อาดัมก้าวเข้ามาในห้องที่ดูโอ่อ่า แต่กลับมีบรรยากาศที่เคร่งขรึมจนทำให้เขารู้สึกเหมือนอากาศหนักขึ้นทุกย่างก้าว พื้นพรมหนานุ่มช่วยกลบเสียงฝีเท้าของเขา แต่หัวใจที่เต้นแรงกลับก้องอยู่ในความรู้สึก ราวกับเสียงกลองที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จังหวะไคลแมกซ์
แสงไฟสีขาวนวลส่องลงมาจากโคมระย้าด้านบน ทำให้เงาบางๆ จากเฟอร์นิเจอร์ในห้องทอดลงบนพื้น เจ้าของค่ายเพลงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หนังตัวใหญ่ ด้านหลังเป็นชั้นวางหนังสือและรางวัลมากมายที่ประดับอย่างเป็นระเบียบ เขาดูสง่างามแต่ก็น่าเกรงขาม ราวกับราชาผู้ครองอาณาจักร
มือของเขาเคาะปากกากับเอกสารตรงหน้าอย่างเป็นจังหวะ เบา แต่ชัดเจนพอที่จะสร้างแรงกดดันในความเงียบของห้อง ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองมาที่อาดัม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดในใจของเขาได้ทุกอย่าง
“นั่งลงสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
อาดัมขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือของเขากุมกันแน่นบนตัก ขณะที่สายตาพยายามจ้องตรงไปยังเจ้าของค่ายเพลง แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความคิดที่ประดังเข้ามาไม่หยุด ทุกเสียงรอบตัวเหมือนเลือนหาย เหลือเพียงเสียงเต้นของหัวใจตัวเองและความรู้สึกตึงเครียดที่ปกคลุมทั่วทั้งห้อง
เจ้าของค่ายมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตอนนี้กระแสบอยแบนด์ในเมืองไทยกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก” เจ้าของค่ายเริ่มพูดช้าๆ พร้อมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำที่ดูสง่างาม “เรากำลังเตรียมโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งจะเป็นการรวมตัวของเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเราอยากได้คุณเข้าร่วมทีมนี้”
“นี่ไม่ใช่แค่โอกาส” ชายคนนั้นพูดต่อ “แต่เป็นเส้นทางที่จะพาคุณไปสู่ชื่อเสียงและอนาคตที่มั่นคง แต่คุณต้องเต็มที่กับสิ่งที่เรากำลังสร้าง คุณจะเป็นสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดในโปรเจกต์นี้ และผมมั่นใจว่าโปรเจกต์นี้จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
อาดัมพยักหน้าเบาๆ แต่ในใจยังคงมีคำถาม เขารู้ดีว่านี่คือข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ง่ายๆ แต่มันก็หมายถึงการละทิ้งความฝันอีกด้านหนึ่งคือการได้ร้องเพลงกับพ่อ
“คุณพร้อมที่จะตอบตกลงหรือยัง?” เจ้าของค่ายถาม น้ำเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความกดดัน
อาดัมนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสะท้อนถึงความมั่นใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ขอบคุณสำหรับโอกาสนี้ครับ มันเป็นข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่ และผมรู้ว่ามันอาจเปลี่ยนชีวิตผมได้ แต่ผมขอปฏิเสธครับ"
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องดูเหมือนหยุดนิ่ง เจ้าของค่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากความคาดไม่ถึง
“คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณกำลังทิ้งโอกาสที่ไม่ได้มาง่ายๆ?”อาดัมพยักหน้า รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผมรู้ครับ แต่ความฝันของผมไม่ใช่แค่การเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ใหญ่ ผมอยากเริ่มต้นในแบบที่ผมเชื่อ และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือการได้ร้องเพลงกับพ่อ มันอาจไม่ใช่เส้นทางที่ดูยิ่งใหญ่ในสายตาคนอื่น แต่มันคือความฝันที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุด”
แต่เจ้าของค่ายเพลงกลับเน้นย้ำถึงภาพลักษณ์ของอาดัมในฐานะ “ลูกครึ่ง” ซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักในวงการบันเทิงของไทยอาดัมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พวกเขาเลือกเขา แต่เป็นเพราะเขาเหมาะกับแผนการตลาดของค่าย เขารู้สึกเหมือนถูกมองเป็น "ภาพลักษณ์" มากกว่าศิลปินตัวจริง
"ถ้าคุณเข้าร่วมโปรเจกต์นี้" เจ้าของค่ายพูดก่อนที่เขาจะเดินออกมา "คุณจะได้อยู่ในสายตาของทั้งประเทศ แต่เราต้องการให้คุณเต็มที่กับสิ่งที่เราสร้าง คุณต้องเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่เราวางไว้... ไม่ใช่แค่ร้องเพลงเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง"
คำพูดนั้นดังก้องในหัวของอาดัมขณะเดินออกมา เขารู้ดีว่าโอกาสนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เขาก็อดคิดถึงพ่อไม่ได้ เขาอยากให้เพลงแรกของเขามีความหมาย และการร้องเพลงคู่กับพ่อจะเป็นสิ่งที่ทำให้ความฝันของเขาสมบูรณ์
ขณะที่เขาก้าวออกจากห้อง หัวใจของอาดัมเบาโหวง ความกังวลที่เคยมีเริ่มจางหาย เขาหันไปมองประตูที่ปิดลงเบื้องหลัง รู้สึกถึงทั้งความหนักแน่นและอิสระในเวลาเดียวกันเขาเดินออกไปยังโถงใหญ่ แสงไฟสีขาวนวลสะท้อนกับพื้นหินอ่อนเป็นเงาวาว มุมหนึ่งของห้อง พ่อยืนรออยู่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง เมื่ออาดัมเดินเข้าไปหา พ่อเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ราวกับกำลังรอคำตอบที่ไม่มีคำถาม
อาดัมยิ้มบางๆ พยักหน้าให้เบาๆ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “เราหมดเวลาที่นี่กันแล้วครับพ่อ”
พ่อมองลูกชายอย่างเข้าใจ ก่อนพยักหน้ารับ ไม่มีคำถามหรือคำตำหนิใดๆ มีเพียงมืออันอบอุ่นที่ยื่นมาแตะบ่าลูกชายอย่างแผ่วเบา “ไปกันเถอะลูก”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตึกสูง แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ของล็อบบี้ สาดลงมาบนพื้นเบื้องหน้าพวกเขา ก้าวเดินของทั้งคู่มั่นคงและเรียบง่าย ไม่มีความรู้สึกเสียดายต่อโอกาสที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง มีเพียงความมั่นใจในเส้นทางใหม่ที่พวกเขากำลังจะสร้างไปด้วยกัน
แต่ในคืนที่เงียบสงบ…
แสงไฟสลัวจากโคมเล็กๆ บนโต๊ะข้างเก้าอี้ทอดเงาอ่อนๆ ไปทั่วห้อง อาดัมนั่งอยู่บนโซฟาข้างพ่อ เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดไว้ยิ่งทำให้บรรยากาศสงบ ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสน“พ่อ...” อาดัมเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก “ผมกลัวว่าถ้าผมเลือกทางนี้ ผมจะไม่ได้ทำเพลงกับพ่ออย่างที่เราวาดฝันไว้”
พ่อของเขามองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิต เขายื่นมือไปจับบ่าของลูกชายแน่นพอที่จะส่งกำลังใจ
“ลูก อะไรที่ลูกอยากทำก็ทำเถอะ พ่อเชื่อว่าลูกจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง พ่อไม่ไปไหนหรอก เรามีเวลาเสมอที่จะทำเพลงด้วยกัน ขอแค่ลูกทำทุกอย่างด้วยใจของตัวเองก็พอ”
คำพูดของพ่อเหมือนแสงไฟเล็กๆ ที่ส่องนำทางในความมืดมิด อาดัมนั่งนิ่ง มองพ่อด้วยดวงตาที่สะท้อนทั้งความซาบซึ้งและความสับสน เขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะเลือกไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของเขา แต่มันยังหมายถึงเส้นทางที่เขาและพ่อจะก้าวเดินร่วมกัน
ในความเงียบที่ล้อมรอบ มีเพียงหัวใจของอาดัมที่เต้นเป็นจังหวะชัดเจน เขาครุ่นคิดถึงทุกสิ่งที่ผ่านมา พร้อมรู้ว่าไม่ว่าทางไหนที่เขาเลือก มันจะเปลี่ยนอนาคตของเขาตลอดไป
อาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ