาหารรัฐเพียงแห่งเดียว” หลินชิวเป็นผู้ตอบก่อนจะวิเคราะห์ออกมาตามที่เห็น
“พี่รองเข้าใจถูกต้องแล้วละค่ะ พ่อว่ายังไงคะหากว่าหนูอยากจะให้พ่อซื้อร้านค้าตรงนี้” หลินซียกยิ้มกล่าวชมพี่ก่อนหันไปถามชายวัยกลางคนให้เป็นผู้ตัดสินใจ
“เจ้าของเขาจะขายหรือลูก” หลินไท่กล่าวขึ้นอย่างลังเล
“พ่อคิดจะซื้อหรือครับ” หลินชุนถามออกมา
“ถ้าเขาขายพ่อก็จะซื้อ เพราะตรงนี้ถือว่าเป็นทำเลทองทีเดียว” หลินไท่ไม่ปฏิเสธ
“พวกเราไปยังหน่วยงานจัดซื้อของรัฐกันค่ะ อาคารหลังนี้เป็นของรัฐ” หลินซีพูดขึ้น
หากถามเธอรู้ได้ยังไง ก็เป็นเพราะความทรงจำจากชาติก่อนนั่นแหละเหมือนเธอจะได้ยินเพื่อนในห้องพูดถึงอาคารไม้หลังนี้อยู่แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครเพียงเท่านั้น