จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตา
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มา
แต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง
“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู
“พี่นิว สวัสดีค่ะ”
นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก
“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”
“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”
นรีนันท์พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็วตามนิสัย เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ นิรมลไม่รอช้า คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงพาลงไปยังลานจอดรถทันที โดยที่ไม่ได้ถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือต้องการอะไรหรือเปล่า
“พี่นิวจะรีบร้อนไปไหนเนี่ย แล้วจะไปบ้านใครล่ะคะ”
“พี่จะไปตามที่อยู่นี้ เดี๋ยวนัทเปิด GPS คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกัน”
นิรมลยื่นที่อยู่ให้ นรีนันท์ยังคงงงๆ อยู่ แต่ก็ทำตามที่พี่สาวบอกมาทุกอย่าง ในระหว่างที่น้องสาวกำลังนั่งกดโทรศัพท์เพื่อตั้งพิกัดบอกทางอยู่ นิรมลก็จัดการส่งข้อความหาเอกภพเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้ว
‘ขอโทษด้วยนะจิ๋ว วันนี้ยัยเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก บีคงไปกับจิ๋วไม่ได้แล้วละ’
‘ไม่เป็นไรบี โชคดีที่วันนี้นัทมากรุงเทพฯ เดี๋ยวจิ๋วไปกับนัท บีอยู่ดูแลเล็กเถอะ’
นิรมลส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่านรีนันท์มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
“ตั้ง GPS เรียบร้อยแล้ว พี่นิวส่งข้อความหาใครน่ะ พี่หนึ่งเหรอ”
นิรมลพยักหน้า
“ใช่ ตอนแรกหนึ่งบอกว่าจะไปกับพี่ แต่มาไม่ได้แล้วละ น้องเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก เขาต้องอยู่ดูแลน้อง”
นรีนันท์พยักหน้ารับรู้ พูดกับพี่สาวเสียงเรียบ เธอไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก
“พี่หนึ่งเขามีน้องสาวต้องดูแลนี่นา ถ้าวันนี้นัทไม่ขึ้นมากรุงเทพฯ พี่นิวก็ต้องไปเองใช่ไหม”
“ใช่สิ แต่อาจจะแค่ขับรถไปดูน่ะ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ไปไหนเลย นัทอย่ามองพี่อย่างนั้นสิ พี่รู้หรอกน่าว่าพี่หนึ่งเขาภาระเยอะแค่ไหน”
นรีนันท์ได้แต่ถอนหายใจ มองหน้าพี่สาวที่ตอนนี้ความคิดล่องลอยไปถึงเอกภพ
............................................
เอกภพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อแม่ของเขามีอาชีพเป็นครู สอนอยู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาแถวบ้าน พ่อแม่มีลูกสามคน ตัวเขาเป็นพี่ชายคนโต และมีน้องสาวอีกสองคน คนที่สองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ส่วนคนที่สามที่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พ่อแม่ของเขามีฐานะปานกลาง และเมื่อมีลูกสามคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน จึงทำให้มีบางช่วงที่การเงินขัดสนอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายเป็นบางครั้งบางคราว
จนกระทั่งเอกภพเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจเลือกเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ จนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“พี่หนึ่ง รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆ เลยพี่ แม่เป็นลมไปแล้ว”
เสียงตามสายจากน้องสาวคนรองที่โทรศัพท์มาตาม เอกภพขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ
“แม่เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมล่ะ แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พี่หนึ่งรีบมาเถอะ ตอนนี้แม่กับสองและน้องเล็กอยู่ที่โรงพยาบาล...”
น้องสาวของเขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป เท่านี้ก็ทำให้เอกภพรีบออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเขาไปถึงก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ รอบตัวมีน้องสาวทั้งสองคนนั่งกอดแม่อยู่ด้วยกัน
“หนึ่ง!”
แม่ของเขาโผเข้ากอดทันทีที่เห็นหน้า ทำให้เขาชะงักไป
“แม่เป็นอะไรครับ แล้วพ่อล่ะ”
“พี่หนึ่ง...พะ...พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว”
คนที่พูดประโยคนี้คือน้องสาวคนสุดท้อง ที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบเท่านั้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ หันมามองหน้าแม่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็รีบตั้งสติแล้วถามน้องสาวคนรองที่ตอนนั้นดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุด
“พ่ออยู่ไหนล่ะสอง บอกพี่ที”
น้องสาวของเขาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เขารีบวิ่งไปถามทันที
“คุณพยาบาลครับ พ่อผมอยู่ในนั้นใช่ไหม”
เขาบอกชื่อพ่อของเขาอย่างรวดเร็ว พยาบาลพยักหน้าให้กับเขาว่าพ่อของเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้
“เข้าไปไม่ได้นะคะ ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกค่ะ”
“ผมจะเข้าไปดูพ่อ...พ่อครับ!”
เอกภพคงจะโวยวายไปอีกนาน หากไม่มีผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาตัวเขาออกไปจากบริเวณนั้น พยายามคุยให้เขาใจเย็นลง จนเวลาผ่านไปประมาณห้านาที เขาเริ่มตั้งสติได้ จึงหันมาขอบคุณพี่คนที่ลากเขาออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ผมขอบคุณพี่นะครับที่ช่วยเตือนสติผม ว่าแต่พี่ไม่ออกไปไหนอีกเหรอครับ หรือว่ามาส่งใคร”
“พี่มาส่งพ่อของน้องนั่นแหละ เมื่อกี้พี่เห็นแต่แม่เรากับน้องๆ ที่ยังเด็ก พี่ก็เลยอยู่ดูสถานการณ์ก่อนน่ะ แล้วก็เจอน้องนี่แหละ”
เอกภพยกมือไหว้ขอบคุณ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพ่อของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร
“พ่อน้องน่ะขับรถยนต์ แล้วน่าจะก้มรับโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันดูว่ามีรถสิบล้อวิ่งแหกโค้งมา”
เอกภพนิ่งอึ้ง ในขณะที่แม่ของเขากำลังเดินมาหาเขาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายมากกว่าเดิม
“หนึ่ง พ่อเสียแล้ว!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่ของเอกภพก็ดูเหมือนจะไม่ชอบการรับโทรศัพท์มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่บนรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านก็ตาม จึงทำให้เอกภพเคยชินกับการพิมพ์ข้อความมากกว่าการโทร. คุยกัน
............................................
ทั้งนิรมลและนรีนันท์ขับรถยนต์มาตาม GPS ที่คอยบอกทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจังหวัดปทุมธานี
“พี่นิวจะไม่บอกนัทสักนิดเหรอว่าจะไปไหน ไปบ้านใคร?”
“พี่จะเอาของไปให้เขาน่ะ เป็นของคนที่บริษัท เขาเสียชีวิตแล้วฝากพี่ให้เอามาให้ครอบครัวเขา”
นิรมลเล่าสั้นๆ อย่างรวบรัด และพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“ช่วยกันดูชื่อซอยเถอะ ว่าแต่ตรงนี้ใช่ซอยที่สิบห้าหรือเปล่า นัทช่วยพี่ดูทีสิ”
นรีนันท์มอง GPS ที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายไปเสียแล้ว เธอเงยหน้ามองชื่อซอย เห็นเป็นซอยที่สิบห้าแน่ๆ ก็หันหน้าไปบอกนิรมล
“พี่นิว เลี้ยวเข้าซอยนี้ค่ะ ซอยที่สิบห้า”
นิรมลเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทันทีตามที่นรีนันท์บอก แต่ซอยนั้นแคบ รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวและด้านในไม่มีที่กลับรถ แถมยังเป็นซอยตัน
“ถูกซอยแน่หรือเปล่านัท ทำไมบ้านเลขที่ตามนี้ไม่เห็นมีเลย ลองดูซิ”
นรีนันท์มองบ้านเลขที่ตามบ้านที่ขับรถผ่านไป หลังแล้วหลังเล่า ผ่านไปสิบกว่าหลังก็ยังไม่พบ ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังหันซ้ายหันขวา คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง
นิรมลสะดุ้ง บ่นพึมพำอยู่ในรถกับนรีนันท์
“ทำยังไงดีนัท เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ด้วย รถก็น้ำมันใกล้จะหมดอีก”
“พี่นิวลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวนัทลงไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนลงไปเจรจากับรถยนต์อีกคันที่มาจอดท้าย ทีแรกชายหนุ่มคนขับรถรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นคนขับรถลงมาเป็นหญิงสาวถึงสองคน เขาก็เปลี่ยนท่าที
“พวกคุณสองคนจะไปไหนหรือมาหาใครครับ ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”
“ฉันจะมาธุระบ้านเพื่อนค่ะ เขาอยู่ซอยที่สิบห้า ใช่ซอยนี้ไหมคะ”
นรีนันท์รีบชิงพูดก่อนพี่สาว เพราะมองท่าทีชายหนุ่มตรงหน้าออก เธอเห็นเขามองแบบไม่วางตา จึงส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมทั้งถามด้วยเสียงหวานๆ ไป...ได้ผล เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้า แล้วชี้มือไปทางขวา
“ไม่ใช่ครับ พวกคุณเข้าซอยผิดแล้วล่ะ ซอยนี้เป็นซอยที่สิบแปดครับ คุณต้องเลี้ยวขวาออกไปอีกสามซอย ก็จะเจอซอยสิบห้า”
ชายหนุ่มอธิบายละเอียด นิรมลและนรีนันท์ได้แต่หันมามองหน้ากัน ฝ่ายน้องสาวได้แต่ยิ้มหวานมากขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“เหรอคะ แหม...รถยนต์เราน้ำมันใกล้หมดด้วย เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้คุณช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นผมจัดการให้ก็แล้วกันครับ ทั้งเรื่องน้ำมันรถของคุณ กับถอยรถให้ครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นไปจัดการถอยรถออกจากซอย ในขณะที่นิรมลถอยรถจนออกมาถึงหน้าปากซอยได้ ทั้งสองคนเห็นว่าหน้าปากซอยมีรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจอดรอพวกเธออยู่แล้ว
นรีนันท์รีบทำหน้าที่ ด้วยการลงไปคุยกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเหลือพวกเธอ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ พวกฉันคงต้องงงอยู่ในซอยนั้นไปอีกนานแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ ทั้งสามคนยืนมองตำรวจคนนั้นถ่ายน้ำมันใส่รถยนต์ให้กับนิรมล เพื่อให้ขับรถยนต์ต่อไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ติดต่อ แต่นรีนันท์ไม่ปล่อยให้เขารอนานนัก เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้กับเขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เบอร์โทร. ของฉันค่ะ”
นรีนันท์ยื่นให้เสร็จก็รีบขึ้นรถยนต์ทันที นิรมลมองหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้พี่สาวสงสัยนาน
“ไปเถอะพี่นิว จะไปซอยสิบห้าไหมคะ น้ำมันรถเราก็เติมแล้ว”
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
หลังจากวันนั้น ธันวาก็ฝันซ้ำๆ แบบเดิมติดต่อกันถึงเจ็ดวัน ในแต่ละครั้งเขาจะพูดบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรับปากกรกฎ จนกระทั่งในคืนที่เจ็ด เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่มียังคงฝันซ้ำๆ เช่นนี้ รู้สึกเอะใจ คิดว่าน้องชายน่าจะต้องการให้เขาไปจัดการเรื่องที่กรุงเทพฯ และเริ่มมั่นใจว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับน้องชาย“พี่ช่วยมาดูแลห้องพักให้ผมที พี่จะขายหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่พี่เลยครับ”ธันวาเดินเข้ามาหากรกฎที่ยืนมองเขาด้วยแววตาที่อาลัยอาวรณ์ เขาคิดว่าน้องชายมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะพูด“กฎมีอะไรจะบอกกับพี่หรือเปล่า นี่พี่ฝันเรื่องเดิมๆ แบบนี้ติดกันเจ็ดวันแล้วนะ”กรกฎยิ้ม แต่ใบหน้าของเขายังคงเศร้าหมองอยู่“ผมอยากให้พี่ไปกรุงเทพฯ จัดการเรื่องทรัพย์สินของผมครับ ถ้าพี่ไปที่โน่น คุณนิรมลจะช่วยจัดการเรื่องให้พี่เอง ผมขอร้องนะครับ”ธันวานิ่งเงียบ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาคิดวนเวียนอยู่ว่าควรจะไปดีไหม จนไม่ได้สังเกตว่ากรกฎกลับค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากเขา กระทั่งได้ยินเสียงกรกฎดังแว่วมาจากที่ไกล“พี่ไปกรุงเทพฯ ให้ได้นะครับ ผมหมดเวลาแล้ว”ธันวาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขานึกเอ
นิรมลและทีมทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรีเพียงสองสัปดาห์ พวกเขาก็ได้ผลงานเกินเป้าหมายที่วางไว้ ลูกค้าที่ไปนำเสนอสินค้าพากันซื้อจนสินค้าที่เอาไปไม่เพียงพอ“ผมคุยกับทางท่านประธานแล้ว ท่านบอกว่าทีมเราทำงานกันได้ดีมาก และอนุญาตให้พวกเราหยุดพักผ่อนกันได้ ถ้าใครไม่มีงานด่วนก็กลับไปทำงานวันจันทร์ หรือจะอยู่เที่ยวแถวนี้ก่อนก็ได้นะ”“ไชโย!”ทุกคนร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ โดยเฉพาะชมพูนุทที่หันมาคุยกับนิรมลและเอกภพ“วันพรุ่งนี้ได้กลับบ้านแล้ว”นิรมลนิ่งเงียบ ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว ส่วนเอกภพเขาหันไปพูดกับทุกคน“ผมว่าพวกเรามาเก็บของกันดีกว่า วันพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ดีไหมครับหัวหน้า ดีไหมนิว ชมพู”ทุกคนพยักหน้าเห็นดีด้วย โดยเฉพาะนิรมลที่ไม่ได้พยักหน้าเฉยๆ แต่กลับดึงมือชมพูนุทให้ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน“ไปเถอะชมพู ของแกเยอะด้วย กว่าจะเก็บเสื้อผ้า เก็บเครื่องสำอางต่างๆ ของแกอีก”............................................เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ และทยอยขนกร
หลังจากที่ชมพูนุทและหัวหน้าขึ้นรถตู้ออกไปแล้ว นิรมลกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง“พวกเขาไปแล้ว พี่กล้ามารับนิวกับหนึ่งได้เลยค่ะ”เพียงครู่เดียว รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งก็วิ่งมา มันเป็นรถกระบะสีดำมีแคปให้นั่ง เอกภพมองรถแล้วพยักหน้าบอกกับนิรมลให้เข้าไปนั่งที่แคปด้านหลังจะดีกว่า“อำเภอสังขละบุรีนี่ไกลไหมคะพี่กล้า”“ไปอีกประมาณห้าสิบกิโลเมตร หรืออาจจะไปไกลกว่านั้นเพราะต้องไปแนวตะเข็บชายแดน ถ้ายังไงคุณลองเปิด GPS ด้วยก็ได้ จะได้รู้ว่าเราหลงกันหรือเปล่าด้วย”เอกภพที่นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับรถจึงต้องเป็นคนที่เปิด GPS เพื่อช่วยเพชรกล้าดูทางตามที่อยู่ตามที่หญิงสาวจดมา“ตอนนี้หาบ้านเลขที่ตามสมุดนี่ไม่เจอเลยนิว เอายังไงดีครับ”เอกภพถามแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในขณะที่รถยนต์จอดติดไฟแดงอยู่ เพชรกล้าขมวดคิ้ว เขากำลังนั่งนึกถึงสถานที่ที่กำลังจะไปว่าควรจะไปที่ไหนดี“ถ้าอย่างนั้น สถานที่ที่ง่ายที่สุด หาง่ายที่สุด น้องลองเลือกสถานที่เป็นที่ว่าการอำเภอสังขละบุรีก่อนก็ได้ ตอนนี้ไปให้ถึงก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องบ้านเลขที่นี้ว่ามันมีไหมดีกว่านะน้องนิว”
หลังจากกลับมาจากตลาดนัดมาบ้านเช่าชั่วคราว นิรมลที่กำลังเดินเข้าบ้านก็ถูกดึงมือเสียก่อน เธอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเอกภพที่เป็นคนดึงมือเธอไว้“มาคุยกันก่อนสิจิ๋ว”เอกภพเดินนำหน้าเธอ เขาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน หน้าเอกภพคิ้วขมวดมุ่นราวกับมีเรื่องให้คิด ใบหน้าที่เคยอารมณ์ดีหรือยิ้มหัวเราะให้เธอกลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูจริงจัง ทำให้นิรมลคิดว่าเขาคงจะเครียดหรือคิดเรื่องอะไรอยู่“บีมีอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าตาดูจริงจัง จิ๋วทำอะไรผิดหรือเปล่า”“ผู้ชายคนที่คุยด้วยที่ตลาดคือใครเหรอ ทำไมถึงดูสนิทสนมกันจัง”เอกภพถาม หน้าตาดูจริงจัง นิรมลเกือบถอนหายใจ แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาที่มองมาแบบต้องการคำตอบ เธอจึงรีบอธิบาย“เขาคือพี่เพชรกล้า สามีของแก้วตาไง คือว่า...จิ๋วมีเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือน่ะ”“ทำไมต้องขอความช่วยเหลือด้วยล่ะ ทำไมมีอะไรไม่เห็นจะเล่าเรื่องให้บีฟังบ้างเลย”นิรมลแอบถอนหายใจไม่ให้เอกภพเห็น หญิงสาวเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเท่าที่เธอจำได้ รวมทั้งเรื่องราวที่เธอมีสัมผัสพิเศษ แต่เอกภพที่ฟังแล้วกลับยิ่งคิ้วขมวดมากขึ้น เมื่
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลเดินออกมาจากห้องพัก พอดีกับที่รติมา แฟนของกรกฎเปิดประตูออกมาจากห้องข้างๆ เช่นกัน นิรมลทักทายอีกฝ่ายทันที“สวัสดีค่ะคุณรติ เมื่อคืนเข้ามาพักที่นี่เหรอคะ นิวไม่รู้เลยว่าคุณมา”“ค่ะ รติเข้ามาที่นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว รติมาเก็บของ ตั้งใจจะไปพักที่บ้านแม่ค่ะ”รติมาพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง นิรมลเดินมาหาอีกฝ่ายเพื่อจะมาปลอบใจ เธอมองอีกฝ่ายถือของเต็มทั้งสองมือจึงอาสาช่วยเหลือ“ถ้าอย่างนั้นนิวช่วยนะคะ กล่องที่วางหน้าห้องนั่นก็ด้วยใช่ไหม”“ขอบคุณค่ะคุณนิว”รติมายิ้มให้ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ นิรมลยกกล่องกระดาษขึ้นมา ไม่หนักสักเท่าไรหรอก พอถือไหวในระหว่างที่กำลังลงลิฟต์ นิรมลก็ชวนอีกฝ่ายคุยถึงเรื่องของกรกฎ“ว่าแต่ทำไมคุณรติไม่อยู่ห้องนี้ต่อล่ะคะ ทำไมย้ายออกไป?”“บ้านแม่อยู่ใกล้ที่ทำงานรติมากกว่าค่ะ อีกอย่างรติก็รู้สึกผิดกับกฎมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แล้วก็...”รติมาพูดแล้วหยุดชะงัก เธอลังเลว่าควรจะเล่าดีหรือไม่ นิรมลที่กำลังฟังอยู่จึงซักถามให้อีกฝ่ายเล่าต่อ“ยังไงต่อเหรอคะคุณรติ”“เมื่อคืน
เมื่อเข้าห้องพักได้ นิรมลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทร. มาหา แต่ปรากฏว่าหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีข้อความหรือสัญญาณสายเรียกเข้าขึ้นมาเลย ทำให้หญิงสาวยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างแต่ภาพที่เห็น...ทำเอานิรมลมือไม้อ่อนจนโทรศัพท์แทบจะหลุดจากมือ ตรงบริเวณประตูห้อง เธอเห็นวิญญาณของกรกฎยืนมองเธออยู่ แต่เขาไม่ได้เข้ามาใกล้มากกว่านี้วิญญาณกรกฎยิ้มให้นิรมล เขาไม่ได้มาหาในสภาพที่น่ากลัวอีก และในวันนี้เขามาบอกรายละเอียดในการตามหาพี่ชายให้หญิงสาวรับรู้ และขอให้เธอช่วยทำอะไรบางอย่างในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำเองได้แล้ว“พี่ชายของผมอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาทำงานอะไร แล้วจะยอมมาดูแลห้องพักให้ผมหรือเปล่า แล้วก็...ผมอยากขอให้ช่วยสืบเรื่องแฟนผมด้วยว่าเธอจงใจหรือตั้งใจทำร้ายผมหรือเปล่า”นิรมลนิ่งเงียบฟังข้อมูลที่กรกฎบอก คิ้วขมวดและนึกอะไรบางอย่าง เธอถามเขาก่อนที่กรกฎจะพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นต้องคิดเรื่องการตามหาพี่ชายของคุณก่อนก็แล้วกัน พี่ชายคุณชื่ออะไรคะ แล้วที่บอกว่าอยู่จังหวัดกาญจนบุรีนี่อยู่ตรงไหน จังหวัดนี้มันไม่ใช