จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตา
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มา
แต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง
“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู
“พี่นิว สวัสดีค่ะ”
นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก
“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”
“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”
นรีนันท์พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็วตามนิสัย เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ นิรมลไม่รอช้า คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงพาลงไปยังลานจอดรถทันที โดยที่ไม่ได้ถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือต้องการอะไรหรือเปล่า
“พี่นิวจะรีบร้อนไปไหนเนี่ย แล้วจะไปบ้านใครล่ะคะ”
“พี่จะไปตามที่อยู่นี้ เดี๋ยวนัทเปิด GPS คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกัน”
นิรมลยื่นที่อยู่ให้ นรีนันท์ยังคงงงๆ อยู่ แต่ก็ทำตามที่พี่สาวบอกมาทุกอย่าง ในระหว่างที่น้องสาวกำลังนั่งกดโทรศัพท์เพื่อตั้งพิกัดบอกทางอยู่ นิรมลก็จัดการส่งข้อความหาเอกภพเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้ว
‘ขอโทษด้วยนะจิ๋ว วันนี้ยัยเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก บีคงไปกับจิ๋วไม่ได้แล้วละ’
‘ไม่เป็นไรบี โชคดีที่วันนี้นัทมากรุงเทพฯ เดี๋ยวจิ๋วไปกับนัท บีอยู่ดูแลเล็กเถอะ’
นิรมลส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่านรีนันท์มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
“ตั้ง GPS เรียบร้อยแล้ว พี่นิวส่งข้อความหาใครน่ะ พี่หนึ่งเหรอ”
นิรมลพยักหน้า
“ใช่ ตอนแรกหนึ่งบอกว่าจะไปกับพี่ แต่มาไม่ได้แล้วละ น้องเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก เขาต้องอยู่ดูแลน้อง”
นรีนันท์พยักหน้ารับรู้ พูดกับพี่สาวเสียงเรียบ เธอไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก
“พี่หนึ่งเขามีน้องสาวต้องดูแลนี่นา ถ้าวันนี้นัทไม่ขึ้นมากรุงเทพฯ พี่นิวก็ต้องไปเองใช่ไหม”
“ใช่สิ แต่อาจจะแค่ขับรถไปดูน่ะ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ไปไหนเลย นัทอย่ามองพี่อย่างนั้นสิ พี่รู้หรอกน่าว่าพี่หนึ่งเขาภาระเยอะแค่ไหน”
นรีนันท์ได้แต่ถอนหายใจ มองหน้าพี่สาวที่ตอนนี้ความคิดล่องลอยไปถึงเอกภพ
............................................
เอกภพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อแม่ของเขามีอาชีพเป็นครู สอนอยู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาแถวบ้าน พ่อแม่มีลูกสามคน ตัวเขาเป็นพี่ชายคนโต และมีน้องสาวอีกสองคน คนที่สองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ส่วนคนที่สามที่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พ่อแม่ของเขามีฐานะปานกลาง และเมื่อมีลูกสามคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน จึงทำให้มีบางช่วงที่การเงินขัดสนอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายเป็นบางครั้งบางคราว
จนกระทั่งเอกภพเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจเลือกเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ จนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“พี่หนึ่ง รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆ เลยพี่ แม่เป็นลมไปแล้ว”
เสียงตามสายจากน้องสาวคนรองที่โทรศัพท์มาตาม เอกภพขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ
“แม่เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมล่ะ แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พี่หนึ่งรีบมาเถอะ ตอนนี้แม่กับสองและน้องเล็กอยู่ที่โรงพยาบาล...”
น้องสาวของเขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป เท่านี้ก็ทำให้เอกภพรีบออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเขาไปถึงก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ รอบตัวมีน้องสาวทั้งสองคนนั่งกอดแม่อยู่ด้วยกัน
“หนึ่ง!”
แม่ของเขาโผเข้ากอดทันทีที่เห็นหน้า ทำให้เขาชะงักไป
“แม่เป็นอะไรครับ แล้วพ่อล่ะ”
“พี่หนึ่ง...พะ...พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว”
คนที่พูดประโยคนี้คือน้องสาวคนสุดท้อง ที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบเท่านั้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ หันมามองหน้าแม่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็รีบตั้งสติแล้วถามน้องสาวคนรองที่ตอนนั้นดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุด
“พ่ออยู่ไหนล่ะสอง บอกพี่ที”
น้องสาวของเขาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เขารีบวิ่งไปถามทันที
“คุณพยาบาลครับ พ่อผมอยู่ในนั้นใช่ไหม”
เขาบอกชื่อพ่อของเขาอย่างรวดเร็ว พยาบาลพยักหน้าให้กับเขาว่าพ่อของเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้
“เข้าไปไม่ได้นะคะ ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกค่ะ”
“ผมจะเข้าไปดูพ่อ...พ่อครับ!”
เอกภพคงจะโวยวายไปอีกนาน หากไม่มีผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาตัวเขาออกไปจากบริเวณนั้น พยายามคุยให้เขาใจเย็นลง จนเวลาผ่านไปประมาณห้านาที เขาเริ่มตั้งสติได้ จึงหันมาขอบคุณพี่คนที่ลากเขาออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ผมขอบคุณพี่นะครับที่ช่วยเตือนสติผม ว่าแต่พี่ไม่ออกไปไหนอีกเหรอครับ หรือว่ามาส่งใคร”
“พี่มาส่งพ่อของน้องนั่นแหละ เมื่อกี้พี่เห็นแต่แม่เรากับน้องๆ ที่ยังเด็ก พี่ก็เลยอยู่ดูสถานการณ์ก่อนน่ะ แล้วก็เจอน้องนี่แหละ”
เอกภพยกมือไหว้ขอบคุณ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพ่อของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร
“พ่อน้องน่ะขับรถยนต์ แล้วน่าจะก้มรับโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันดูว่ามีรถสิบล้อวิ่งแหกโค้งมา”
เอกภพนิ่งอึ้ง ในขณะที่แม่ของเขากำลังเดินมาหาเขาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายมากกว่าเดิม
“หนึ่ง พ่อเสียแล้ว!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่ของเอกภพก็ดูเหมือนจะไม่ชอบการรับโทรศัพท์มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่บนรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านก็ตาม จึงทำให้เอกภพเคยชินกับการพิมพ์ข้อความมากกว่าการโทร. คุยกัน
............................................
ทั้งนิรมลและนรีนันท์ขับรถยนต์มาตาม GPS ที่คอยบอกทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจังหวัดปทุมธานี
“พี่นิวจะไม่บอกนัทสักนิดเหรอว่าจะไปไหน ไปบ้านใคร?”
“พี่จะเอาของไปให้เขาน่ะ เป็นของคนที่บริษัท เขาเสียชีวิตแล้วฝากพี่ให้เอามาให้ครอบครัวเขา”
นิรมลเล่าสั้นๆ อย่างรวบรัด และพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“ช่วยกันดูชื่อซอยเถอะ ว่าแต่ตรงนี้ใช่ซอยที่สิบห้าหรือเปล่า นัทช่วยพี่ดูทีสิ”
นรีนันท์มอง GPS ที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายไปเสียแล้ว เธอเงยหน้ามองชื่อซอย เห็นเป็นซอยที่สิบห้าแน่ๆ ก็หันหน้าไปบอกนิรมล
“พี่นิว เลี้ยวเข้าซอยนี้ค่ะ ซอยที่สิบห้า”
นิรมลเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทันทีตามที่นรีนันท์บอก แต่ซอยนั้นแคบ รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวและด้านในไม่มีที่กลับรถ แถมยังเป็นซอยตัน
“ถูกซอยแน่หรือเปล่านัท ทำไมบ้านเลขที่ตามนี้ไม่เห็นมีเลย ลองดูซิ”
นรีนันท์มองบ้านเลขที่ตามบ้านที่ขับรถผ่านไป หลังแล้วหลังเล่า ผ่านไปสิบกว่าหลังก็ยังไม่พบ ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังหันซ้ายหันขวา คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง
นิรมลสะดุ้ง บ่นพึมพำอยู่ในรถกับนรีนันท์
“ทำยังไงดีนัท เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ด้วย รถก็น้ำมันใกล้จะหมดอีก”
“พี่นิวลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวนัทลงไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนลงไปเจรจากับรถยนต์อีกคันที่มาจอดท้าย ทีแรกชายหนุ่มคนขับรถรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นคนขับรถลงมาเป็นหญิงสาวถึงสองคน เขาก็เปลี่ยนท่าที
“พวกคุณสองคนจะไปไหนหรือมาหาใครครับ ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”
“ฉันจะมาธุระบ้านเพื่อนค่ะ เขาอยู่ซอยที่สิบห้า ใช่ซอยนี้ไหมคะ”
นรีนันท์รีบชิงพูดก่อนพี่สาว เพราะมองท่าทีชายหนุ่มตรงหน้าออก เธอเห็นเขามองแบบไม่วางตา จึงส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมทั้งถามด้วยเสียงหวานๆ ไป...ได้ผล เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้า แล้วชี้มือไปทางขวา
“ไม่ใช่ครับ พวกคุณเข้าซอยผิดแล้วล่ะ ซอยนี้เป็นซอยที่สิบแปดครับ คุณต้องเลี้ยวขวาออกไปอีกสามซอย ก็จะเจอซอยสิบห้า”
ชายหนุ่มอธิบายละเอียด นิรมลและนรีนันท์ได้แต่หันมามองหน้ากัน ฝ่ายน้องสาวได้แต่ยิ้มหวานมากขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“เหรอคะ แหม...รถยนต์เราน้ำมันใกล้หมดด้วย เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้คุณช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นผมจัดการให้ก็แล้วกันครับ ทั้งเรื่องน้ำมันรถของคุณ กับถอยรถให้ครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นไปจัดการถอยรถออกจากซอย ในขณะที่นิรมลถอยรถจนออกมาถึงหน้าปากซอยได้ ทั้งสองคนเห็นว่าหน้าปากซอยมีรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจอดรอพวกเธออยู่แล้ว
นรีนันท์รีบทำหน้าที่ ด้วยการลงไปคุยกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเหลือพวกเธอ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ พวกฉันคงต้องงงอยู่ในซอยนั้นไปอีกนานแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ ทั้งสามคนยืนมองตำรวจคนนั้นถ่ายน้ำมันใส่รถยนต์ให้กับนิรมล เพื่อให้ขับรถยนต์ต่อไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ติดต่อ แต่นรีนันท์ไม่ปล่อยให้เขารอนานนัก เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้กับเขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เบอร์โทร. ของฉันค่ะ”
นรีนันท์ยื่นให้เสร็จก็รีบขึ้นรถยนต์ทันที นิรมลมองหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้พี่สาวสงสัยนาน
“ไปเถอะพี่นิว จะไปซอยสิบห้าไหมคะ น้ำมันรถเราก็เติมแล้ว”
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
เช้าวันเสาร์ นิรมลลุกขึ้นมาใส่บาตรตั้งแต่เช้า ตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงพิษณุ วิญญาณที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่นิวไม่รู้ว่าที่ตามสืบอยู่จะมาถูกทางหรือเปล่า แต่จะพยายามค้นหาความจริงให้ได้โดยเร็วที่สุดนะคะหลังจากใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย นิรมลเดินกลับขึ้นมาข้างบนห้อง พบว่าห้องเงียบราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ หญิงสาวจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนของนรีนันท์ และเมื่อบิดลูกบิดประตูก็พบว่าไม่ได้ล็อก เธอจึงเปิดเข้าไป เจอน้องสาวยังคงนอนอยู่บนเตียง“นัท ตื่นเถอะ จะได้กลับบ้านนครปฐมกัน”นรีนันท์ขยับตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ อยากจะนอนหลับต่อเพราะเมื่อคืนเธอเอางานกลับมานั่งทำต่อจนดึกดื่น จึงได้แต่พลิกตัวหนีพี่สาว หันไปอีกทางด้วยความง่วง“อ้าว...นัทลุกขึ้นสิ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”“นัทไม่ไปไม่ได้เหรอ นัทง่วง...พี่นิวกลับไปคนเดียวเถอะ”“นัท...นัท”นิรมลเขย่าตัวอีกครั้ง แล้วก็หยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอเดินออกมาเข้าห้องน้ำก็ยังเห็นน้องสาวนั่งทำงานอยู่ด้านนอก หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ เดินออกมาด้านนอ
หลังจากวางสายนิรมลไปแล้ว นรีนันท์ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ หญิงสาวมองรถและผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมานั่งรออยู่ตรงนี้เสียเวลาเปล่า ลองเข้าไปในซอยดีกว่านรีนันท์เดินเข้ามาในซอยสิบหก เธอมองซ้ายมองขวาเพราะไม่รู้เส้นทาง และคอยมองหาว่าร้านอาหารที่ชมพูนุทไปอยู่ตรงไหน หญิงสาวเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบสุดซอยทีเดียวจึงได้พบกับสถานที่ตามต้องการ“ร้านหรูเหมือนกันนะเนี่ย”นรีนันท์พูดกับตัวเอง เธอมองเข้าไปในร้านเห็นมีลูกค้าอยู่เพียงสองสามโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็มีชมพูนุทนั่งอยู่ด้วย เธอนั่งหันหน้าออกมาข้างนอก เพื่อนร่วมโต๊ะของชมพูนุทเป็นผู้ชาย น่าจะอายุมากแล้ว แต่เธอเห็นหน้าไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอก“เชิญด้านในได้เลยนะคะ ในร้านมีที่นั่งว่างอยู่ค่ะ”พนักงานของร้านออกมาต้อนรับนรีนันท์ หญิงสาวเห็นเป็นโอกาสจึงรีบบอกพนักงาน“ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ แล้วก็จะขอสั่งอาหารกลับบ้านค่ะ”“ได้ค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลัง เชิญทางนี้ได้เลยค่ะ”พนักงานเตรียมเปิดประตูร้านให้นร
นับตั้งแต่วันนั้น ทั้งนรีนันท์และชมพูนุทก็เป็นเหมือนคู่หูกัน ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็ตาม จะต้องเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเสมอ จนรู้กันไปทั่วทั้งบริษัทว่าชมพูนุทมีเพื่อนคู่หูทำงานคนใหม่ ทั้งที่จากเดิมก่อนหน้านี้ หญิงสาวมักจะทำงานอยู่คนเดียวเสมอ จนนิรมลต้องถามเพื่อน“คนอื่นทำงานไม่ถูกใจน่ะสิ ไม่เหมือนนัท บอกอะไรก็รู้ใจฉันไปหมดทุกอย่าง ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะพูดเยอะ”จนกระทั่งวันหนึ่ง ชมพูนุทและนรีนันท์ออกมาพบลูกค้าข้างนอกบริษัท บังเอิญว่าสถานที่มาพบกับลูกค้านั้นอยู่ใกล้กับคอนโดฯ ของชมพูนุทนั่นเอง นรีนันท์จำได้เพราะเคยมากับชมพูนุทครั้งหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่เคยขึ้นไปข้างบนห้องและแล้ววันนี้เหมือนโชคเข้าข้างนรีนันท์ ชมพูนุทลืมของไว้ที่คอนโดฯ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องแวะก่อนที่จะมาพบลูกค้า“พี่ขอแวะเอาสายชาร์จโทรศัพท์ก่อนนะ”นรีนันท์มองตาม อยู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบชิงพูดก่อนที่ชมพูนุทจะปิดประตูรถยนต์ขึ้นไปเสียก่อน“เอ่อ พี่ชมพูคะ นัทขอขึ้นไปข้างบนห้องด้วยได้ไหมคะ คือ...นัทปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ”ทีแรกชมพูนุทจะปฏิเสธ แต่นร
นิรมลออกมาด้านนอกห้อง เธอออกมายืนรอแม่ที่หายมาเข้าห้องน้ำเสียนาน หญิงสาวมายืนรอในห้องรับแขก แถวนั้นมีตู้โชว์อยู่เช่นกัน เธอหยิบรูปครอบครัวขึ้นมาดู รูปถ่ายนั้นถ่ายไว้ที่บ้านกรุงเทพฯ ของพิษณุ มีพ่อ แม่ ลูก และรูปคุณย่าที่นั่งอยู่ตรงกลาง“คุณป้าก็คงไม่มีความสุขใช่ไหมคะ สามีเจ้าชู้ขนาดนี้”นิรมลพูดพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นมีรูปถ่ายใบหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากกรอบรูป หญิงสาวหยิบมาดูด้วยความงุนงง แต่เมื่อเธอเห็นคนในรูปถ่ายใบนั้นกลับตกใจยิ่งกว่า“เอ๊ะ!”ในขณะที่นิรมลกำลังตกใจกับรูปถ่ายนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมา หญิงสาวหยิบรูปถ่ายนั้นเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำเป็นยืนมองรูปถ่ายตรงหน้า ปรากฏว่าเป็นแม่ของเธอเอง“อ้าว ทำไมออกมารอข้างนอกตรงนี้ล่ะนิว คุณย่าล่ะ”“คุณย่าได้เวลาเอนหลังแล้วค่ะ หนูเลยออกมารอแม่ตรงนี้”แม่เดินมาตรงจุดที่นิรมลยืนอยู่ มองว่าหญิงสาวยืนดูอะไร ก็เห็นเป็นรูปครอบครัวของพิษณุนั่นเอง จึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย“มายืนดูอะไรอยู่ตรงนี้ แม่ว่ากลับบ้านเถอะ ป่านนี้พ่อเขาคงใกล้กลับบ้านแล้ว”นิรมลและแม่กลับบ้า
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ทั้งนิรมลและนรีนันท์ออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งคู่กลับมาถึงบ้านจังหวัดนครปฐมใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง เมื่อมาถึงปรากฏว่าบ้านปิดเงียบ สองคนพี่น้องลงจากรถยนต์ นิรมลพูดพึมพำ“พ่อกับแม่ออกไปทำนาแล้วเหรอ”นรีนันท์เปิดกระเป๋าเป้เพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมาไขประตู ในระหว่างที่น้องสาวกำลังจะนำกุญแจมาไขประตูอยู่ ประตูกลับเปิดออกจนหญิงสาวตกใจ“อ้าว! แม่ สวัสดีค่ะ”นิรมลและนรีนันท์ร้องอุทานและยกมือไหว้ แม่ผู้ที่เปิดประตูออกมาเจอลูกสาวทั้งสองคนก็ตกใจเช่นเดียวกัน“ตกใจหมดเลย แม่ก็ว่าได้ยินเสียงรถยนต์เลยเปิดมาดูนี่แหละ”ทั้งนิรมลและนรีนันท์หยิบกระเป๋าเข้าบ้าน นรีนันท์กอดแม่ด้วยความดีใจและคิดถึง จนแม่ต้องร้องห้ามไม่อยากให้กอด“แม่กำลังจัดของในห้องเก็บของอยู่น่ะ เหงื่อออกเหนียวตัวไปหมด”“แล้วพ่อล่ะคะ ออกไปทำนาแล้วเหรอ”ในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ พ่อของเธอก็เดินลงมาจากชั้นสอง แต่งตัวพร้อมที่จะออกไปทำนาแล้ว เมื่อเขาเห็นลูกสาวทั้งสองคนก็ร้องทักทายด้วยความดีใจ“กลับมาบ้านกันแล้วเหรอลูก”ทั้งสองคนวิ
นิรมลและนรีนันท์มาถึงที่บริษัทตั้งแต่เช้า พร้อมๆ กับข้อความของเอกภพที่ทักมาถาม เพราะคิดว่าหญิงสาวยังอยู่ที่คอนโดฯ‘เดี๋ยวบีซื้อโจ๊กไปฝากจิ๋วกับนัทนะ ตอนนี้บีซื้อโจ๊กแล้ว กำลังไปที่คอนโดฯ นะ’‘ตอนนี้จิ๋วมาที่ทำงานแล้วละ บีมาที่บริษัทเลย’เวลาผ่านไปเพียงสิบห้านาที เอกภพมาถึงที่บริษัท เขารีบเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของนิรมล มีนรีนันท์นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่แถวนั้น“นิวหายดีแล้วเหรอถึงได้มาทำงานได้เนี่ย”นิรมลยิ้มให้กับเอกภพ เขาเดินมาดูหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง แต่วันนี้เธอดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนทีเดียว หน้าตาของเธอดูสดชื่นขึ้น น่าจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว“พี่หนึ่งซื้ออะไรมาเยอะแยะเต็มไปหมด”นรีนันท์เดินมาดูเอกภพที่หิ้วถุงอาหารมาหลายถุง เขายกถุงอาหารขึ้นมาให้นรีนันท์เห็นอย่างชัดเจนพลางยิ้มให้“นิวกับนัทกินข้าวหรือยัง หนึ่งเดาว่าน่าจะยังไม่ได้กินแน่เลย ตู้เย็นที่คอนโดฯ ของนิวไม่มีอาหารนี่นา”นิรมลส่ายหน้าแทนคำตอบ เอกภพจึงพูดชวนทั้งสองคนไปรับประทานอาหารเช้าก่อนที่จะเริ่มงาน ทีแรกหญิงสาวลังเล หันมองงานบนโต๊ะที่วางกองเ