จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตา
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มา
แต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง
“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู
“พี่นิว สวัสดีค่ะ”
นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก
“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”
“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”
นรีนันท์พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็วตามนิสัย เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ นิรมลไม่รอช้า คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงพาลงไปยังลานจอดรถทันที โดยที่ไม่ได้ถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือต้องการอะไรหรือเปล่า
“พี่นิวจะรีบร้อนไปไหนเนี่ย แล้วจะไปบ้านใครล่ะคะ”
“พี่จะไปตามที่อยู่นี้ เดี๋ยวนัทเปิด GPS คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกัน”
นิรมลยื่นที่อยู่ให้ นรีนันท์ยังคงงงๆ อยู่ แต่ก็ทำตามที่พี่สาวบอกมาทุกอย่าง ในระหว่างที่น้องสาวกำลังนั่งกดโทรศัพท์เพื่อตั้งพิกัดบอกทางอยู่ นิรมลก็จัดการส่งข้อความหาเอกภพเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้ว
‘ขอโทษด้วยนะจิ๋ว วันนี้ยัยเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก บีคงไปกับจิ๋วไม่ได้แล้วละ’
‘ไม่เป็นไรบี โชคดีที่วันนี้นัทมากรุงเทพฯ เดี๋ยวจิ๋วไปกับนัท บีอยู่ดูแลเล็กเถอะ’
นิรมลส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่านรีนันท์มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
“ตั้ง GPS เรียบร้อยแล้ว พี่นิวส่งข้อความหาใครน่ะ พี่หนึ่งเหรอ”
นิรมลพยักหน้า
“ใช่ ตอนแรกหนึ่งบอกว่าจะไปกับพี่ แต่มาไม่ได้แล้วละ น้องเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก เขาต้องอยู่ดูแลน้อง”
นรีนันท์พยักหน้ารับรู้ พูดกับพี่สาวเสียงเรียบ เธอไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก
“พี่หนึ่งเขามีน้องสาวต้องดูแลนี่นา ถ้าวันนี้นัทไม่ขึ้นมากรุงเทพฯ พี่นิวก็ต้องไปเองใช่ไหม”
“ใช่สิ แต่อาจจะแค่ขับรถไปดูน่ะ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ไปไหนเลย นัทอย่ามองพี่อย่างนั้นสิ พี่รู้หรอกน่าว่าพี่หนึ่งเขาภาระเยอะแค่ไหน”
นรีนันท์ได้แต่ถอนหายใจ มองหน้าพี่สาวที่ตอนนี้ความคิดล่องลอยไปถึงเอกภพ
............................................
เอกภพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อแม่ของเขามีอาชีพเป็นครู สอนอยู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาแถวบ้าน พ่อแม่มีลูกสามคน ตัวเขาเป็นพี่ชายคนโต และมีน้องสาวอีกสองคน คนที่สองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ส่วนคนที่สามที่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พ่อแม่ของเขามีฐานะปานกลาง และเมื่อมีลูกสามคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน จึงทำให้มีบางช่วงที่การเงินขัดสนอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายเป็นบางครั้งบางคราว
จนกระทั่งเอกภพเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจเลือกเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ จนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“พี่หนึ่ง รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆ เลยพี่ แม่เป็นลมไปแล้ว”
เสียงตามสายจากน้องสาวคนรองที่โทรศัพท์มาตาม เอกภพขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ
“แม่เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมล่ะ แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พี่หนึ่งรีบมาเถอะ ตอนนี้แม่กับสองและน้องเล็กอยู่ที่โรงพยาบาล...”
น้องสาวของเขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป เท่านี้ก็ทำให้เอกภพรีบออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเขาไปถึงก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ รอบตัวมีน้องสาวทั้งสองคนนั่งกอดแม่อยู่ด้วยกัน
“หนึ่ง!”
แม่ของเขาโผเข้ากอดทันทีที่เห็นหน้า ทำให้เขาชะงักไป
“แม่เป็นอะไรครับ แล้วพ่อล่ะ”
“พี่หนึ่ง...พะ...พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว”
คนที่พูดประโยคนี้คือน้องสาวคนสุดท้อง ที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบเท่านั้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ หันมามองหน้าแม่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็รีบตั้งสติแล้วถามน้องสาวคนรองที่ตอนนั้นดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุด
“พ่ออยู่ไหนล่ะสอง บอกพี่ที”
น้องสาวของเขาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เขารีบวิ่งไปถามทันที
“คุณพยาบาลครับ พ่อผมอยู่ในนั้นใช่ไหม”
เขาบอกชื่อพ่อของเขาอย่างรวดเร็ว พยาบาลพยักหน้าให้กับเขาว่าพ่อของเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้
“เข้าไปไม่ได้นะคะ ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกค่ะ”
“ผมจะเข้าไปดูพ่อ...พ่อครับ!”
เอกภพคงจะโวยวายไปอีกนาน หากไม่มีผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาตัวเขาออกไปจากบริเวณนั้น พยายามคุยให้เขาใจเย็นลง จนเวลาผ่านไปประมาณห้านาที เขาเริ่มตั้งสติได้ จึงหันมาขอบคุณพี่คนที่ลากเขาออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ผมขอบคุณพี่นะครับที่ช่วยเตือนสติผม ว่าแต่พี่ไม่ออกไปไหนอีกเหรอครับ หรือว่ามาส่งใคร”
“พี่มาส่งพ่อของน้องนั่นแหละ เมื่อกี้พี่เห็นแต่แม่เรากับน้องๆ ที่ยังเด็ก พี่ก็เลยอยู่ดูสถานการณ์ก่อนน่ะ แล้วก็เจอน้องนี่แหละ”
เอกภพยกมือไหว้ขอบคุณ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพ่อของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร
“พ่อน้องน่ะขับรถยนต์ แล้วน่าจะก้มรับโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันดูว่ามีรถสิบล้อวิ่งแหกโค้งมา”
เอกภพนิ่งอึ้ง ในขณะที่แม่ของเขากำลังเดินมาหาเขาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายมากกว่าเดิม
“หนึ่ง พ่อเสียแล้ว!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่ของเอกภพก็ดูเหมือนจะไม่ชอบการรับโทรศัพท์มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่บนรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านก็ตาม จึงทำให้เอกภพเคยชินกับการพิมพ์ข้อความมากกว่าการโทร. คุยกัน
............................................
ทั้งนิรมลและนรีนันท์ขับรถยนต์มาตาม GPS ที่คอยบอกทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจังหวัดปทุมธานี
“พี่นิวจะไม่บอกนัทสักนิดเหรอว่าจะไปไหน ไปบ้านใคร?”
“พี่จะเอาของไปให้เขาน่ะ เป็นของคนที่บริษัท เขาเสียชีวิตแล้วฝากพี่ให้เอามาให้ครอบครัวเขา”
นิรมลเล่าสั้นๆ อย่างรวบรัด และพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“ช่วยกันดูชื่อซอยเถอะ ว่าแต่ตรงนี้ใช่ซอยที่สิบห้าหรือเปล่า นัทช่วยพี่ดูทีสิ”
นรีนันท์มอง GPS ที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายไปเสียแล้ว เธอเงยหน้ามองชื่อซอย เห็นเป็นซอยที่สิบห้าแน่ๆ ก็หันหน้าไปบอกนิรมล
“พี่นิว เลี้ยวเข้าซอยนี้ค่ะ ซอยที่สิบห้า”
นิรมลเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทันทีตามที่นรีนันท์บอก แต่ซอยนั้นแคบ รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวและด้านในไม่มีที่กลับรถ แถมยังเป็นซอยตัน
“ถูกซอยแน่หรือเปล่านัท ทำไมบ้านเลขที่ตามนี้ไม่เห็นมีเลย ลองดูซิ”
นรีนันท์มองบ้านเลขที่ตามบ้านที่ขับรถผ่านไป หลังแล้วหลังเล่า ผ่านไปสิบกว่าหลังก็ยังไม่พบ ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังหันซ้ายหันขวา คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง
นิรมลสะดุ้ง บ่นพึมพำอยู่ในรถกับนรีนันท์
“ทำยังไงดีนัท เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ด้วย รถก็น้ำมันใกล้จะหมดอีก”
“พี่นิวลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวนัทลงไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนลงไปเจรจากับรถยนต์อีกคันที่มาจอดท้าย ทีแรกชายหนุ่มคนขับรถรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นคนขับรถลงมาเป็นหญิงสาวถึงสองคน เขาก็เปลี่ยนท่าที
“พวกคุณสองคนจะไปไหนหรือมาหาใครครับ ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”
“ฉันจะมาธุระบ้านเพื่อนค่ะ เขาอยู่ซอยที่สิบห้า ใช่ซอยนี้ไหมคะ”
นรีนันท์รีบชิงพูดก่อนพี่สาว เพราะมองท่าทีชายหนุ่มตรงหน้าออก เธอเห็นเขามองแบบไม่วางตา จึงส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมทั้งถามด้วยเสียงหวานๆ ไป...ได้ผล เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้า แล้วชี้มือไปทางขวา
“ไม่ใช่ครับ พวกคุณเข้าซอยผิดแล้วล่ะ ซอยนี้เป็นซอยที่สิบแปดครับ คุณต้องเลี้ยวขวาออกไปอีกสามซอย ก็จะเจอซอยสิบห้า”
ชายหนุ่มอธิบายละเอียด นิรมลและนรีนันท์ได้แต่หันมามองหน้ากัน ฝ่ายน้องสาวได้แต่ยิ้มหวานมากขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“เหรอคะ แหม...รถยนต์เราน้ำมันใกล้หมดด้วย เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้คุณช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นผมจัดการให้ก็แล้วกันครับ ทั้งเรื่องน้ำมันรถของคุณ กับถอยรถให้ครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นไปจัดการถอยรถออกจากซอย ในขณะที่นิรมลถอยรถจนออกมาถึงหน้าปากซอยได้ ทั้งสองคนเห็นว่าหน้าปากซอยมีรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจอดรอพวกเธออยู่แล้ว
นรีนันท์รีบทำหน้าที่ ด้วยการลงไปคุยกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเหลือพวกเธอ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ พวกฉันคงต้องงงอยู่ในซอยนั้นไปอีกนานแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ ทั้งสามคนยืนมองตำรวจคนนั้นถ่ายน้ำมันใส่รถยนต์ให้กับนิรมล เพื่อให้ขับรถยนต์ต่อไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ติดต่อ แต่นรีนันท์ไม่ปล่อยให้เขารอนานนัก เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้กับเขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เบอร์โทร. ของฉันค่ะ”
นรีนันท์ยื่นให้เสร็จก็รีบขึ้นรถยนต์ทันที นิรมลมองหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้พี่สาวสงสัยนาน
“ไปเถอะพี่นิว จะไปซอยสิบห้าไหมคะ น้ำมันรถเราก็เติมแล้ว”
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
นิรมลขับรถพานรีนันท์มาที่ห้างสรรพสินค้าตามสัญญาที่ให้ไว้ ทั้งสองคนช่วยกันเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พ่อกับแม่คนละชุด นอกจากนี้นิรมลยังซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้ทั้งพ่อแม่และน้องสาวอีกคนละหนึ่งชุด“พี่นิวจะซื้อให้นัทใหม่อีกทำไมล่ะคะ เสื้อผ้านัทมีเยอะอยู่แล้ว สิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ พ่อแม่รู้บ่นแน่เลย หาว่านัทขอให้พี่นิวซื้อให้”นิรมลยิ้มให้น้องสาว“ถือว่าเป็นของตอบแทนที่ไปเป็นเพื่อนพี่ก็แล้วกัน ถ้าพ่อแม่ว่าก็บอก เดี๋ยวพี่คุยเอง”ทั้งสองคนพี่น้องชี้ชวนกันเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน ในระหว่างที่นรีนันท์กำลังดูเสื้อผ้าอยู่นั้น อยู่ๆ พวกเธอก็ได้พบกับบุคคลที่ไม่คิดว่าจะพบเจอ“เอ๊ะ! นั่นพี่ชมพูหรือเปล่าพี่นิว มาซื้อของเยอะเสียด้วยสิ”นรีนันท์ชี้ให้นิรมลดู พี่สาวหันไปมองตามที่น้องสาวชี้ ทันได้เห็นชมพูนุทถือของพะรุงพะรังเดินผ่านมาพอดี ท่าทางจะไม่ได้สังเกตดูคนรอบข้าง นิรมลจึงเรียกเพื่อน“ชมพู!”ได้ผล...ชมพูนุทสะดุ้ง หันหน้ามาตามเสียงเรียกทันที“พี่ชมพูจริงด้วย สวัสดีค่ะ&rdq
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ แต่นิรมลกลับตื่นแต่เช้า เธอลงมาใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณแก้วตา และอธิษฐานในใจเพื่อเป็นการบอกกล่าว‘วันนี้นิวจะเอาของไปคืนให้สามีคุณแก้วตาให้ได้นะคะ แล้วก็จะคุยเรื่องของลูกชายคุณแก้วตาให้บวชเณรด้วยค่ะ’หลังจากใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย นิรมลกลับขึ้นไปที่ห้อง ก็พบว่านรีนันท์ตื่นแล้ว กำลังค้นหาของในตู้เย็นอยู่“นัท วันนี้เราไปที่ปทุมธานีกันอีกนะ พี่จะไปหาบ้านให้เจอ”“ไปอีกเหรอพี่นิว”นิรมลพยักหน้า“ใช่ เมื่อวานนี้ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นนี่นา อ้อ...แล้วเมื่อวานผู้ชายคนนั้นเขาโทร. หาเธอหรือเปล่าล่ะนัท คนที่เธอให้เบอร์โทรศัพท์เขาไปน่ะ”นรีนันท์ส่ายหน้าปฏิเสธ พูดยิ้มๆ กับพี่สาว“เขาจะโทร. หานัทได้ยังไงล่ะพี่นิว ก็เบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไปของใครก็ไม่รู้นี่นา”“อ้าว! นัท ทำไมทำแบบนั้นล่ะ...”นรีนันท์โบกมือ ไม่อยากจะพูดกับพี่สาวต่ออีก เธอเดินหนีไปอีกทาง ก่อนจะบอกกับอีกฝ่าย“เดี๋ยวนัทขอเวลาอาบน้ำแต่งตัวห้านาที พี่นิ
จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตาในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มาแต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู“พี่นิว สวัสดีค่ะ”นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”นรีนันท์พูดแค่น
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลมาทำงานตามปกติ ในวันนี้พนักงานส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าสีดำกัน เนื่องจากในคืนนี้ทางบริษัทรับเป็นเจ้าภาพงานศพของแก้วตา นิรมลก็สวมใส่เสื้อสีดำเพื่อไปงานเช่นกันก่อนเริ่มทำงาน นิรมลนึกถึงคำร้องขอของแก้วตาขึ้นมาได้ เธอจึงเดินไปยังห้องพักของแม่บ้านที่ชั้นหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ในห้อง หญิงสาวเดินไปที่ตู้ล็อกเกอร์ที่ใช้เก็บของ มองหาตู้เก็บของที่มีชื่อแก้วตา แต่ไม่สามารถเปิดได้เพราะมีกุญแจล็อกอยู่นิรมลมองซ้ายมองขวา หาอุปกรณ์ที่จะนำมางัดตู้ล็อกเกอร์ ระหว่างที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักแห่งนี้ มองหญิงสาวอย่างสงสัย“คุณทำอะไรคะ ต้องการอะไรหรือเปล่า”นิรมลชะงัก เริ่มอึกอัก มองซ้ายมองขวาเหมือนหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ แม่บ้านยืนมองด้วยสีหน้าแปลกใจ หญิงสาวยืนนิ่ง ได้แต่บอกเสียงอ่อย“คะ...คือ...นิวอยากจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ของแก้วตาค่ะ”“คุณจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ของแก้วตาทำไมล่ะคะ มีอะไรหรือเปล่า”นิรมลนึกหาคำตอบ แล้วอยู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้“เมื่อวันก่อนที่แ
ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากเรียนจบ จนวันหนึ่งนิรมลได้พบชมพูนุทตอนกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวบริษัท“ชมพูจริงๆ ด้วย เธอมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”นิรมลทักทายเพื่อนด้วยความดีใจ ชมพูนุทเองก็ยินดีที่ได้พบเจอเพื่อนอีกครั้ง แต่สีหน้าอีกฝ่ายดูเศร้าสร้อย หญิงสาวรีบถามเพื่อน“เป็นอะไรหรือเปล่าชมพู มีอะไรเล่าให้นิวฟังได้นะ”“ฉันหางานทำอยู่น่ะ นี่ฉันเป็นคนว่างงานมาสามเดือนแล้ว ไปสมัครงานไว้ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกไปทำเสียที ถ้าเดือนนี้ยังไม่มีงานทำอีก ฉันคงต้องกลับบ้านนอกแล้วละ”น้ำเสียงของชมพูนุทฟังดูน่าสงสารและน่าเห็นใจ นิรมลนิ่งคิด จะช่วยเหลือเพื่อนอย่างไรดีนะ แล้วหญิงสาวก็นึกอะไรขึ้นมาได้“ชมพูไปสมัครงานที่บริษัทของนิวสิ ตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครประชาสัมพันธ์อยู่ ถ้าโชคดีเธออาจจะได้มาทำงานด้วยกันนะ”ชมพูนุทพยักหน้ารับคำ เธอไปสมัครงานที่บริษัทตามคำแนะนำของนิรมล และชมพูนุทก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทด้วยกัน............................................เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลมาทำงานตามปกติ เธอลืมเรื่องราวท
นิรมลคงจะปิดตากรีดร้องอยู่ในรถอีกนาน หากเธอไม่ได้ยินเสียงแตรรถด้านหลังที่เร่งให้รีบขับออกไป ไม่ใช่จอดรถแช่อยู่แบบนี้หญิงสาวสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นมองถนน...ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอหันไปมองเกาะกลางถนนอีกครั้ง รู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นวิญญาณแก้วตาอีก นิรมลรีบขับรถยนต์ออกไปจากตรงนั้นเพื่อกลับคอนโดฯนิรมลรีบขึ้นไปที่ห้อง เมื่อถึงห้องเธอก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ตั้งใจจะเล่าให้เอกภพฟังถึงเรื่องราวที่น่ากลัวสำหรับเธอในวันนี้ แต่เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดู ที่หน้าจอกลับมีสายเรียกเข้ามาแทน‘แกเป็นไงบ้างเนี่ยนิว เมื่อกี้เพื่อนฉันโทร. มาหา เล่าให้ฟังว่าเจอแกที่ห้องอาหาร ท่าทางเหมือนจะไม่สบาย พวกนั้นขอให้ฉันโทร. หาแกเนี่ยว่าเป็นยังไงบ้าง’นิรมลยิ้มอย่างโล่งใจที่ได้คุยกับใครสักคน กำลังจะเล่าให้ชมพูนุทฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่อยู่ๆ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงแหบๆ พูดกระซิบที่ข้างหูของเธอ“อย่าเล่า!”นิรมลหยุดชะงัก หันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจว่าเสียงใครกันแน่ มือยังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น‘นิว! ยังอยู่หรือเ