로그인จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตา
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มา
แต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง
“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู
“พี่นิว สวัสดีค่ะ”
นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก
“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”
“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”
นรีนันท์พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็วตามนิสัย เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ นิรมลไม่รอช้า คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงพาลงไปยังลานจอดรถทันที โดยที่ไม่ได้ถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือต้องการอะไรหรือเปล่า
“พี่นิวจะรีบร้อนไปไหนเนี่ย แล้วจะไปบ้านใครล่ะคะ”
“พี่จะไปตามที่อยู่นี้ เดี๋ยวนัทเปิด GPS คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกัน”
นิรมลยื่นที่อยู่ให้ นรีนันท์ยังคงงงๆ อยู่ แต่ก็ทำตามที่พี่สาวบอกมาทุกอย่าง ในระหว่างที่น้องสาวกำลังนั่งกดโทรศัพท์เพื่อตั้งพิกัดบอกทางอยู่ นิรมลก็จัดการส่งข้อความหาเอกภพเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้ว
‘ขอโทษด้วยนะจิ๋ว วันนี้ยัยเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก บีคงไปกับจิ๋วไม่ได้แล้วละ’
‘ไม่เป็นไรบี โชคดีที่วันนี้นัทมากรุงเทพฯ เดี๋ยวจิ๋วไปกับนัท บีอยู่ดูแลเล็กเถอะ’
นิรมลส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่านรีนันท์มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
“ตั้ง GPS เรียบร้อยแล้ว พี่นิวส่งข้อความหาใครน่ะ พี่หนึ่งเหรอ”
นิรมลพยักหน้า
“ใช่ ตอนแรกหนึ่งบอกว่าจะไปกับพี่ แต่มาไม่ได้แล้วละ น้องเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก เขาต้องอยู่ดูแลน้อง”
นรีนันท์พยักหน้ารับรู้ พูดกับพี่สาวเสียงเรียบ เธอไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก
“พี่หนึ่งเขามีน้องสาวต้องดูแลนี่นา ถ้าวันนี้นัทไม่ขึ้นมากรุงเทพฯ พี่นิวก็ต้องไปเองใช่ไหม”
“ใช่สิ แต่อาจจะแค่ขับรถไปดูน่ะ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ไปไหนเลย นัทอย่ามองพี่อย่างนั้นสิ พี่รู้หรอกน่าว่าพี่หนึ่งเขาภาระเยอะแค่ไหน”
นรีนันท์ได้แต่ถอนหายใจ มองหน้าพี่สาวที่ตอนนี้ความคิดล่องลอยไปถึงเอกภพ
............................................
เอกภพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อแม่ของเขามีอาชีพเป็นครู สอนอยู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาแถวบ้าน พ่อแม่มีลูกสามคน ตัวเขาเป็นพี่ชายคนโต และมีน้องสาวอีกสองคน คนที่สองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ส่วนคนที่สามที่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พ่อแม่ของเขามีฐานะปานกลาง และเมื่อมีลูกสามคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน จึงทำให้มีบางช่วงที่การเงินขัดสนอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายเป็นบางครั้งบางคราว
จนกระทั่งเอกภพเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจเลือกเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ จนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“พี่หนึ่ง รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆ เลยพี่ แม่เป็นลมไปแล้ว”
เสียงตามสายจากน้องสาวคนรองที่โทรศัพท์มาตาม เอกภพขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ
“แม่เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมล่ะ แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พี่หนึ่งรีบมาเถอะ ตอนนี้แม่กับสองและน้องเล็กอยู่ที่โรงพยาบาล...”
น้องสาวของเขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป เท่านี้ก็ทำให้เอกภพรีบออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเขาไปถึงก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ รอบตัวมีน้องสาวทั้งสองคนนั่งกอดแม่อยู่ด้วยกัน
“หนึ่ง!”
แม่ของเขาโผเข้ากอดทันทีที่เห็นหน้า ทำให้เขาชะงักไป
“แม่เป็นอะไรครับ แล้วพ่อล่ะ”
“พี่หนึ่ง...พะ...พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว”
คนที่พูดประโยคนี้คือน้องสาวคนสุดท้อง ที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบเท่านั้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ หันมามองหน้าแม่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็รีบตั้งสติแล้วถามน้องสาวคนรองที่ตอนนั้นดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุด
“พ่ออยู่ไหนล่ะสอง บอกพี่ที”
น้องสาวของเขาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เขารีบวิ่งไปถามทันที
“คุณพยาบาลครับ พ่อผมอยู่ในนั้นใช่ไหม”
เขาบอกชื่อพ่อของเขาอย่างรวดเร็ว พยาบาลพยักหน้าให้กับเขาว่าพ่อของเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้
“เข้าไปไม่ได้นะคะ ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกค่ะ”
“ผมจะเข้าไปดูพ่อ...พ่อครับ!”
เอกภพคงจะโวยวายไปอีกนาน หากไม่มีผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาตัวเขาออกไปจากบริเวณนั้น พยายามคุยให้เขาใจเย็นลง จนเวลาผ่านไปประมาณห้านาที เขาเริ่มตั้งสติได้ จึงหันมาขอบคุณพี่คนที่ลากเขาออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ผมขอบคุณพี่นะครับที่ช่วยเตือนสติผม ว่าแต่พี่ไม่ออกไปไหนอีกเหรอครับ หรือว่ามาส่งใคร”
“พี่มาส่งพ่อของน้องนั่นแหละ เมื่อกี้พี่เห็นแต่แม่เรากับน้องๆ ที่ยังเด็ก พี่ก็เลยอยู่ดูสถานการณ์ก่อนน่ะ แล้วก็เจอน้องนี่แหละ”
เอกภพยกมือไหว้ขอบคุณ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพ่อของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร
“พ่อน้องน่ะขับรถยนต์ แล้วน่าจะก้มรับโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันดูว่ามีรถสิบล้อวิ่งแหกโค้งมา”
เอกภพนิ่งอึ้ง ในขณะที่แม่ของเขากำลังเดินมาหาเขาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายมากกว่าเดิม
“หนึ่ง พ่อเสียแล้ว!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่ของเอกภพก็ดูเหมือนจะไม่ชอบการรับโทรศัพท์มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่บนรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านก็ตาม จึงทำให้เอกภพเคยชินกับการพิมพ์ข้อความมากกว่าการโทร. คุยกัน
............................................
ทั้งนิรมลและนรีนันท์ขับรถยนต์มาตาม GPS ที่คอยบอกทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจังหวัดปทุมธานี
“พี่นิวจะไม่บอกนัทสักนิดเหรอว่าจะไปไหน ไปบ้านใคร?”
“พี่จะเอาของไปให้เขาน่ะ เป็นของคนที่บริษัท เขาเสียชีวิตแล้วฝากพี่ให้เอามาให้ครอบครัวเขา”
นิรมลเล่าสั้นๆ อย่างรวบรัด และพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“ช่วยกันดูชื่อซอยเถอะ ว่าแต่ตรงนี้ใช่ซอยที่สิบห้าหรือเปล่า นัทช่วยพี่ดูทีสิ”
นรีนันท์มอง GPS ที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายไปเสียแล้ว เธอเงยหน้ามองชื่อซอย เห็นเป็นซอยที่สิบห้าแน่ๆ ก็หันหน้าไปบอกนิรมล
“พี่นิว เลี้ยวเข้าซอยนี้ค่ะ ซอยที่สิบห้า”
นิรมลเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทันทีตามที่นรีนันท์บอก แต่ซอยนั้นแคบ รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวและด้านในไม่มีที่กลับรถ แถมยังเป็นซอยตัน
“ถูกซอยแน่หรือเปล่านัท ทำไมบ้านเลขที่ตามนี้ไม่เห็นมีเลย ลองดูซิ”
นรีนันท์มองบ้านเลขที่ตามบ้านที่ขับรถผ่านไป หลังแล้วหลังเล่า ผ่านไปสิบกว่าหลังก็ยังไม่พบ ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังหันซ้ายหันขวา คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง
นิรมลสะดุ้ง บ่นพึมพำอยู่ในรถกับนรีนันท์
“ทำยังไงดีนัท เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ด้วย รถก็น้ำมันใกล้จะหมดอีก”
“พี่นิวลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวนัทลงไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนลงไปเจรจากับรถยนต์อีกคันที่มาจอดท้าย ทีแรกชายหนุ่มคนขับรถรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นคนขับรถลงมาเป็นหญิงสาวถึงสองคน เขาก็เปลี่ยนท่าที
“พวกคุณสองคนจะไปไหนหรือมาหาใครครับ ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”
“ฉันจะมาธุระบ้านเพื่อนค่ะ เขาอยู่ซอยที่สิบห้า ใช่ซอยนี้ไหมคะ”
นรีนันท์รีบชิงพูดก่อนพี่สาว เพราะมองท่าทีชายหนุ่มตรงหน้าออก เธอเห็นเขามองแบบไม่วางตา จึงส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมทั้งถามด้วยเสียงหวานๆ ไป...ได้ผล เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้า แล้วชี้มือไปทางขวา
“ไม่ใช่ครับ พวกคุณเข้าซอยผิดแล้วล่ะ ซอยนี้เป็นซอยที่สิบแปดครับ คุณต้องเลี้ยวขวาออกไปอีกสามซอย ก็จะเจอซอยสิบห้า”
ชายหนุ่มอธิบายละเอียด นิรมลและนรีนันท์ได้แต่หันมามองหน้ากัน ฝ่ายน้องสาวได้แต่ยิ้มหวานมากขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“เหรอคะ แหม...รถยนต์เราน้ำมันใกล้หมดด้วย เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้คุณช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นผมจัดการให้ก็แล้วกันครับ ทั้งเรื่องน้ำมันรถของคุณ กับถอยรถให้ครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นไปจัดการถอยรถออกจากซอย ในขณะที่นิรมลถอยรถจนออกมาถึงหน้าปากซอยได้ ทั้งสองคนเห็นว่าหน้าปากซอยมีรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจอดรอพวกเธออยู่แล้ว
นรีนันท์รีบทำหน้าที่ ด้วยการลงไปคุยกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเหลือพวกเธอ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ พวกฉันคงต้องงงอยู่ในซอยนั้นไปอีกนานแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ ทั้งสามคนยืนมองตำรวจคนนั้นถ่ายน้ำมันใส่รถยนต์ให้กับนิรมล เพื่อให้ขับรถยนต์ต่อไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ติดต่อ แต่นรีนันท์ไม่ปล่อยให้เขารอนานนัก เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้กับเขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เบอร์โทร. ของฉันค่ะ”
นรีนันท์ยื่นให้เสร็จก็รีบขึ้นรถยนต์ทันที นิรมลมองหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้พี่สาวสงสัยนาน
“ไปเถอะพี่นิว จะไปซอยสิบห้าไหมคะ น้ำมันรถเราก็เติมแล้ว”
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
ชมพูนุทปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าเธอไม่ได้ทำ แต่หลักฐานทุกอย่างมัดตัวแน่นหนา ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธและหาทนายความเพื่อสู้คดีและยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัว แต่เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรงจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกมาแม่และยายของชมพูนุทมาเยี่ยมเธอเพียงครั้งเดียว ยายได้แต่ร้องไห้เสียใจในการกระทำของเธออยากจะมาเยี่ยมหลานบ่อยๆ แต่ไม่สะดวกในการเดินทาง ส่วนแม่ของเธอ สามีของแม่ไม่ต้องการให้เข้ามายุ่งเกี่ยวอีก“คุณไม่ต้องยุ่งกับลูกของคุณแล้วละ ในเมื่อเขาทำผิดก็ต้องชดใช้”ทางด้านแม่ของเอกภพออกจากโรงพยาบาลในอีกสามวันต่อมา คราวนี้ทั้งเอกภพและนิรมลเป็นคนไปรับ หญิงสาวไปด้วยเพราะต้องไปรับรถยนต์ที่อู่ซ่อมรถ แม่ของเอกภพที่พอรู้เรื่องราวของหญิงสาวอยู่บ้างจึงพูดปลอบโยนเธอ“หนูนิวปลอดภัยดีนะ ตอนนี้คนร้ายก็ถูกจับตัวไปแล้ว ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตนะ”นิรมลยกมือไหว้ขอบคุณแม่ของเอกภพเช่นกัน เธอยิ้มให้“นิวก็หวังไว้อย่างนั้นค่ะ ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา”ในคืนนั้น นิรมลฝันอีกครั้ง เธอยืนอยู่ในบรรยากาศที่มืดมิดอีกครั้ง แต่ในค
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ นิรมลเดินนำเอกภพเข้าไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากเมื่อวานเธออยู่ตรงนี้ เกือบทั้งวันแล้ว เอกภพเห็นนิรมลเดินนำหน้าเข้าไปในห้องสืบสวน และได้พบกับตำรวจคนหนึ่ง ผิวดำแดง ตัวสูงแต่รูปร่างผอมบางกว่าเขามากทีเดียว“สวัสดีค่ะหมวด ฉันเอาหลักฐานชิ้นใหม่มาให้ดูค่ะ เพื่อแจ้งความเรื่องคุณพิษณุถูกฆาตกรรมค่ะ”ตำรวจคนนั้นเปิดฮาร์ดดิสก์ออกดู นำมาดูในคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นในคลิปชัดเจนว่าใครทำอะไร เขาก็รีบจดข้อมูลทันที แต่ก็หันไปสอบถามกับนิรมลเพิ่มอีก“คุณรู้ใช่ไหมว่าคนในคลิปเป็นใคร? ผู้ชายที่อยู่ในคลิปนี้เสียชีวิตแล้วใช่ไหมครับ”นิรมลพยักหน้ารับ เธอหยิบสมุดบันทึกออกมาพร้อมกับอธิบายให้ข้อมูลเพิ่มเติม“ผู้ชายที่อยู่ในคลิปชื่อพิษณุค่ะ เขาเสียชีวิตเมื่อสามปีที่แล้ว แต่...ฉันไม่แน่ใจว่าคดีของเขา ตำรวจคนไหนเป็นเจ้าของคดี ผู้หญิงคนนี้คิดวางยาแต่ไม่สำเร็จค่ะ เธอก็เลยจ้างคนมาตัดสายเบรกรถยนต์ หลักฐานทุกอย่างอยู่ในคลิปวิดีโอและสมุดบันทึกเล่มนี้ค่ะ”เอกภพและนรีนันท์อยู่ให้ปากคำถึงสองชั่วโมง ทั้งสองคนชี้เบาะแสเรื่องของการวางยาเบื่อและขอให้เชิญพ
เอกภพรีบพาแม่มาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว หมอเห็นอาการของแม่รีบพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินล้างท้องทันที เขายืนกอดน้องสาวคนเล็กที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายด้วยความกลัว“พี่หนึ่ง...แม่ จะตายไหม”“แม่ต้องไม่เป็นอะไร แม่ถึงมือหมอแล้ว หมอต้องช่วยแม่ได้ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”............................................เช้าวันนี้อาการของนิรมลดีขึ้น สองคนพี่น้องจึงคุยกันว่าจะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ของใช้หมดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม กระดาษทิชชู รวมถึงของแห้งอย่างพวกข้าวสารหรืออื่นๆ ที่จำเป็นแต่เมื่อเอกภพโทรศัพท์มาแจ้งข่าวว่าแม่ของเขาเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน แผนการในวันนี้จึงต้องเปลี่ยนไป ทั้งสองคนพี่น้องพากันไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมแม่ของเอกภพโชคดีเมื่อนิรมลและนรีนันท์ไปถึง แม่ของเอกภพก็อาการปลอดภัยพ้นขีดอันตราย ทางโรงพยาบาลกำลังหาห้องพักพิเศษตามที่เอกภพแจ้งความประสงค์ไว้ นิรมลเดินไปหาเขาที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด“ทำไมอยู่ๆ แม่เป็นแบบนี้ล่ะ กินอะไรไปเหรอ”“แม่กินต้มแซ่บที่หนึ่งเอามาจากคอนโดฯ นิวเมื่อวานน่ะสิ!”นิรมลมีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อเดินลงมายังที่จอดรถยนต์กับนรีนันท์ เธอนึกถึง
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลลุกขึ้นมาจากเตียงนอน เธอลุกขึ้นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อที่จะไปทำงานตามปกติ หญิงสาวเดินออกมาจากห้องนอนก็พบนรีนันท์ที่กำลังอุ่นอาหารอยู่“พี่นิวจะไปไหน กลับเข้าไปนอนต่อเลย”“พี่หายแล้ว ไปทำงานได้แล้ว”นรีนันท์เดินมาแตะหน้าผากพี่สาว“หายป่วยอะไรกันคะ ตัวยังร้อนอยู่เลย พี่นิวอย่าดื้อเลยค่ะ นอนพักให้หายดีก่อนเถอะ พี่หนึ่งบอกว่าจะลางานให้พี่นิวพักผ่อนถึงวันจันทร์เลยค่ะ”นิรมลนิ่ง นึกทบทวนว่าวันนี้วันอะไร...เพิ่งวันพฤหัสบดีเองนี่นา“งานด่วนพี่ก็มีนะ อยู่ๆ จะให้พี่ไม่ไปทำงานแบบนี้ได้ยังไง”แต่นรีนันท์กลับส่ายหน้าไม่ให้ไปไหน เธอจัดการอุ่นอาหารให้พี่สาวเสร็จก็เตรียมถือสิ่งของสัมภาระออกไปทำงาน และไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถยนต์ของพี่สาวมาด้วย เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องรบกวนเอกภพให้มาส่ง และหันมาบอกพี่สาว“นัทขอยืมรถยนต์พี่นิวไปทำงานก่อนก็แล้วกันค่ะ ส่วนอาหาร นัทอุ่นไว้ให้แล้วนะคะ”............................................นรีนันท์เข้าไปที่บริษัททำงานตามปกติ เธอเจอกับเอกภพที่เพิ่งอ
สิ่งที่เอกภพคาดการณ์ไว้ก็เป็นจริง เมื่ออีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาขวดน้ำเกลือหมดขวด หมอเดินมาดูอาการนิรมลอีกครั้งก่อนที่จะอนุญาตให้หญิงสาวกลับบ้านได้เอกภพพานิรมลมาส่งที่คอนโดฯ แล้วตั้งใจจะกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ ก่อนจะไปเขาบอกให้หญิงสาวพักผ่อน“จิ๋วนอนพักนะ ไม่ใช่ว่าลุกขึ้นมาทำงานล่ะ”“รู้แล้วน่า จิ๋วยังไม่หายดีหรอก จะพยายามนอนพักให้หายก่อนค่อยกลับมาลุยงานใหม่”“ดีแล้ว ยังไงตอนเย็นบีจะแวะมาหาอีกรอบก็แล้วกันนะ จะพานัทกลับมาส่งด้วย โอเคไหม”นิรมลยิ้มให้กับเอกภพ“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลจิ๋วกับนัทด้วย ไม่ต้องซื้ออะไรมาเยอะหรอกนะ หรือว่าถ้ามีธุระด่วน ฝากนัทมาให้ก็ได้”เอกภพพยักหน้ารับก่อนที่จะกลับมาทำงานต่อ เขานั่งทำงานอยู่จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน จึงส่งข้อความไปหานรีนันท์‘เย็นนี้กลับกี่โมง เลิกงานหรือยัง เดี๋ยวพี่ไปส่งนัทกลับคอนโดฯ แล้วก็จะได้ซื้ออาหารไปให้พี่นิวด้วย’‘งานนัทยังไม่เสร็จเลยค่ะพี่หนึ่ง นัทตั้งใจว่าจะกลับสักหกโมงเย็น พี่หนึ่งรีบกลับบ้านหรือเปล่าคะ ถ้าพี่มีธุระกลับก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวนัทนั่งแท็กซี่กลับเอง’เอกภพหยิบ
ชมพูนุทพิมพ์เท่านี้ก็วางโทรศัพท์ลง นั่งครุ่นคิดเรื่องของตัวเองต่อโดยไม่ได้สนใจเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตรงหน้า หญิงสาวได้แต่บ่นพึมพำ“ใครจะไปรับ คงโทรฯ มาด่าอีกแหง เห็นทีต้องหางานเสริมอย่างที่แม่ว่าจริงๆ นั่นแหละ”ชมพูนุทนั่งคิดถึงเรื่องหางานเสริม งานนั้นต้องได้เงินเยอะมากพอที่จะทำให้ความเป็นอยู่ดีกว่านี้ เธอจึงตัดสินใจเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พิมพ์ข้อความค้นหาแล้วก็เจอกลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในนั้นมีข้อความเชิญชวนให้ทำงานบางอย่าง...‘มองหาสาวสวยที่ต้องการรายได้เสริม ไม่ต้องมีประสบการณ์ สนใจติดต่อได้ที่...’ข้อความนั้นทำให้ชมพูนุทตัดสินใจเข้ากลุ่มโดยไม่ลังเลอีก เธอเข้ากลุ่มเพื่อทำงานเป็นผู้หญิงไซด์ไลน์ และใช้ชื่อในวงการว่า ‘พิงค์กี้’ แน่นอนว่าเธอตั้งใจทำงานเพื่อซื้อของใช้และของแบรนด์เนมที่เธออยากได้ หญิงสาวคิดเพียงแค่ว่าเงินนี้เธอได้มาโดยสุจริต อย่างน้อยทำงานมาโดยใช้ตัวเข้าแลกเงินชมพูนุททำงานนี้มาตลอดโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวมีอาชีพเสริมอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ชมพูนุทก็ได้เจอกับพิษณุที่บริษัท เขาเห็นหน้าเธอเพียงแวบแรกก็นึกพอใจ และจะติ







